“เจ้าเด็กตัวเหม็นข้ามีวิธีช่วยเจ้าแต่ต้องร่วมมือกับหญิงผู้นี้ในการหาคนมาแสดงเป็นนักพรตนะ” โป๊ยข่วยเสนอตัวออกมา
“ท่านลองว่ามาได้เลยเดี๋ยวข้าหาวิธีเอง” เด็กหญิงนั่งนิ่งสื่อสารกับกระจกใบน้อยอย่างตั้งใจ
“นับจากวันนี้ไปอีกสองวันเจ้าให้นักพรตปลอมไปทำนายว่าบ้านของนางผู้นั้นมีดาวเคราะห์ร้ายอยู่ในบ้าน ให้นางย้ายดาวดวงนั้นออกไปซะอย่างต่ำ ๆ ก็เจ็ดปีหากไม่เชื่อรอดูหมูในเล้าบ้านนางตายได้เลย” กระจกใบน้อยกล่าวออกมาตามที่ตัวเองเห็นในระหว่างที่รอเด็กมนุษย์คนนี้ออกมาจากห้องปลดทุกข์
“ดาวเคราะห์ร้ายที่ท่านว่านั่นคือข้าใช่ไหม แล้วเจ็ดปีก็คือข้าอายุสิบห้าถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วข้าเข้าใจถูกต้องหรือไม่” เด็กหญิงตัวน้อยดวงตาเป็นประกายถามออกมาอย่างมีความหวัง
“หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครไปได้อีก” หากมีดวงตากระจกใบนี้คงกรอกตามองบนไปแล้ว
หลังจากได้ยินคำยืนยันของกระจกเพื่อนยากเด็กน้อยก็ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความยินดีเหมือนดวงดาราออกมาแต่มันจะง่ายขนาดนั้นจริงเหรอ
หนิงลี่ที่มองดูเด็กหญิงมาตลอดเมื่อเห็นท่าทางและรอยยิ้มที่มีรอยบุ๋มลึกลงไปทั้งสองข้าง หล่อนก็ยิ้มตามเด็กคนนี้ด้วยความเอ็นดูพร้อมกับคิดว่าช่างเหมือนกันเสียจริงเหมือนแม้แต่รอยยิ้ม
‘เอ๊ะรอยยิ้มอย่างนั้นเหรอ’ หญิงวัยกลางคนรู้สึกสะดุดใจจึงได้เพ่งมองใบหน้าน้อยของเด็กหญิงอีกครั้งอย่างตั้งใจ ทำไมมันช่างเหมือนกันขนาดนี้ล่ะหล่อนคิด
“ท่านป้า ท่านป้าเจ้าคะข้ามีวิธีแล้ว” ฉินเซียวเมื่อเห็นว่าท่านป้ามองหน้าตนอยู่จึงได้เรียกหญิงผู้สูงวัยกว่า แต่เธอต้องเรียกซ้ำกว่าท่านป้าจะรู้สึกตัว
“ว่าอย่างไรเจ้าตัวน้อยเจ้ามีวิธีดี ๆ อะไรอย่างนั้นเหรอลองบอกป้าออกมา” หนิงลี่รู้สึกตื่นเต้นตามเด็กหญิงผู้มีคุณทันที
ฉินเซียวจึงได้เล่าแผนการออกมา ฝ่ายหญิงผู้สูงวัยกลับมีสีหน้าแสดงความสงสัยบางอย่างออกมาแทน
“เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าหมูของนางจะตาย” หนิงลี่มองหน้าเด็กที่ตนถูกชะตาด้วยความเคลือบแคลง
“มันเป็นความลับที่ติดตัวข้ามาเจ้าค่ะ ข้ามักจะมีลางบอกเหตุบางอย่างที่ผู้อื่นไม่รู้” เด็กหญิงกล่าวโป้ปดตาใสแต่ภายในใจรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“มันเป็นความจริงอย่างนั้นเหรอแต่เรื่องนี้ค่อนข้างเสี่ยงอยู่เหมือนกันนะ หากว่ามันไม่เป็นดั่งคำที่เจ้าว่ามาจะทำยังไงหม่านซิงจะไม่เกิดความระแวงเอาหรือ” คนอายุมากกว่ากังวล
“ข้ารับรองว่ามันต้องเป็นจริงอย่างแน่นอนท่านป้าเจ้าขา ข้าขอร้องได้โปรดเชื่อข้าสักครั้งเถอะ” เด็กหญิงวัยแปดหนาวกล่าววิงวอน
หนิงลี่นิ่งคิดตัดสินใจอยู่สักพักจึงได้ยอมพยักหน้าตกลง เรื่องคนแสดงเป็นนักพรตหาไม่ยากเนื่องจากนางมีคนรู้จักอยู่ในหอโคมเขียวที่นางมักจะนำเครื่องหอมไปส่งเป็นประจำอยู่แล้ว
“ตกลงข้าจะช่วยเจ้าเอาเป็นว่าอีกสองวันช่วงยามเซินข้าจะให้นักพรตผู้นั้นไปยังบ้านของเจ้า”
“ท่านป้าเรื่องเงินว่าจ้างข้าเอ่อ...คือข้าต้องขอรบกวนท่านด้วย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าสามารถรอดไปจากที่แห่งนั้นข้าจะหามาคืนท่านให้จงได้อย่างแน่นอน” เด็กหญิงคุกเข่าก้มหัวลงคำนับหญิงวัยกลางคนทันที
“เจ้าทำอะไร อย่าได้ทำแบบนี้เรื่องแค่นี้จะนับเป็นอะไรกับบุญคุณช่วยชีวิตกัน” หนิงลี่รีบห้ามการกระทำของเด็กตัวน้อยด้วยความร้อนรน
ฉินเซียวจึงได้หยุดการกระทำของตนแล้วคนทั้งคู่ก็ได้คุยกันเรื่องอื่น เด็กหญิงเมื่อเห็นว่าท่านป้าผู้นี้น่าจะไม่เป็นอะไรแล้วเธอจึงได้คิดจะไปตัดหญ้าให้หมูตามคำสั่ง
“ท่านป้า ตอนนี้ท่านยังรู้สึกเจ็บที่บาดแผลอยู่หรือไม่” เด็กน้อยถามหญิงวัยกลางคนผู้เป็นคนไข้รายแรกก่อนที่เธอคิดจะไปทำงานของตนต่อ
“ข้าไม่เจ็บแล้วเดี๋ยวข้าจะลองลุกเดินให้เจ้าดู” หนิงลี่กล่าวพร้อมกับลองลุกขึ้นยืน ในความรู้สึกของเธอตอนนี้ค่อนข้างอัศจรรย์กับผลการรักษาของเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก
“ข้าไม่เจ็บแล้วเจ้าหน้าทึ่งมากเลยเด็กน้อยยาของเจ้าช่างวิเศษเสียจริง” หญิงวัยกลางคนกล่าวออกมาจากใจ
กระจกวิเศษเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ก็อยากจะกลอกตาไปมาพร้อมกับคิดว่า ก็สิ่งที่ข้าให้เจ้าเด็กอัปลักษณ์ไปนั่นเป็นน้ำวิเศษเลยนะยาจะไม่ได้ผลได้ยังไงกัน
“เห็นผลดีก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าไม่ทราบว่าท่านหาดอกไม้ได้หรือยังจะให้ข้าช่วยหาหรือไม่” ฉินเซียวอาสาเพราะเธอค่อน ข้างคุ้นชินกับภูเขาแห่งนี้อยู่ไม่น้อย
“สิ่งที่ข้าตามหาเป็นดอกไม้กลีบสีม่วงให้กลิ่นหอมรัญจวนเจ้าเคยเห็นหรือเคยได้กลิ่นของมันหรือเปล่า” หนิงลี่กล่าวออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
นางหาดอกไม้ชนิดนี้มานานแต่ไม่เห็นสักทีหรือว่าช่วงนี้จะไม่ใช่ฤดูของมัน แม้กระทั่งป่าใกล้บ้านก็ไม่มีจึงทำให้นางต้องดั้นด้นมาถึงนี่ แต่คนที่ให้นางมาตามหากล่าวเอาไว้นี่ว่าดอกไม้ชนิดนี้มีอยู่ทุกฤดู
ฉินเซียวนิ่งคิด ก่อนที่จะนึกย้อนถึงในเรื่องราวที่ตนเคยรับรู้เหมือนกับว่าตัวเอกของเรื่องจะรู้ว่าดอกไม้แสนแปลกนี้อยู่ที่ใดด้วยความบังเอิญและนอกจากนั้นนางยังพบว่ามีดอกไม้บางชนิดที่สามารถนำมาทำเครื่องประทินโฉมคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าของหญิงสาวได้อีก แต่เรื่องนี้ยังอีกหลายปีดังนั้นวาสนาเรื่องเงินของเจ้าข้าขอนะวิญญาณสาวในร่างเด็กคิด
“ท่านกำลังตามหาดอกม่วงครามใช่หรือไม่เจ้าคะ” เด็กหญิงโพล่งออกมาหลังจากนึกออก
“ชะ...ใช่แล้วเจ้ารู้จักอย่างนั้นเหรอ ข้าขอบอกอย่างไม่ปิดบังมีคนต้องการให้ข้าทำเครื่องหอมจากกลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้” หนิงลี่กล่าวอย่างดีใจหากเด็กน้อยผู้นี้รู้จักเธอก็จะได้ทำงานสำเร็จเสียที
โป๊ยข่วยกับฉินเซียวที่ได้ฟังรู้สึกแปลกใจอยู่ค่อนข้างมากหากว่าแค่กลิ่นของดอกม่วงครามตามธรรมชาติหากสูดดมเข้าไปย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากว่านำไปแปรเปลี่ยนสภาพอย่างเช่น การทำเครื่องหอมแล้วหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานคนผู้นั้นจะติดพิษทำให้เกิดอาการหายใจติดขัดและทำให้สิ้นชีพได้ ใครกันที่ใจคอโหดร้ายแบบนี้เรื่องนี้ท่านป้ารู้หรือไม่
“ท่านป้าข้ามีเรื่องอยากถามท่านไม่ทราบว่าท่านรู้ผลร้ายของดอกไม้ชนิดนี้หรือไม่” เด็กหญิงวัยแปดหนาวมองจ้องตาของผู้สูงวัยกว่าก่อนถามออกมา
“ข้าขอตอบเจ้าตามตรงข้าเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อของมันจากหญิงผู้ว่าจ้าง นางบอกว่าดอกไม้ชนิดนี้มีกลิ่นหอมรัญจวนเป็นพิเศษทำให้นางอยากได้ หรือว่าดอกไม้ชนิดนี้มีปัญหากัน” หนิงลี่เล่าออกมาตามที่หญิงผู้นั้นบอกออกมาทั้งหมด
“ท่านป้าท่านไปบอกหญิงผู้นั้นว่าท่านหาดอกไม้ชนิดนี้ไม่เจอ ส่วนมันมีปัญหาหรือไม่คือว่าหาก...” เด็กหญิงตัวน้อยเล่าถึงผลร้ายของดอกม่วงครามให้กับป้าตามสายเลือดได้รู้
“นะ...นี่มันร้ายแรงถึงเพียงนี้เกือบไปแล้วข้าเกือบใช้วิชาเลี้ยงชีพฆ่าคนเสียแล้วหากไม่มาเจอเจ้า” หนิงลี่เอามือทาบ อกกล่าวออกมาใบหน้าไร้สีเลือด
“ในเมื่อรู้แล้วท่านป้าก็รีบกลับไปเถอะเจ้าค่ะ แล้วอย่าแสดงท่าทีมีพิรุธให้คนผู้นั้นจับได้ไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่าภัยจะมาถึงท่าน” ฉินเซียวกล่าวตามตรงด้วยความเป็นห่วง
ด้วยเพราะเธอได้ให้โป๊ยข่วยส่องอดีตของท่านจึงได้รู้ว่าป้าผู้นี้แม้จะหาเงินได้จากการทำเครื่องหอมแต่เงินนั้นก็จำเป็น ต้องเลี้ยงคนในครอบครัวถึงสี่ชีวิตรวมทั้งสามีที่กำลังบาดเจ็บ
อีกทั้งป้าผู้นี้ก็ยังคอยช่วยเหลือน้องสาวของตนที่เป็นบ้าในสายตาของคนอื่น ตั้งแต่ที่พ่อแม่พี่ชายของเธอถูกครอบครัวของปู่ย่าไล่ออกจากบ้านเพียงเพราะแม่เธอไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่พวกเขาต้องการ
“ขอบใจเจ้ามากแม่หมอตัวน้อย ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน อีกสองวันข้าจะให้นักพรตไปยังบ้านของเจ้าตามเวลานัด ส่วนเจ้าเองก็ระวังตัวด้วย” หญิงวัยกลางคนบอกลาเนื่อง จากเรื่องของนางเองก็เร่งด่วนไม่แพ้กัน
“ข้าจะรอเจ้าค่ะ” เด็กหญิงกล่าวจากนั้นคนทั้งสองก็แยกทางกัน ผู้หนึ่งเดินไปทางเหนือเพื่อเก็บหญ้าอีกคนเดินลงใต้เพื่อลงจากเขา
ตกเย็นของวันเด็กหญิงที่จัดการหาอาหารใส่กระเพาะน้อย ๆ ของตนก็เดินแบกตะกร้าสานที่มีหญ้าให้หมูกินโผล่พ้นปากตะกร้าเดินมาถึงประตูหน้าบ้านโดยที่คนในบ้านกำลังกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยและไม่มีใครรอเด็กหญิงคนนี้กันสักคน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นความชาชินของฉินเซียวตัวน้อยไปนานแล้ว
เด็กหญิงทำได้เพียงนำหญ้าออกมาเพื่อที่จะสับให้หมูกินเพียงเท่านั้น มือน้อยทำงานไปด้วยก็คิดไปด้วยว่าหากหลุดพ้นไปจากที่นี่ได้แม้ว่าครอบครัวอันแท้จริงของตนจะมีความลำบากเธอก็ยินดีที่จะกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่แท้จริง
เนื่องจากที่ฉินเซียวคิดอย่างนี้ก็เป็นเพราะว่าสาเหตุที่แม่ของตนเป็นบ้าก็เป็นเพราะกล่าวโทษตัวเองที่เป็นแม่ไม่ดีทำให้ลูกต้องตาย จากความสะเทือนใจทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพราะผู้เป็นย่าได้กลั่นแกล้งใช้งานแม่ของเธอให้ทำงานหนักในระหว่างตั้งครรภ์
ทำให้เธอคลอดก่อนกำหนดซึ่งการคลอดในครั้งนั้นก็บังเอิญเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หม่านซิงได้ไปขออาศัยอยู่ที่บ้านเดียวกัน ในโชคชะตาครั้งนั้นก็ได้นำพาการสลับลูกทำให้แม่ผู้น่าสงสารได้รับความกระทบกระเทือนใจตั้งแต่รู้ว่าลูกตัวน้อยที่อยู่ในท้องของตนตกตายทั้งที่ยังไม่ลืมตา
ฉินเซียวยิ่งคิดก็ยิ่งนึกชิงชังทั้งครอบครัวทางแม่ของบิดาและหม่านซิงผู้ที่เป็นสาเหตุในเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมด ‘รอก่อนเถอะเมื่อไหร่ที่ข้าได้หลุดพ้นจากที่นี่ใครทำร้ายมารดาข้า ข้าจะสนองคืนให้หมด’ เด็กหญิงที่มีร่างกายเพียงแปดหนาวคิดอย่างเดือดดาล
“ลูกรัก แล้วพวกเราจะเอาไปทำอาหารอะไรกันดีมันมีเยอะอยู่นะ” หนิงเซียนรีบเอ่ยถามบุตรสาวเพราะนางไม่เคยเห็นผักชนิดนี้มาก่อน“ข้าจะนำมาผัดเต้าหู้ก้อนที่ท่านแม่ทำไว้อย่างไรล่ะเจ้าคะ อีกทั้งถั่วงอกยังทำอาหารได้หลากหลายอีกด้วย ข้าจะแสดงฝีมือให้พวกท่านชิมเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบมารดาด้วยรอยยิ้มดวงตาเป็นประกาย“แต่ว่าคงจะต้องเป็นช่วงเย็นแล้ว เพราะตอนนี้ข้าได้เวลาจะต้องไปเรียนฝังเข็มแล้วเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกล่าวเสียงอ่อย“เจ้าอย่าได้เหนื่อยถึงเพียงนั้น เจ้าบอกแม่มาว่ามันทำอย่างไร แม่จะทำออกมาให้เจ้ากินเอง” หนิงเซียนเอามือลูบผมบุตรสาวกล่าวอย่างเป็นห่วงบุตรีตัวน้อย“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอธิบายวิธีการทำถั่วงอกผัดเต้าหูก่อนนะเจ้าคะ แล้วก็ทำซุปถั่วงอกใส่ผักดอง ท่านแม่วันนี้ท่านก็ทำผัดเปรี้ยวหวานเส้นถู่โต้วด้วยเลยเจ้าค่ะ ข้ามีลางว่าเราจะทำเงินจากพวกมันได้” ผู้เป็นลูกกอดเอวมารดากล่าวอย่างออดอ้อน“ได้ แม่ตามใจเจ้า” หนิงเซียนกระฉับอ้อมแขนของตนโอบกอดบุตรอย่างรักใคร่ทำให้พี่ชายอีกสองคนต่างเดินเข้ามากอดผู้เป็นน้องสาวกับแม่ของตนด้วย โดยคนเป็นพ่อได้แต่ยืนมองภาพด้านหน้าด้วยความสุขที่เข
แม้ว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ จนเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นเองกับตา ในระหว่างที่เด็กทั้งหมดขึ้นไปนั่งบนหลังเสือฉินเต๋อก็ได้บังคับรถม้ามาเห็นภาพดังกล่าว“ไป๋หู่ ข้าฝากเด็ก ๆ ด้วยนะ” ฉินเต๋อหยุดรถม้าบอกกล่าวสหายของบุตรสาวตัวโต ไป๋หู่ทำเพียงชำเรืองมองเขาอย่างเกียจคร้านก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาแผ่วเบา“เสือ ฝูหมิงน้องรีบพาทุกคนหนีออกมาเร็ว” ช่างหลิวเมื่อได้ยินเสียงของไป๋หู่เด็กหนุ่มจึงได้ลืมตามองออกไปด้านนอก จากนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดส่งเสียงดังด้วยความตกใจ“เจ้าช่วยควบคุมอารมณ์ด้วย แล้วมองให้ดีสิ” ซินฉีกล่าวกับเด็กหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ“เจ้าเฒ่าเหตุใดเสือพวกนั้นถึงยอมให้เด็กพวกนั้นขึ้นไปขี่หลังของมันได้ง่ายดายขนาดนั้น” หลวนคุนแม้ว่าคราแรกเขาจะตกใจเช่นเดียวกับช่างหลิว แต่เมื่อเห็นภาพที่เสือสองตัวใหญ่ยอมหมอบตัวลงให้เด็กทั้งแปดขึ้นหลังเขาจึงได้รู้สึกแปลกใจแทน“ครอบครัวเสือเป็นสหายของลูกศิษย์ข้าเอง นางบอกข้าแบบนั้น” ซินฉีเอามือลูบเคราแพะของตนตอบเสียงเรียบ“สหายอย่างนั้นหรือ” หลวนคุนทวนคำด้วยความแปลกใจ“คนเป็นเพื่อนกับพยัคฆ
ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ฉินเซียวปฏิเสธ“อ้าว แต่เจ้ารู้จักชื่อของนางหรือว่าท่านเทพจะให้เจ้าช่วยเหลือนางใช่หรือไม่” หนิงเซียนกระซิบข้างหูบุตรีถามเสียงเบา“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่างท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลยข้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นอันใดแล้วจริง ๆ” ฉินเซียวกล่าวกับมารดาเสียงเบายกยิ้มยืนยันให้คนเป็นแม่“เจ้าไม่เป็นอันใดก็ดี คราวหลังเจ้าอย่าได้ร้องไห้เช่นนั้นอีกเลยหัวใจแม่เจ็บปวดนัก” หนิงเซียนเอามือลูบผมของลูกสาวอย่างอ่อนโยน ซึ่งการกระทำของนางก็อยู่ภายใต้สายตาของเยว่เสี่ยง ทำให้นางมองความอบอุ่นตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิจฉาที่นางไม่มีมารดาเหมือนผู้อื่น“พี่สาวเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดหรือไม่” ฉินเซียวเมื่อเห็นใบ หน้าอันผิดแปลกไปของหญิงแรกรุ่นนางนี้เธอจึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสาร ด้วยนางรู้ชะตาของนางร้ายคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้าอัปลักษณ์เจ้าเปลี่ยนชะตาของนางได้นะ” โป๊ยข่วยเอ่ยออกมาเมื่อรับรู้ความคิดของคู่หู“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนเพราะนางเป็นคนดี” ฉินเซียวสื่อสารกับกระจกเทพอย่างยินดี แล้วการสนทนาของกระจกเทพกับเด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดลง“ขะ...ข้าไม่เป็นอันใดหร
“เจ้าไม่ต้องสุภาพนักหรอก เจ้ารีบกินมันเข้าไปตอนยังร้อนเถอะ” หลวนคุนรีบเอ่ยแย้ง“ขอรับ” ช่างหลิวจึงได้นำช้อนที่ซินฉีส่งให้ตักซุปไก่เข้าปากทันทีก่อนที่เขาจะเบิกตากว้าง“รสชาติเป็นอย่างไรหากว่ามันไม่อะ…” ซินฉียังพูดไม่ทันจบเสียงของเด็กหนุ่มก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน“อร่อยขอรับ มันอร่อยมากเลยข้าไม่คิดว่าอาหารยาจะอร่อยถึงเพียงนี้” ช่างหลิวยกยิ้มอย่างพอใจ“อ๋อเป็นเช่นนั้นถ้ามันอร่อยก็ดี แล้วถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กินให้หมดถ้วยเถอะหากยังไม่พอก็ยังมีในหม้ออีก” หลวนคุนเอ่ยอย่างโล่งอก“ขอรับ ข้าต้องขอบพระคุณท่านหมอมาก” ช่างหลิวยกยิ้มมองหมอทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ“จุ๊ ๆ เจ้าอัปลักษณ์อาจารย์ของเจ้ากับเจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันเลย ช่างสมกับเป็นศิษย์อาจารย์กันเสียจริง” กระจกเทพที่รับรู้เรื่องราวของอีกห้องได้ลอยตัวมาบอกกับสหาย“นะ...นั่นเจ้ากำลังจะลงเข็มผิดแล้ว มีสมาธิหน่อยสิ” แต่กระจกเทพก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจ“ก็ข้ามัวแต่ฟังเจ้าอยู่นี่นา ฮู่ว์! เกือบไป” ฉินเซียวถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้จะเป็นการฝึกก็ตาม“แม้สิ่งนี้จะเป็นเพียงหุ่
ในระหว่างการขายผลลี่จื่อนั้นฉินเซียวก็ได้บอกกับลูกค้าว่าร้านของนางน่าจะขายได้พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายเพราะผลสุกของมันนั้นหมดแล้ว“หมดแล้วอย่างนั้นหรือ ต่อไปข้าจะไปซื้อกินที่ไหนได้” ชายวัยกลางคนลูกค้าประจำกล่าวอย่างเสียดาย“เอาไว้ปีหน้านะเจ้าคะ” ฉินเซียวแย้มยิ้มบอกชายวัยกลาง คนผู้นั้น นางเองก็รู้สึกเสียดายเงินเหมือนกันต่อให้ปลูกต้นลี่จื่อเพิ่มก็ยังช้าอยู่ดี อีกอย่างในครึ่งเดือนข้างหน้านางกับพี่ ๆ ก็จะต้องไปเรียนกันด้วย“แม่หนู ที่เจ้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ แล้วอย่างนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะกินอะไรได้กันล่ะ” พ่อบ้านผิงกล่าวอย่างเศร้าหมอง“ข้าคิดว่าลองให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินผักสดดีหรือไม่ น่าจะดีกว่ากินผลลี่จื่อกับผักดองอย่างเช่นทุกวันนี้” ฉินเซียวเอ่ยแนะพ่อบ้านชรา“ผักสดอย่างนั้นหรือ อากาศเย็นขนาดนี้อีกทั้งใกล้ปีใหม่หิมะก็จะตกที่ไหนจะมีผักสดขายกัน” ชายชรายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหดหู่หากมีผักสดเขาคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก“หากข้ามีท่านจะซื้อหรือไม่ แต่ข้ามีไม่เยอะนะเจ้าคะ อันที่จริงที่ข้าบอกท่านนั้นก็เป็นเพราะข้าเห็นใจคนชราเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกระซิบเส
“เป็นเจ้า” หลวนคุนเอ่ยเสียงดัง“เจ้าเฒ่าสบายดีหรือไม่” ซินฉีทักสหายรักด้วยรอยยิ้ม“สหายน่าชังอย่างเจ้ายังมีหน้ามาถามว่าข้าสบายดีอยู่อีกหรือ เล่นทิ้งงานไว้ให้ข้าเพียงผู้เดียว” หลวนคุนได้ทีกล่าวประชดประชันคนหน้าตายผู้นี้ แม้ว่าเขาจะไปหายาถอนพิษก็ตามแต่แม้จดหมายก็ไม่ส่งข่าวมันก็เกินไป“เอาน่าเจ้าอย่าได้โมโหนัก ตอนนี้ข้าก็กลับมาแล้ว เอาไว้ข้าสั่งสอนศิษย์จนทั้งสองเข้าสำนักศึกษาได้ข้าจะกลับไปช่วยเจ้าก็แล้วกัน” ซินฉีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“เจ้ายังรู้สำนึกแต่อีกสองเดือนเลยนะ ว่าแต่เรื่องพิษของเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้างข้าได้ตัวยาสำคัญมาแล้วนะ แต่จะว่าไปหากนางเป็นศิษย์ของเจ้าเรื่องยาก็คงไม่ต้องห่วงแล้วสิ” หลวนคุนรีบถามสหาย แต่พอเขาฉุกคิดได้ว่าผู้ใดเป็นคนนำสมุนไพรหายากชนิดนั้นมาขายให้ตนชายชราก็นิ่งเงียบไป“หายดีแล้วละ เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ศิษย์เอกตัวน้อยของข้า” ซินฉียกยิ้มตอบด้วยความภูมิใจ“ข้าดีใจด้วยเจ้าจะได้หยุดออกเร่ร่อนเสียทีและมาช่วยข้าทำงานได้แล้ว ว่าแต่ศิษย์ของเจ้าอีกคนเป็นใคร” หลวนคุนอดเอ่ยถามสหายไม่ได้เพราะเขาเคยได้ยินว่าสหายจะรับศิษย์เพียงคนเ