“คนขายเนื้อต้า เจ้ากำลังจะไปไหนอย่างนั้นหรือ” ชายวัยชราผู้หนึ่งที่เคยซื้อเนื้อกับชายผู้นี้ซักถามด้วยความสงสัย
“ข้ากำลังจะไปบ้านนางจางแล้วพวกท่านพาคนมาเยอะแยะจะไปที่ใดกัน” ชายร่างอ้วนผู้ดื่มเหล้ามาแต่เช้าถามกลับ
“อ๋อ พวกข้าก็กำลังจะไปบ้านนางจางนั้นแหละ ว่าแต่เจ้ามีเรื่องอันใดกับบ้านของนาง หรือว่าเจ้าจะไปดูสิ่งที่ท่านนักพรตทำนายเหมือนพวกเราอย่างนั้นเหรอ” ชายชราผู้นั้นตอบก่อนถามในเรื่องที่ตนอยากรู้
“คำทำนายอะไรข้าไม่รู้หรอก ที่ข้าจะไปก็เพราะนางจางบอกขายลูกสาวคนรองให้ข้าเมื่อวานนี้ ข้าก็เลยจะไปดูใบหน้านาง” ชายร่างอ้วนตอบตามตรง
หลังสิ้นเสียงชายผู้นี้นักพรตเฒ่าก็รู้สึกชาหนังศีรษะของตนวาบ เขาไม่คาดคิดว่าหญิงผู้นั้นจะใจคอผิดมนุษย์มากได้ ถึงเพียงนี้
“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าจะซื้อตัวฉินเซียวไปเป็นเจ้าสาวเด็กอย่างนั้นเหรอ เจ้าไม่รู้หรือว่านางเป็นตัวโชคร้ายที่พวกเรากำลังจะไปที่นั่นก็เป็นเพราะ...” ชายชราตกใจจึงได้เล่าเรื่องราวเมื่อวานออกมาทั้งหมด
ต้าหวางหลังจากที่ได้ยินก็มีใบหน้าถอดสีจากซีดเซียวก็เปลี่ยนเป็นดำคล้ำด้วยความโกรธที่ตนกำลังจะถูกย้อม แมวขาย
เรื่องซื้อขายเด็กผู้หญิงสำหรับชาวบ้านพวกนี้เขาไม่มีความสำนึกในเรื่องผิดบาปอะไรทั้งสิ้นและก็มีคนทำออกบ่อยเพราะเขาคิดกันว่าเลี้ยงเด็กผู้หญิงก็เป็นการขาดทุนไม่เหมือนเด็กผู้ชายที่สามารถไปร่ำเรียนและสอบขุนนางได้
“ที่ท่านกล่าวออกมาเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นเหรอ เกือบไปแล้วหากข้าไม่มาเจอพวกท่านเสียก่อนบางทีตัวซวยนั่นอาจจะไปอยู่บ้านข้าแล้ว” ต้าหวางรีบพูดออกมา
แต่ชาวบ้านที่ได้ฟังต่างคิดว่าอย่างกับเจ้าไม่ใช่ตัวซวยแต่งภรรยามาสามคนแล้วล้วนแต่ตกตายกันทุกคน
“เจ้ายังจะไปกับพวกเราไหม บางทีวันนี้อาจจะไม่มีอะไรเกิด ขึ้นก็ได้” ชายชรากล่าวชวนเพราะถ้าหากมีพวกเขาก็คงมีเรื่องสนุกให้ชมเพิ่ม
“ข้าไป เรื่องแบบนี้จะต้องไปให้เห็นกับตาหากเป็นจริงดั่งคำที่ท่านนักพรตทำนายรับรองว่านางจางได้เห็นดีกับข้าแน่” ชายร่างอ้วนตอบรับเสียงดังกำหมัดแน่น
ดังนั้นชาวบ้านจึงได้มีผู้ร่วมเดินทางมาเพิ่มอีกหนึ่งคน เมื่อทุกคนมาถึงบ้านของครอบครัวฉิน พวกเขาก็รีบตะโกนร้องเรียกคนในบ้านเสียงดัง นางจางกับฉินหย่งถึงกับตกใจที่เหล่าชาวบ้านพาคนมาอีกแล้ว คนทั้งสองจึงได้เดินออกมาจากห้องโถงของบ้าน
“พวกท่านไม่มีงานการทำหรือถึงได้พากันมาบ้านข้าสองวันติดแบบนี้” ฉินหย่งเมื่อเปิดประตูบ้านจึงได้กล่าวเหน็บแนมออกมา
“พวกข้าก็มีงานทำเหมือนเจ้านั่นแหละแต่ที่มาก็เป็นเพราะถ้าหากบ้านของเจ้าเกิดเรื่องแล้วปิดบังเหล่าชาวบ้านผู้ไม่รู้เรื่องก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นจะให้พวกเรานิ่งนอนใจได้ยังไง” ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนกล่าวซึ่งตรงใจกับทุกคน
“บ้านข้าก็ปกติดีหาได้เกิดเรื่องอันใดไม่” นางจางโต้ขึ้น
“ประสก ไม่จริงหรอกบัดนี้ข้าผู้ทรงศีลได้เห็นเงาแห่งความตายกำลังคืบคลานไปยังหลังบ้านของเจ้าหากไม่เชื่อเจ้าลองไปดูเอาเองก็แล้วกัน” นักพรตหลับตาเอามือจับประคำพูดออกมาหลังสิ้นคำของเจ้าบ้านหญิง
“ไม่จริง หากว่าข้าไปดูแล้วไม่เกิดอันใดข้าจะแจ้งทางการให้ลงโทษเจ้าฐานหลอกลวงคอยดู” นางจางที่เริ่มรู้สึกเอะใจกัดฟันกล่าวคาดโทษ
“จริงหรือไม่เจ้าไปดูเดี๋ยวก็รู้ หากเป็นเรื่องจริงข้าก็จะเอาเรื่องเจ้าที่คิดมาหลอกข้าเช่นกัน” ต้าหวางที่อยู่หลังกลุ่มคนโพล่งออกมา
“ตะ...ต้าหวางท่านมากับพวกเขาได้ยังไง” นางจางหน้าซีดหากเป็นอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเรื่องทุกอย่างได้ผิดแผนไปหมดหรอกหรือ ฉินหย่งเองก็มีใบหน้าเช่นเดียวกันเมื่อคิดว่าลาภที่กำลังจะได้นั้นกำลังจะหายลับไป
ทางด้านฉินเซียวที่ได้ยินทุกถ้อยคำของคนพวกนี้หล่อนก็มีใบหน้าเฉยเมยก้มหน้าลงเพื่อไม่ให้ผู้อื่นจับสังเกตได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร
“เจ้าเด็กอัปลักษณ์ข้าได้สิ่งของที่พิสูจน์ตัวตนของเจ้ามาด้วยอยากดูหรือไม่” กระจกใบน้อยกล่าวออกมาอย่างคนขี้อวด
“ท่านหมายความอย่างไรของแทนตัวอะไรทำไมข้าถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน” เด็กน้อยส่งเสียงโต้ตอบผ่านความคิด
“เจ้าจะเห็นได้อย่างไรก็นางผู้นั้นเก็บซ่อนไว้ในดินข้าเพิ่งจะไปขโมยเอ้ยไม่ใช่ข้าเพิ่งจะนำมันเข้ามิติเมื่อนางเผลอ” กระจกใบน้อยตอบไม่เต็มเสียงนักเพราะการฉกฉวยของผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ดี
“มันเป็นของข้าเจ้าไม่ได้ขโมยเสียหน่อยเขาเรียกว่าส่งคืนเจ้าของที่แท้จริงต่างหากดังนั้นไม่ผิด” ฉินเซียวที่พอจะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนคู่หูเอ่ย
“ใช่ ๆ เจ้าพูดถูก” โป๊ยข่วยเมื่อรู้สึกสบายใจแล้วก็กล่าวออกมาอย่างร่าเริงตามเดิม
“ว่าแต่เจ้ารู้ได้ยังไงว่าสิ่งนั้นเป็นของข้า” เด็กหญิงเมื่อได้ยินน้ำเสียงอันสดใสของกระจกวิเศษถามด้วยความสงสัย
“ข้าจะเล่าให้ฟัง เมื่อเช้ามืดฟ้ายังไม่ทันสว่างดีข้าเห็นนางจางผู้นั้นทำลับ ๆ ล่อ ๆ ข้ากลัวว่านางจะทำอะไรไม่ดีกับเจ้าอีกข้าจึงได้ตามนางไปจนกระทั่งนางเข้าไปในห้องแล้วก็ขุดดินใต้เตียงข้าก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น จนนางหยิบกล่องไม้ขึ้นมาจากนั้นนางก็นำมันขึ้นมาเปิดข้าจึงได้มองเห็นว่ามันเป็นเศษผ้าสีแดงมีตัวอักษรเป็นชื่อของเจ้า ข้างกันก็ยังมีหยกแกะ สลักเป็นดอกหญ้าสี่กลีบสีเขียวอ่อนใสนางพูดอย่างเคียดแค้นว่า หนิงเซียนข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ใจเรื่องลูกจนตายชาตินี้อย่าได้หวังว่าเจ้าจะเจอหน้าลูกของตน” โป๊ยข่วยเลียนเสียงของนางจางพูดออกมา หากว่ามันมีร่างกายฉินเซียวก็คงจะได้เห็นท่าทางของนางจางด้วยแน่
เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองกระจกเพื่อนยากน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ เพราะตั้งแต่เธอเกิดมาแล้วจำความได้หาได้มีใครดีกับตนเช่นนี้มาก่อนเลย
ไม่สิชาติก่อนอาจจะมีคนอีกผู้หนึ่งที่ดีกับนางแต่ช่างน่าเสียดายที่นางไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเพราะบุรุษผู้นั้นมักสวมหน้า กากอยู่ตลอดเวลา ยามนั้นนางจำได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในช่วงสิ้นหวังจากสามี
นางก็บังเอิญได้พบกับเขาแม้ว่านางจะเคยเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ก็ตาม แต่ในยามที่นางเกิดปัญหาคนผู้นี้ก็มักจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออยู่เสมอทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ช่วงที่นางป่วยนั้นบังเอิญว่าเขาต้องเดินทางไปต่างเมืองทำให้นางถึงต้องตายอย่างโดดเดี่ยว
และตอนที่นางเป็นวิญญาณก็ไม่เจอกับเขาอีกเลยแม้ในกระจกที่ท่านเทพชะตาให้นางดูก็ได้หาปรากฎบุคคลผู้นี้ไม่ ในขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยกำลังตกอยู่ในภวังค์ก็ได้มีเสียงกรีดร้องแหลมสูงของนางจางปลุกสติของเธอให้กลับคืนมา
เสียงนั้นได้เรียกให้คนด้านนอกแห่กันเข้าไปด้านหลังบ้านครอบครัวฉิน จะเว้นก็แต่นักพรตเฒ่าที่เดินมาแก้เชือกให้กับเด็กน้อยผู้นี้
“เด็กน้อยไม่ต้องกลัวข้าจะช่วยเจ้าออกไปแต่เจ้าต้องรักษาบทของเจ้าให้ดีอดทนอีกนิดเจ้าก็จะพ้นจากนรกขุมนี้แล้ว” ผู้ที่แสดงเป็นนักพรตพูดกับเด็กหญิงด้วยความสงสาร
“เจ้าค่ะ” ฉินเซียวตอบรับเสียงแผ่ว
แม้จิตวิญญาณจะได้พักแต่ร่างกายภายนอกนั้นทั้งตากแดดตากน้ำค้างหากจะไม่ย่ำแย่นี่สิแปลก
ผู้คนที่แห่เข้าไปบริเวณหลังบ้านต่างชี้ชวนกันให้มองดูหมู ตัวใหญ่ที่นอนแน่นิ่งอยู่ในเล้าหายใจรวยรินโดยมีนางจางนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหมูตัวใหญ่กำลังร่ำไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา
“ไม่จริง หมูบ้านข้า หมูของข้า” ฉินหย่งรีบเดินเข้าไปในเล้าหมูร้องตะโกนเสียงดังก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหานางจางเพื่อทุบตี
“มันเป็นเพราะเจ้า ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้คิดยุ่งกับเด็กนั่นอีก เพราะเจ้านังโง่คราวนี้หมูที่กำลังจะขายได้ก็มาตกตาย งงเงินก็ไม่ได้ นังโง่ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารอีก ปัดโธ่โว้ยทำไมข้าถึงได้หญิงโง่แบบเจ้าเป็นเมียกัน” ฉินหย่งผรุสวาทถ้อยคำหยาบคายออกมาอีกมากมาย
แต่ความซวยก็ยังไม่หมดไปจากนางจางเมื่อชายร่างใหญ่หนวดเครารุงรังปรากฎตัวออกมา
“นางจาง เจ้ามันชั่วคิดจะย้อมแมวขายเด็กให้กับข้าวันนี้หากเจ้าไม่จ่ายเงินค่าเสียเวลาอย่าหาว่าข้าใจดำ” ต้าหวางเดินฝ่าฝูงชนออกมาพูดเสียงดังปานฟ้าผ่า
“เจ้ายังต้องการอะไรอีกข้าไม่มีเงินให้ใครทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ข้ากำลังจะหมดตัวเป็นเพราะนังตัวซวยนั่นคนเดียวข้าจะไปตีนางให้ตาย” จางหม่านซิงที่หมดความอดทนพูดเสียงดังก่อนลุกขึ้นยืนด้วยความแค้นพุ่งตัวออกไปจากเล้าหมูทันที
“รีบห้ามนางท่านนักพรตก็บอกแล้วว่าหากนางยุ่งเกี่ยวกับฉินเซียวอีกความโชคร้ายจะมีต่อเนื่อง หากนางตีเด็กคนนั้นจริงพวกเราจะไม่เดือดร้อนไปด้วยหรอกหรือ” ผู้ใหญ่บ้านรีบสั่งลูกบ้านเสียงดัง
ดังนั้นชาวบ้านที่รวมตัวกันจึงรีบวิ่งตามนางจางไปอย่างรวดเร็ว ฉินเซียวเมื่อตัวเองเป็นอิสระและเมื่อเห็นสีหน้านางจางที่เดินมาทางตนเธอก็รีบหลบหลังนักพรตเฒ่าทันที
“นางตัวซวยออกมาให้ข้าตีเจ้าเดี๋ยวนี้ ออกมา” นางจางตวาดเสียงดังอย่างเดือดดาล
“หยุดเดี๋ยวนี้นะนางจาง ท่านนักพรตก็บอกวิธีแก้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเธอไม่เชื่อเอง แล้วนี่ยังจะหาเรื่องใส่ตัวอีกเหรอเจ้าก็แค่ตัดขาดนางแค่นั้นเรื่องก็จบ” ผู้ใหญ่บ้านที่เดินตามมาทันพูดอย่างเหนื่อยหอบ
ต้าหวางเองก็เดินตามออกมาด้วยและเมื่อเขาเห็นใบหน้า อันเป็นแผลหนองของฉินเซียวเขาก็ผงะไปด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็ยิ่งทวีความโกรธเกลียดนางจางมากขึ้นไปอีก
“นี่คือเด็กที่เจ้าจะขายให้ข้าอย่างนั้นเหรอ นางจางเจ้าช่างเหิมเกริมเสียจริงคิดปัดความโชคร้ายยังไม่พอยังคิดขายเด็กหน้าผีผู้นี้อีก วันนี้หากข้าไม่ตีคนบ้านเจ้าใครก็อย่ามาเรียกข้าว่าต้าหวาง” ชายร่างใหญ่พูดเสียงดังจากนั้นเขาก็ย่างสามขุมเดินเข้าไปหาฉินหย่ง ชายแซ่ฉินเมื่อเห็นท่าทีอันดุร้ายเหมือนหมีของคนขายเนื้อก็ทำท่าจะวิ่งหนีแต่มันก็สายไปเมื่อต้าหวางคว้าแขนของเขาเอาไว้ได้จากนั้นชายผู้นี้ก็ลงมือทุบตีฉินหย่งอย่างไม่ออมมือ
เหตุการณ์ทุกอย่างช่างดูชุลมุนวุ่นวายแม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ยังทำอะไรไม่ถูก ส่วนลูกชายและลูกสาวของครอบครัวฉินเมื่อเห็นชายร่างใหญ่ดุร้ายทุบตีคนเป็นพ่อพวกเขาก็ได้แต่ยืนตัวสั่นกอดกันร้องไห้
“ประสกหยุดมือเถอะ หากไม่หยุดระวังเจ้าจะขายสินค้าไม่ได้เพราะติดโชคร้ายไปด้วยนะ” นักพรตปลอมย่อมต้องแสดงความเมตตาให้สมบทบาทเมื่อเขาเห็นว่าชายแซ่ฉินถูกทุบตีจนมีสภาพดูไม่ได้ตามใบหน้าเริ่มมีรอยฟกช้ำเขาจึงได้เปิดปากห้าม
ต้าหวางเมื่อได้ยินว่าตนอาจจะซวยไปด้วยเขาก็หยุดมือทันทีพร้อมเดินออกจากลานบ้านฉินไปโดยไม่คิดเหลียวหลัง
นางจางเมื่อเห็นแกะอ้วนจากไปนางก็ได้แต่นึกเสียใจ ผู้ใหญ่บ้านที่ยังอยู่กับชาวบ้าน พวกเขาเองต่างก็ต้องการให้นางจางจัดการเรื่องฉินเซียวให้เรียบร้อย เพราะวันนี้คำทำนายได้ประจักษ์ต่อสายตาของพวกตนแล้ว
“นางจางเจ้าจะต้องให้ลูกคนรองของเจ้าออกไปจากหมู่บ้านของเรา เจ้าจงทำตามที่นักพรตเฒ่าบอกเสียไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย” ผู้ใหญ่บ้านวัยกลางคนตัดสินใจเด็ดขาดโดยมีชาวบ้านต่างส่งเสียงดังอย่างเห็นด้วย
กระจกใบน้อยและฉินเซียวต่างคิดเหมือนกันว่าชาวบ้านที่หมู่บ้านนี้หาดีไม่ได้สักคน เด็กหญิงวัยแปดหนาวแม้ในใจจะคิดแบบนั้นแต่ความเป็นจริงเธอจำต้องแสดงบทเด็กน้อยผู้น่าสงสารออกมา
“ฮือ ๆ ท่านแม่ ท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน ท่านจะไล่ข้าหรือเจ้าคะ แล้วจะให้ข้าไปอยู่ที่ใดข้าไม่ใช่ตัวโชคร้ายนะใช่ไหมท่านแม่” เด็กน้อยคุกเข่าลงต่อหน้านางจางโดยหวังจะเอาแขนผอมบางของตนโอบขาของแม่จอมปลอมผู้นี้
“เจ้าอย่ามาถูกตัวข้านังตัวซวย” นางจางรีบถอยหลังหนีแขนของเด็กหญิงทันที เด็กน้อยจึงได้แต่ร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้นแม้จะเป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นแต่ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“ประสกให้เด็กคนนี้ติดตามข้าไปเถอะ รับรองว่าต่อไปนี้เรื่องร้ายจะได้หมดไปจากบ้านของเจ้า” นักพรตผู้ชราอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้กล่าวออกมา
“ใช่ ๆ ข้าเห็นด้วยกับท่านนักพรต นางจางจะเอายังไงรีบว่ามาข้าจะได้จัดการเรื่องให้เรียบร้อย” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเร่งโดยมีแรงสนับสนุนจากชาวบ้านมากมาย
“ท่านนักพรตเอานางเด็กนั่นไปเลย ข้าจะทำเรื่องตัดขาดจากมันให้มันออกจากครอบครัวของข้า” ฉินหย่งแม้จะเจ็บตัวเจ็บปากแต่จะให้นิ่งเงียบเขาก็ยอมไม่ได้เช่นกัน
“แต่ท่านพี่” นางจางยังไม่อยากปล่อยจึงเปิดปากของตน
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นข้าเกือบตายเพราะมันแล้ว หากเจ้าไม่อยากให้ข้าตัดนางข้าก็จะไล่เจ้าด้วย” ฉินหย่งโมโห
นางจางจึงได้เงียบเสียงตัวเองลง ยุคนี้สามีเปรียบดั่งแผ่นฟ้าหากนางถูกขับออกจากบ้านทางเดียวที่รอนางก็คือความตายเพียงเท่านั้น
“ได้ ข้าเตรียมหนังสือตัดขาดมาแล้วพวกเจ้าก็ไปเรียกคนในตระกูลมาเป็นพยานเถอะ” ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกดีใจรีบกล่าวออกมา
ฉินเซียวเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้น้ำตาเม็ดใสก็ร่วงพรูออกจากดวงตาอันสวยงามของเจ้าตัว ผู้คนที่ได้เห็นก็คงคิดเพียงว่าเด็กน้อยเสียใจแต่จะให้ทำอย่างไรพวกเขายอมเป็นคนใจดำดีกว่าให้ตัวเองเดือดร้อน
ฉินเซียวนึกถึงเรื่องครั้งก่อนที่ตัวเธอต่างทำให้คนบ้านฉินรวมทั้งคนในหมู่บ้านแห่งนี้มากมายครานั้น แม้เธอจะถูกตราหน้าว่าพรากวาสนาคู่ยวนยางแต่เวลาที่มีคนในหมู่บ้านเจ็บป่วยเธอก็มารักษาให้ไม่คิดเงิน
“ข้าในอดีตช่างโง่เสียจริงนะโป๊ยข่วย” ฉินเซียวกล่าวกับกระจกเพื่อนยากน้ำตาไหลอาบแก้มผอม
“มันเป็นอดีตไปแล้วต่อไปนี้เจ้าจะมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอนเชื่อข้า” กระจกใบน้อยเข้ามาคลอเคลียเด็กหญิงกล่าวปลอบใจ
“ข้าเชื่อเจ้า” เด็กวัยแปดหนาวตอบรับอย่างมุ่งมั่นและเธอก็เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ
การตัดขาดความสัมพันธ์กับครอบครัวฉินเป็นไปอย่างรวดเร็วเพราะทุกคนในหมู่บ้านต่างรับรู้ข่าวลือที่ว่ากันครบโดยถ้วนหน้า
“ต่อไปนี้ข้ามีแค่ลูกชายคนโตและลูกสาวคนเล็กเพียงเท่านั้นส่วนคนรองนั้นตายไปนานแล้วขอทุกคนอย่าได้พูดเรื่องนี้อีก” ฉินหย่งประกาศเสียงดัง
“ใช่ข้าไม่มีลูกคนรอง” นางจางเองก็กล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย
สำหรับฉินเซียวนั้นเธอได้ทำในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนคือเธอได้นั่งลงและโขกศีรษะลงไปทางฉินหย่งกับนางจางสามครั้งก่อนที่เด็กหญิงจะเงยหน้าของตนมองไปทางผู้ที่เคยเลี้ยงดู อย่างน้อยเขาทั้งสองก็เลี้ยงเธอมาจนกระทั่งตอนนี้แม้จะไม่ดีก็ตาม
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าฉินเซียวโขกศีรษะคำนับพวกท่านถือเป็นความกตัญญูครั้งสุดท้ายหวังว่าต่อไปนี้พวกเราจะไม่เกี่ยวข้องไม่ว่าทางใดอีก บุญคุณที่ท่านเลี้ยงข้ามาข้าได้คืนท่านไปหมดแล้ว ลาก่อน” เด็กหญิงกล่าวจบเธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยวมั่นคง
ลมก็พัดโบกสะบัดรอบกายของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้ชายเสื้อโบกสะบัดประหนึ่งเป็นการปลอบประโลม เด็กหญิงร่างผอมกระชับสัญญาในมือแน่น
“ประสกทั้งหลายข้าผู้ทรงศีลขอลา” นักพรตผู้ชราเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องจากเขาจึงได้เอ่ยคำพูดออกมาโดยไม่ต้องรอให้ใครตอบรับ หนึ่งนักพรตเฒ่าหนึ่งเด็กหญิงตัวน้อยก็เดินออกจากลานบ้านของครอบครัวฉินไปทันที
ทั้งสองคนต่างเร่งฝีเท้ากันอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่ามีปีศาจร้ายวิ่งตามหลัง หากว่าวิ่งได้พวกเขาก็คงจะวิ่งกันแล้วแต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์จึงจำใจได้แต่ก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพียงเท่านั้น
“ลูกรัก แล้วพวกเราจะเอาไปทำอาหารอะไรกันดีมันมีเยอะอยู่นะ” หนิงเซียนรีบเอ่ยถามบุตรสาวเพราะนางไม่เคยเห็นผักชนิดนี้มาก่อน“ข้าจะนำมาผัดเต้าหู้ก้อนที่ท่านแม่ทำไว้อย่างไรล่ะเจ้าคะ อีกทั้งถั่วงอกยังทำอาหารได้หลากหลายอีกด้วย ข้าจะแสดงฝีมือให้พวกท่านชิมเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตอบมารดาด้วยรอยยิ้มดวงตาเป็นประกาย“แต่ว่าคงจะต้องเป็นช่วงเย็นแล้ว เพราะตอนนี้ข้าได้เวลาจะต้องไปเรียนฝังเข็มแล้วเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกล่าวเสียงอ่อย“เจ้าอย่าได้เหนื่อยถึงเพียงนั้น เจ้าบอกแม่มาว่ามันทำอย่างไร แม่จะทำออกมาให้เจ้ากินเอง” หนิงเซียนเอามือลูบผมบุตรสาวกล่าวอย่างเป็นห่วงบุตรีตัวน้อย“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอธิบายวิธีการทำถั่วงอกผัดเต้าหูก่อนนะเจ้าคะ แล้วก็ทำซุปถั่วงอกใส่ผักดอง ท่านแม่วันนี้ท่านก็ทำผัดเปรี้ยวหวานเส้นถู่โต้วด้วยเลยเจ้าค่ะ ข้ามีลางว่าเราจะทำเงินจากพวกมันได้” ผู้เป็นลูกกอดเอวมารดากล่าวอย่างออดอ้อน“ได้ แม่ตามใจเจ้า” หนิงเซียนกระฉับอ้อมแขนของตนโอบกอดบุตรอย่างรักใคร่ทำให้พี่ชายอีกสองคนต่างเดินเข้ามากอดผู้เป็นน้องสาวกับแม่ของตนด้วย โดยคนเป็นพ่อได้แต่ยืนมองภาพด้านหน้าด้วยความสุขที่เข
แม้ว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ จนเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นเองกับตา ในระหว่างที่เด็กทั้งหมดขึ้นไปนั่งบนหลังเสือฉินเต๋อก็ได้บังคับรถม้ามาเห็นภาพดังกล่าว“ไป๋หู่ ข้าฝากเด็ก ๆ ด้วยนะ” ฉินเต๋อหยุดรถม้าบอกกล่าวสหายของบุตรสาวตัวโต ไป๋หู่ทำเพียงชำเรืองมองเขาอย่างเกียจคร้านก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมาแผ่วเบา“เสือ ฝูหมิงน้องรีบพาทุกคนหนีออกมาเร็ว” ช่างหลิวเมื่อได้ยินเสียงของไป๋หู่เด็กหนุ่มจึงได้ลืมตามองออกไปด้านนอก จากนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดส่งเสียงดังด้วยความตกใจ“เจ้าช่วยควบคุมอารมณ์ด้วย แล้วมองให้ดีสิ” ซินฉีกล่าวกับเด็กหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ“เจ้าเฒ่าเหตุใดเสือพวกนั้นถึงยอมให้เด็กพวกนั้นขึ้นไปขี่หลังของมันได้ง่ายดายขนาดนั้น” หลวนคุนแม้ว่าคราแรกเขาจะตกใจเช่นเดียวกับช่างหลิว แต่เมื่อเห็นภาพที่เสือสองตัวใหญ่ยอมหมอบตัวลงให้เด็กทั้งแปดขึ้นหลังเขาจึงได้รู้สึกแปลกใจแทน“ครอบครัวเสือเป็นสหายของลูกศิษย์ข้าเอง นางบอกข้าแบบนั้น” ซินฉีเอามือลูบเคราแพะของตนตอบเสียงเรียบ“สหายอย่างนั้นหรือ” หลวนคุนทวนคำด้วยความแปลกใจ“คนเป็นเพื่อนกับพยัคฆ
ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ฉินเซียวปฏิเสธ“อ้าว แต่เจ้ารู้จักชื่อของนางหรือว่าท่านเทพจะให้เจ้าช่วยเหลือนางใช่หรือไม่” หนิงเซียนกระซิบข้างหูบุตรีถามเสียงเบา“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่างท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลยข้าในตอนนี้ไม่ได้เป็นอันใดแล้วจริง ๆ” ฉินเซียวกล่าวกับมารดาเสียงเบายกยิ้มยืนยันให้คนเป็นแม่“เจ้าไม่เป็นอันใดก็ดี คราวหลังเจ้าอย่าได้ร้องไห้เช่นนั้นอีกเลยหัวใจแม่เจ็บปวดนัก” หนิงเซียนเอามือลูบผมของลูกสาวอย่างอ่อนโยน ซึ่งการกระทำของนางก็อยู่ภายใต้สายตาของเยว่เสี่ยง ทำให้นางมองความอบอุ่นตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิจฉาที่นางไม่มีมารดาเหมือนผู้อื่น“พี่สาวเจ้าคะ ท่านเป็นอันใดหรือไม่” ฉินเซียวเมื่อเห็นใบ หน้าอันผิดแปลกไปของหญิงแรกรุ่นนางนี้เธอจึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสาร ด้วยนางรู้ชะตาของนางร้ายคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้าอัปลักษณ์เจ้าเปลี่ยนชะตาของนางได้นะ” โป๊ยข่วยเอ่ยออกมาเมื่อรับรู้ความคิดของคู่หู“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเปลี่ยนเพราะนางเป็นคนดี” ฉินเซียวสื่อสารกับกระจกเทพอย่างยินดี แล้วการสนทนาของกระจกเทพกับเด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดลง“ขะ...ข้าไม่เป็นอันใดหร
“เจ้าไม่ต้องสุภาพนักหรอก เจ้ารีบกินมันเข้าไปตอนยังร้อนเถอะ” หลวนคุนรีบเอ่ยแย้ง“ขอรับ” ช่างหลิวจึงได้นำช้อนที่ซินฉีส่งให้ตักซุปไก่เข้าปากทันทีก่อนที่เขาจะเบิกตากว้าง“รสชาติเป็นอย่างไรหากว่ามันไม่อะ…” ซินฉียังพูดไม่ทันจบเสียงของเด็กหนุ่มก็ได้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน“อร่อยขอรับ มันอร่อยมากเลยข้าไม่คิดว่าอาหารยาจะอร่อยถึงเพียงนี้” ช่างหลิวยกยิ้มอย่างพอใจ“อ๋อเป็นเช่นนั้นถ้ามันอร่อยก็ดี แล้วถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กินให้หมดถ้วยเถอะหากยังไม่พอก็ยังมีในหม้ออีก” หลวนคุนเอ่ยอย่างโล่งอก“ขอรับ ข้าต้องขอบพระคุณท่านหมอมาก” ช่างหลิวยกยิ้มมองหมอทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ“จุ๊ ๆ เจ้าอัปลักษณ์อาจารย์ของเจ้ากับเจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์ไม่ต่างกันเลย ช่างสมกับเป็นศิษย์อาจารย์กันเสียจริง” กระจกเทพที่รับรู้เรื่องราวของอีกห้องได้ลอยตัวมาบอกกับสหาย“นะ...นั่นเจ้ากำลังจะลงเข็มผิดแล้ว มีสมาธิหน่อยสิ” แต่กระจกเทพก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจ“ก็ข้ามัวแต่ฟังเจ้าอยู่นี่นา ฮู่ว์! เกือบไป” ฉินเซียวถอนหายใจอย่างโล่งอกแม้จะเป็นการฝึกก็ตาม“แม้สิ่งนี้จะเป็นเพียงหุ่
ในระหว่างการขายผลลี่จื่อนั้นฉินเซียวก็ได้บอกกับลูกค้าว่าร้านของนางน่าจะขายได้พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายเพราะผลสุกของมันนั้นหมดแล้ว“หมดแล้วอย่างนั้นหรือ ต่อไปข้าจะไปซื้อกินที่ไหนได้” ชายวัยกลางคนลูกค้าประจำกล่าวอย่างเสียดาย“เอาไว้ปีหน้านะเจ้าคะ” ฉินเซียวแย้มยิ้มบอกชายวัยกลาง คนผู้นั้น นางเองก็รู้สึกเสียดายเงินเหมือนกันต่อให้ปลูกต้นลี่จื่อเพิ่มก็ยังช้าอยู่ดี อีกอย่างในครึ่งเดือนข้างหน้านางกับพี่ ๆ ก็จะต้องไปเรียนกันด้วย“แม่หนู ที่เจ้าพูดนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ แล้วอย่างนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะกินอะไรได้กันล่ะ” พ่อบ้านผิงกล่าวอย่างเศร้าหมอง“ข้าคิดว่าลองให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินผักสดดีหรือไม่ น่าจะดีกว่ากินผลลี่จื่อกับผักดองอย่างเช่นทุกวันนี้” ฉินเซียวเอ่ยแนะพ่อบ้านชรา“ผักสดอย่างนั้นหรือ อากาศเย็นขนาดนี้อีกทั้งใกล้ปีใหม่หิมะก็จะตกที่ไหนจะมีผักสดขายกัน” ชายชรายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหดหู่หากมีผักสดเขาคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก“หากข้ามีท่านจะซื้อหรือไม่ แต่ข้ามีไม่เยอะนะเจ้าคะ อันที่จริงที่ข้าบอกท่านนั้นก็เป็นเพราะข้าเห็นใจคนชราเจ้าค่ะ” ฉินเซียวกระซิบเส
“เป็นเจ้า” หลวนคุนเอ่ยเสียงดัง“เจ้าเฒ่าสบายดีหรือไม่” ซินฉีทักสหายรักด้วยรอยยิ้ม“สหายน่าชังอย่างเจ้ายังมีหน้ามาถามว่าข้าสบายดีอยู่อีกหรือ เล่นทิ้งงานไว้ให้ข้าเพียงผู้เดียว” หลวนคุนได้ทีกล่าวประชดประชันคนหน้าตายผู้นี้ แม้ว่าเขาจะไปหายาถอนพิษก็ตามแต่แม้จดหมายก็ไม่ส่งข่าวมันก็เกินไป“เอาน่าเจ้าอย่าได้โมโหนัก ตอนนี้ข้าก็กลับมาแล้ว เอาไว้ข้าสั่งสอนศิษย์จนทั้งสองเข้าสำนักศึกษาได้ข้าจะกลับไปช่วยเจ้าก็แล้วกัน” ซินฉีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“เจ้ายังรู้สำนึกแต่อีกสองเดือนเลยนะ ว่าแต่เรื่องพิษของเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้างข้าได้ตัวยาสำคัญมาแล้วนะ แต่จะว่าไปหากนางเป็นศิษย์ของเจ้าเรื่องยาก็คงไม่ต้องห่วงแล้วสิ” หลวนคุนรีบถามสหาย แต่พอเขาฉุกคิดได้ว่าผู้ใดเป็นคนนำสมุนไพรหายากชนิดนั้นมาขายให้ตนชายชราก็นิ่งเงียบไป“หายดีแล้วละ เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ศิษย์เอกตัวน้อยของข้า” ซินฉียกยิ้มตอบด้วยความภูมิใจ“ข้าดีใจด้วยเจ้าจะได้หยุดออกเร่ร่อนเสียทีและมาช่วยข้าทำงานได้แล้ว ว่าแต่ศิษย์ของเจ้าอีกคนเป็นใคร” หลวนคุนอดเอ่ยถามสหายไม่ได้เพราะเขาเคยได้ยินว่าสหายจะรับศิษย์เพียงคนเ