“ฝ่าบาท”
หัวหน้าองครักษ์เหลียงทัดทาน ขณะที่เหล่าทหารต่างก็ทรุดลงคุกเข่าหน้าซีดเผือด
“ทหารเหล่านี้ทำตามคำสั่งข้าและรับสั่งฝ่าบาท เหตุใดจึงรับสั่งลงทัณฑ์พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าสั่งให้หาผู้ที่เต็มใจไม่ใช่บังคับ พวกเจ้าทำเรื่องน่าละอายนัก ทั้งยังทำให้คนตายไปด้วยคนนึง สมควรชดใช้ด้วยชีวิต”
“ขอพระเมตตา กระหม่อมไม่ได้บังคับ...เอ่อ...”
หนึ่งในนั้นรีบทูลทว่าก็เอ่ยผิดถูกเพราะเกรงว่าตนจะคอขาด
“คือว่ามีคนบังคับเอาพวกนางมาขายพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ มีคนเอาหญิงงามกับน้องของนางมาขาย ต้องการเงินไปแทนหนี้ที่ใช้คืนไม่หมด พวกนางไม่ยินยอมขายตนเองก็จริง แต่พวกกระหม่อมเห็นว่าหากไม่ซื้อ พวกนางอาจเป็นอันตรายได้ จึงตัดสินใจซื้อพ่ะย่ะค่ะ”
อีกคนรีบช่วยเสริมสหายของตน
“พวกกระหม่อมตั้งใจจะพาพวกนางมาพบหัวหน้าองครักษ์เหลียงเพื่อหารือตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่สามรีบเอ่ยและตามด้วยคนที่สี่เช่นกัน
“พวกกระหม่อมให้พวกนางเดินมาดีๆ โดยไม่ได้มัดหรือบังคับจับไว้เลยพ่ะย่ะค่ะ แต่อยู่ๆ พวกนางก็วิ่งหนีไป ตามไปถึงหน้าผาพี่สาวของนางก็อุ้มนางกระโดดลงไปแล้ว พวกกระหม่อมไม่อาจช่วยได้ทันพ่ะย่ะค่ะ”
ฟังคำจากทหารแล้วเยี่ยนเฉินผู้ปลอมเป็นองค์ชายก็นิ่งตรึกตรอง แต่ละคนดูไม่ได้ลุกลี้ลุกลนหรือสายตาลอกแลก ทั้งยังพูดเชื่อมเรื่องราวกันได้อย่างไม่มีการนัดแนะ เท่าที่เห็นนั้นไม่ใช่การโกหก แต่เขาก็ยังหันกลับไปถามพยานตัวน้อยด้านหลังตน
“ที่พวกเขาพูดมาจริงหรือไม่”
เสี่ยวเม่ยตาแดงน้ำตาคลอเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่พี่สาวกอดตนกระโดดลงหน้าผา หากก็พยายามเม้มปากกลั้นเอาไว้ไม่ร้องไห้แล้วพยักหน้ารับ
“ตกลงทหารเหล่านี้ช่วยเจ้า”
คราวนี้หนูน้อยส่ายหน้า
“มันยังไงกันแน่ พูดมา”
เมื่อเจ้าตัวเริ่มเบะปาก องค์ชายสวมรอยก็หมดความอดทน นั่งลงตรงหน้าคนที่ตัวเล็กกว่าตน จับบ่าสองขางบีบเบาๆ แล้วพูดเสียงเรียบ
“หากอยากร้อง ข้าจะจับโยนลงผาไปตามพี่สาวเจ้า แต่ถ้ายังอยากแก้แค้นก็พูด”
“ข้า...ข้าไม่รู้ ข้ากับพี่ลู่ฟาง...ไม่เต็มใจถูกขาย”
เจ้าตัวพยายามสะกดสะอื้น แต่ก็ยังมีน้ำตาหยุดลงบนแก้ม เยี่ยนเฉินถอนหายใจยาวก่อนจะลุกขึ้นยืนหันกลับไปทางคนของตน ไม่แยแสน้ำตาของเด็กสาว
“พวกนางเพียงไม่อยากถูกขาย และไม่รู้ว่าพวกเจ้าหวังดี เอาล่ะเรื่องนี้ก็ถือว่าเข้าใจผิดกันไป แต่...”
ดวงตาคู่คมเข้มทะมึนขึ้นจนหัวหน้าองครักษ์เหลียงที่อยู่ใกล้เห็นชัดและรู้สึกว่าเป็นแววตาที่ตนไม่คุ้นเคย
“จัดการคนที่ขายพวกนางเสีย”
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า...”
“ทำตามที่ข้าสั่ง ข้ารับปากเด็กนี่ไปแล้วว่าจะแก้แค้นให้นาง”
สั่งจบก็หันกลับไปมองคนตัวเล็ก
“ตามข้ามา”
เมื่อร่างสูงโปร่งขยับก้าว หนูน้อยที่จับชุดตรงต้นขาแกร่งไว้แน่นก็ก้มหน้างุดก้าวตามโดยไม่กล้ามองผู้ใด
“อ้อ เอาอาหารเข้ามาด้วย”
เยี่ยนเฉินหยุดสั่งกับหัวหน้าองครักษ์ของตนเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อ แม้ตนจะกินไปแล้วแต่คิดว่าแม่หนูน้อยคงยังท้องว่างอยู่ และถึงมีมือเล็กเกาะชุดรั้งอย่างน่ารำคาญแต่ก็คร้านจะดุเพราะไม่พ้นต้องได้เห็นน้ำตาที่ชวนให้ระอาใจ
“กินซะสิ”
เมื่ออาหารถูกนำมาวางเต็มโต๊ะเตี้ยตรงหน้าซึ่งเจ้าของร่างสูงโปร่งนั่งเผชิญหน้ากับเด็กสาว ทว่าคนตัวเล็กยังนิ่งองค์ชายผู้ใจร้อนและไม่ชินกับเด็กนักก็สั่งเสียงเข้ม
“ไม่หิวหรือไง”
อีกฝ่ายยังก้มหน้าเศร้าหมองทั้งยังเหลือบมองเขาอย่างหวาดกลัวเขาจึงถามอย่างรำคาญใจ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยต้องอยู่ใกล้กับเด็ก เท่าที่พูดคุยด้วยและรักษาสัญญาว่าจะช่วยแก้แค้นให้ก็นับว่ายื่นมือเข้าไปยุ่งเกินวิสัยของตนแล้ว
“เฮ้อ...น่ารำคาญจริง ถ้าไม่กินข้าจะให้คนมายกออกไปแล้วนะ”
น้ำเสียงชายหนุ่มเข้มและดุไม่มีความอ่อนโยนทำให้แม่หนูน้อยสะดุ้งเมื่อคนหน้าเรียบเฉยทว่านิสัยดุถอนหายใจแรงและลุกพรวดขึ้นเรียกคนข้างนอก
“ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาเอาอาหารออกไป”
“ข้า...ข้ากินแล้ว”
เสี่ยวเม่ยรีบตักอาหารยัดเข้าปากตนไม่หยุดหลายอย่าง นางหิวก็จริง ทว่าก็ยังคิดถึงพี่สาวและกลัวจึงยังจมอยู่กับความเศร้า แต่มาตอนนี้คิดว่าตนควรกินไว้ก่อน หากยิ่งคีบกับและข้าวใส่ปากตนไม่หยุดกลับทำให้เคี้ยวไม่ทัน กลืนลงคอคำโตเกินไปจนแน่นไปทั่วทั้งคอต้องทุบอกตนเบาๆ ต้องรีบดื่มน้ำชากว่าจะกลืนลงได้ก็แสนทรมานแทบเอาชีวิตไม่รอด
เยี่ยนเฉินมองเด็กสาวแล้วส่ายหน้ากับความหวาดกลัวเกินเหตุของอีกฝ่าย และเมื่อทหารเข้ามาก็เอ่ยถามอย่างขุ่นใจ
“ไม่ต้องแล้ว เรื่องที่ข้าสั่งให้ไปจัดการเป็นอย่างไร ตามข่าวมาโดยเร็ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่อยากอยู่กับเด็กน่ารำคาญนานไปกว่านี้อีกแล้ว ให้นางได้เห็นว่าแก้แค้นสำเร็จแล้วก็คิดว่าจะให้หัวหน้าองครักษ์รับไปดูแล จัดการต่ออย่างไรก็แล้วแต่เขา หรือพาไปส่งในหมู่บ้านที่นางเคยอยู่ก็ได้หากแม่หนูต้องการ
ทว่าเพียงไม่นานหัวหน้าองครักษ์เหลียงก็ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่า ทำเช่นนี้จะไม่เป็นการดีนัก”
“เจ้าเป็นองค์ชายหรือข้าเป็นองค์ชาย”
ผู้ที่กอดอกนั่งมองเด็กสาวกินอาหารด้วยท่าทางเบื่อหน่ายกอดอกพลางหันไปมองคนของตนด้วยสายตาดุดัน
“กระหม่อมมิบังอาจ”
“มิบังอาจก็ไปทำตามคำสั่ง”
เขาสั่งเสียงดัง
“แต่เราไม่อาจจับคนในหมู่บ้านหรือฆ่าผู้ใดโดยง่ายดาย”
“แล้วที่คนพวกนั้นจับพวกนางมาบังคับขายใช้หนี้ เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรเช่นนั้นหรือ ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น เมื่อมีคนตาย คนพวกนั้นก็ไม่อาจมีชีวิต”
หัวหน้าองครักษ์เหลียงเถียงไม่ออกเช่นกัน แต่การจะบุกเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อฆ่าคนก็ทำให้ตนลำบากใจยิ่งนัก
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะจัดการอย่างไร ข้าไม่สนใจ แต่ข้าต้องได้หัวคนพวกนั้นไม่เกินพรุ่งนี้เช้า ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าต้องเสียหัวของพวกเจ้าเอง”
คำเอ่ยนั้นเย็นชา แววตาก็เต็มไปด้วยความอำมหิตน่าเกรงขามทั้งยังชวนขนลุก หัวหน้าองครักษ์เหลียงจำต้องรับคำสั่งแล้วออกไปด้วยความหนักอกหนักใจและนึกกลัวใจองค์ชายรองเป็นครั้งแรก
“แค่กๆ”
เสียงที่ได้ยินทำให้เยี่ยนเฉินหันไปมองแล้วก็เห็นว่าเด็กสาวไอกับทุบอกตนอย่างทรมานด้วยความแน่นอีกครั้งจนต้องส่ายหน้าหากก็รินน้ำชาเพิ่มให้
“ปากเจ้าก็เล็กแค่นั้น รู้ว่ากินเข้าไปเยอะแล้วจะติดคอ แล้วยังจะยัดเข้าไปเต็มปากทำไม”
เด็กสาวน้ำตาซึมหากก็รีบยกชาดื่ม พยายามกลืนข้าวพร้อมกับสูดน้ำมูกเบาๆ
“เป็นอะไรของเจ้าอีก”
อีกฝ่ายเงียบก้มหน้างุดแล้วไม่ยอมคีบอาหารกินอีกเยี่ยนเฉินก็ถอนหายใจแรง
“ไม่อยากพูด หรือไม่อยากมีปาก”
“พี่ชายน่ากลัว ฮือ...”
เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาพูดพร้อมสะอึกสะอื้น ดวงหน้ามอมแมมมีน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง
“คำก็ตาย สองคำก็ตัดหัว เอาแต่ขู่อยู่ได้ ข้าจะไม่กลัวได้อย่างไร”
ผู้มีวิสัยโหดร้ายอยู่เป็นนิตย์ถึงกับขบกรามแน่นที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนต่อว่า
“ที่ว่าข้าอยู่ปาวๆ นี่กลัวแล้วหรือ”
เขากัดฟันพูดอีกฝ่ายก็เบะปากจ้องเขาแม้จะเห็นชัดว่ากลัวก็ตาม เมื่อทำร้ายเด็กไม่ได้องค์ชายปลอมแปลงจึงได้เพียงปลง
“แล้วนี่ยังจะกินอีกไหม”
เด็กสาวรีบพยักหน้าราวกลัวเขาจะให้คนมายกออกไป
“ถ้างั้นก็ตามสบาย ข้าจะออกไปข้างนอก จะได้ไม่รบกวนการกินของเจ้า”
ไม่รู้เพราะอะไร เขาไม่ชอบใบหน้าที่ดูน่าสงสารของเด็กสาวนี่เลย เห็นแล้วมันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อร่างสูงโปร่งลุกขึ้นออกไปด้านนอกเสี่ยวเม่ยก็มองอาหารที่มีเนื้อเป็นส่วนผสมตรงหน้า ตนและพี่สาวไม่เคยได้รับรู้รสชาติของเนื้อว่ามันอร่อยมากถึงเพียงนี้ แล้วน้ำตาไหลไม่หยุด
“ข้าอยากให้ท่านได้กินเนื้อพวกนี้นักพี่ลู่ฟาง”
นางพึมพำพลางเช็ดน้ำตาพร้อมกับบอกตัวเองให้เข้มแข็ง พี่สาวที่จากไปจะได้ไม่เป็นห่วง
=====
อยู่คนเดียวแล้ว ถึงพี่ชายจะน่ากลัว แต่เสี่ยวเม่ยต้องอยู่ให้ได้ ต้องเข้มแข็ง ^^
“ได้โปรดเถิด ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”ดวงหน้างดงามสะบัดอย่างทุรนทุราย เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก จนเมื่อร่างสูงใหญ่กระตุกสั่นรุนแรงพร้อมโถมกายมาเต็มตัว อวี้หลันก็ผวาอีกครั้งทั้งกรีดร้องแหบพร่าอย่างสุดกลั้น ขณะหูแว่วเสียงเข้มคำรามดังไม่ต่างจากตนก่อนร่างหนาหนักจะทิ้งลงมาซุกซบนาง แขนเรียวโอบกอดเรือนกายใหญ่โตไว้อย่างเต็มอกเต็มใจพลางยิ้มบางทั้งที่น้ำตาซึมเป็นครั้งแรกที่ได้รับบทรักในฐานะอวี้หลัน หากก็สุขล้นหัวใจเหมือนได้กลับมาโอบกอดคนที่ตนรักดังเช่นเมื่อครั้งเป็นเสี่ยวเม่ย“ข้ารักท่าน พี่เยี่ยนเฉิน”นางเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงเบา“ข้าก็รักเจ้ามากอวี้หลัน”เยี่ยนเฉินเอ่ยตอบแล้วจูบหน้าผากชื้นเหงื่อ หัวใจชุ่มฉ่ำกับคำรักของผู้เป็นดั่งดวงใจเพียงนางเดียวของตนอวี้หวันยิ้มปลาบปลื้มกับคำรักจากอีกฝ่ายมือบางลูบไหล่กับแผ่นหลังกว้างแล้วก็รู้สึกได้ถึงรอยแผลหลายรอยที่ดูคล้ายแซ่ ทำให้ยิ่งขอบตาร้อนผ่าวชายหนุ่มต้องเจ็บปวดทรมานเพียงไหนหนอเมื่อรับทัณฑ์สายฟ้า และผู้ที่ไม่เคยยอมอยู่ภายใต้ผู้ใดกลับต้องเป็นทหารยามในวังสวรรค์ หัวใจแกร่งหยิ่งทระนงของบุรุษที่นางชื่นชมต้องทุกข์ทนเพียงใด“พี่เยี่ยนเฉิน ข้าขอบคุณท่านนักที่ไม่ละทิ้ง
“อื้ม หอมชื่นใจ”ร่างสูงใหญ่ที่โอบกอดจากด้านหลังพร้อมกับหอมลงมาบนแก้มตนทำให้อวี้หลันที่กำลังจะเข้านอนสะดุ้ง ส่วนม่านม่านซึ่งจัดเตรียมที่นอนอยู่ก็ตาโตรีบเลี่ยงหลบหนีทันใด เพราะกลัวว่าจะถูกทำให้หายไปอีก“อ้าว ม่านม่าน ไปไหนล่ะ”“คงกลัวจะหายไปน่ะสิ”เยี่ยนเฉินบอกพร้อมยิ้มมุมปากแล้วก็ต้องร้องเบาๆ“โอ๊ย นิ้วเล็กแค่นี้พิษร้ายแรงจริงเชียว”พร้อมพูดชายหนุ่มก็จับมือบางมาจุมพิตส่งสายตาคมกริบวาววามให้เจ้าของร่างนุ่มนิ่ม“ยังยิ้มอีก ปีศาจนิสัยไม่ดี”อวี้หลันเสียงขุ่น ไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายนึกสนุกเมื่อทำให้ม่านม่านกลัวเยี่ยนเฉินเพียงหัวเราะในลำคอแล้วจูบแก้มนุ่มซ้ำอีกครั้งก่อนไต่ลงซอกคอหอม ขณะที่หญิงสาวย่นคอหลบเลี่ยง“อื้อ อย่า...”“โธ่...อวี้หลันคนดี ท่านพ่อเจ้าให้ข้าปลูกดอกไม้แทบจะทั้งภูเขากว่าจะเสร็จก็หลายเดือน มีอย่างที่ไหนให้องครักษ์ไปปลูกต้นไม้ดอกไม้ เจ้าจะทรมานข้าอีกคนหรืออย่างไร”เยี่ยนเฉินบ่นอุบ นับแต่มาถึงเผ่าบุปผา บิดาของนางก็เอาแต่มองเขาตาขวางแต่ไม่อาจไล่ได้เพราะเป็นราชโองการ แล้วเขาก็ถูกสั่งให้ปลูกต้นดอกอวี้หลันด้วยมือตนเอง จากด้านหลังกระท่อมริมเขาที่ตนอาศัยไปตามเส้นทางขึ้นเขา เหมือนเ
“เขาปกป้องข้า ไม่ผิดอันใด”หญิงสาวเอ่ยสวนพร้อมทั้งรีบขยับไปคุกเข่าต่อหน้าท่านปู่ของตนพลางส่งสายตาขอร้องให้เห็นใจ“ทูลฝ่าบาท ทหารผู้นี้เป็นทหารองครักษ์ที่ฮองเฮารับสั่งแต่งตั้งที่มีความชอบเมื่อวานนี้เพคะ เขาทำหน้าที่ระมัดระวังช่วยเหลืออวี้หลัน นับว่าเหมาะสมแล้วเพคะ”องค์จักรพรรดิรับรู้ในข้อนี้จากหัวหน้าองครักษ์แล้ว ราชินีสวรรค์ไม่ได้รู้เห็นว่าเยี่ยนเฉินผู้นี้คือปีศาจผู้มีดาวชะตามาร ทั้งกายยังมีปราณเทพเซียนกลบไอปีศาจ หากมีความชอบจะได้รับการแต่งตั้งก็คงไม่ผิดนัก พระองค์เองก็ได้รับรายงานถึงพฤติกรรมที่ตรงเผงและอยู่ในรูปในรอยไม่เคยผิดวินัยของอีกฝ่ายเสมอ ทั้งฝีมือยังเก่งกาจหาตัวจับยาก หากจะแต่งตั้งเป็นองครักษ์ก็ย่อมได้“เทพธิดา ท่านเอ่ยราวรู้จักทหารยามผู้นี้เป็นอย่างดี น่าแปลกนัก”ชิงหลุนมองด้วยสายตาสงสัยอวี้หลันเม้มปาก รู้ว่ากำลังถูกหยั่งเชิง หากยอมรับว่ารู้จักคุ้นเคยทหารยามเป็นอย่างดี ก็จะทำให้ตำแหน่งเทพธิดาบุปผาเสียหาย นางสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะเอ่ยขึ้น“ไม่รู้จักได้อย่างไร ในเมื่อฮองเฮาแต่งตั้งทหารผู้นี้เป็นทหารองครักษ์ แล้วรับสั่งให้ดูแลคุ้มกันข้ากลับเผ่าบุปผา”นางพยายามส่งสายตาขอกั
“เยี่ยนเฉินหรือ?”ราชินีสวรรค์มองทหารยามอย่างพินิจ ท่าทางองอาจดูไม่หวั่นเกรงต่อผู้ใด สายตามั่นคงไม่วอกแวก ทั้งยังปราดเข้ามาสยบสัตว์เวทที่แม้แต่เทพเซียนผู้เป็นเจ้าของยังไม่อาจปราบได้ในชั่วพริบตา ทำให้รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย“ความชอบของเจ้าครั้งนี้ ข้าคงต้องมีรางวัลเสียแล้ว”“เป็นหน้าที่กระหม่อมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนเฉินเอ่ยเสียงเรียบอวี้หลันจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่ละสายตา พยายามจะสบตาอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ ทว่าเขากลับมองต่ำเพียงอย่างเดียว ทำให้นึกขัดใจนัก“ถึงอย่างไรข้าก็อยากตอบแทนน้ำใจเจ้า”“กระหม่อมไม่...”“เอาอย่างนี้ไหมเพคะ ในเมื่อเขาบอกว่าเป็นหน้าที่ ฮองเฮาก็แต่งตั้งเขาเป็นองครักษ์ให้เป็นรางวัลแทนสิ่งของ”อวี้หลันถือโอกาสเสนอ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่มองตนหญิงสาวเคืองจนแอบถอนหายใจ“อืม นั่นสินะ เช่นนั้นข้าจะบอกกับหัวหน้าองครักษ์ให้แต่งตั้งเจ้าเป็นองครักษ์สวรรค์ก็แล้วกัน”“เป็นพระมหากรุณาพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยนเฉินจำต้องรับไว้ แต่ก็ยังก้มหน้าราวเจียมตนเช่นเดิมผู้เป็นเทพธิดาบุปผาเม้มริมฝีปาก กรุ่นโกรธคนที่หมางเมินต่อตนราวไม่สนใจไยดีเมื่อมีโอกาสอยู่ในที่พักของตนยังตำหนักราชิ
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดหนี”ไท่จื่อซึ่งเป็นผู้คุมตัวตนมาเอ่ยขึ้น ทำให้เยี่ยนเฉินเหลือบมองอย่างหงุดหงิด หากก็ไม่เอ่ยสิ่งใด“แต่เจ้าอาจหลงลืมไปว่าเทพธิดาบุปผาก็มักจะขึ้นมาบนสวรรค์อยู่เนืองๆ ในโอกาสต่างๆ”คำบอกนี้ทำให้เยี่ยนเฉินหยุดเดิน ขณะที่ผู้เป็นไท่จื่อเพียงก้าวเดินต่อไปไม่หันกลับ“อะแฮ่ม”ผู้ที่กระแอมคือหวังหย่งผู้ติดตามไท่จื่อแล้วผายมือให้ปีศาจหนุ่มเดินต่อเยี่ยนเฉินจำต้องก้าวต่อเพื่อไปยังแท่นรับสายฟ้า หากก็ครุ่นคิดไปด้วย แม้แปลกใจที่ไท่จื่อสวรรค์เอ่ยกับตนเช่นนี้ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าถ้าหนีเขาอาจไม่ได้พบเจอกับอวี้หลันอีก สวรรค์คงต้องหาทางคุ้มกันเทพธิดาเผ่าบุปผาเข้มงวดกว่าก่อนหน้านี้ ทว่าหากอยู่บนสวรรค์ก็ยังมีโอกาสได้เห็นคนที่ตนรักเมื่อมาถึงยังแท่นรับสายฟ้า ไท่จื่อก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง“หญิงสาวที่เจ้ารักอยู่ไกลเกินเอื้อม หากเจ้าจริงใจต่อนาง ย่อมรู้ว่าควรทำอย่างไร ความรักอาจไม่จำเป็นต้องครอบครอง เพียงได้เห็นผู้ที่ตนรักใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขก็เพียงพอ ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเจ้า”จิ่นลี่นั้นไม่ได้ต้องการให้หลานสาวตนลงเอยกับปีศาจตนนี้ แต่ก็รู้ดีว่าหัวใจไม่อาจบังคับได้ ทั้งยัง
ร่างสูงใหญ่ก้าวตามผู้เป็นอาเข้าประตูสวรรค์มาด้วยใบหน้านิ่งขรึม แม้ไม่เต็มใจและมีแผนในหัว หากก็พยายามตีสีหน้าเฉยเข้าไว้เพื่อที่ราชาปีศาจจะได้อ่านความในใจตนไม่ออก พลางสายตาก็กวาดมองสวรรค์ชั้นฟ้าที่งดงามด้วยสายตาดูแคลน ไม่มีความชื่นชมหรือตื่นตาตื่นใจแต่อย่างใด กระทั่งมาถึงยังท้องพระโรงที่มีร่างขององค์จักรพรรดินั่งอยู่บนบัลลังก์และไท่จื่อยืนอยู่ด้านหนึ่ง“องค์จักรพรรดิ”ราชาปีศาจเอ่ยขึ้นพร้อมก้มหัวคำนับเล็กน้อยขณะที่เยี่ยนเฉินยืนเฉย ผู้เป็นอาจึงเอ่ย“เยี่ยนเฉิน”ผู้ถูกเรียกถอนหายใจ ก่อนจะจำใจเอ่ยเสียงดังทั้งที่ยืนนิ่ง“เยี่ยนเฉินคำนับองค์จักรพรรดิ”“เจ้ายอมมาถึงที่นี่ คงเตรียมใจไว้แล้วสินะ”จักรพรรดิจินหวงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ หากสายตาที่มองชายหนุ่มรูปร่างองอาจทว่าหน้าตางามล้ำโดดเด่นนั้นบอกชัดว่าไม่ชอบใจ เพราะอีกฝ่ายทำให้หลานสาวสุดรักต้องเสียศักดิ์ศรี“จะทำอย่างไรก็เชิญ”เยี่ยนเฉินเชิดหน้ามองตรงไม่หลบเลี่ยง“ความผิดเจ้าใหญ่หลวงนัก ทั้งยึดสำนักชิงเชิง ปลุกระดมบังคับศิษย์ในสำนักให้แข็งข้อก่อกบฏต่อขุนเขากลางเวหา แล้วยัง...”“ลอบเข้าไปอุ้มเทพธิดาบุปผา...”“บังอาจ!”ร่างสูงขององค์จักพรรดิลุกขึ้นห