ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ

ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ

last updateLast Updated : 2025-12-11
Language: Thai
goodnovel12goodnovel
Not enough ratings
130Chapters
1.3Kviews
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

เมื่อเทพตัวน้อยแสนแสบต้องลงมาเกิดเพื่อชดใช้กรรม ดังนั้นการผ่านด่านเคราะห์ของนางย่อมไม่ธรรมดา

View More

Chapter 1

บทที่ 1

“ฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว เรายังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่กันนะ” หญิงสาวพึมพำหลังจากลืมตาตื่นจากความฝันอันยาวนาน ในขณะเดียวกันเธอก็ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากของตนทิ้งอย่างลวก ๆ

แสงแรกของวันสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างภายในห้องนอนของผู้เป็นหญิงสาวร่างบางหลังจากแต่งกายเป็นชุดทำงานประจำวันของตนเรียบร้อย

“คุณปู่คะ ฉันไปทำงานก่อนนะ” หญิงสาวพนมมือบอกกล่าวรูปภาพของชายชราผู้กำลังส่งยิ้มมาให้ก่อนเดินออกจากบ้านหลังเก่าสุดแสนจะธรรมดาเฉกเช่นทุกวัน

ไป๋เสวี่ยคือชื่อของหญิงสาวเนื่องจากในวันถือกำเนิดของเธอนั้นหิมะแรกกำลังโปรยปรายเกล็ดของมันระยิบระยับดูงดงามจับตาคนเป็นปู่จึงได้ตั้งชื่อนี้ให้กับหล่อน

ทุกเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของหญิงสาวคนนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าแสนน่าเบื่อจนกระทั่งถึงวันสิ้นปี

ไป๋เสวี่ยยกมือบิดขี้เกียจอ้าปากหาวหลังจากจัดการงานที่คั่งค้างจนเสร็จสิ้น

เสียงมือถือของเธอดังขึ้น หญิงสาวหยิบขึ้นมาคลี่ริมฝีปากแย้มยิ้มก่อนกดรับสาย

“เป่าเปา เธอจะไม่มาฉลองปีใหม่กับฉันจริงเหรอ” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความตัดพ้อ

“ไม่ละ ฉันไม่อยากไปเป็นหลอดไฟขวางทางรักของเธอ” น้ำเสียงของผู้พูดเต็มไปด้วยความหยอกเย้าทำให้คนปลายสายหน้าแดงก่ำเถียงไม่ออก “แต่จะให้ฉันมีความสุขแล้วทิ้งเธอไว้ตามลำพังได้ยังไง”

“เธอคิดมากเกินไปแล้ว ฉันมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดีต่างหาก อีกอย่างฉันกำลังจะกลับไปฉลองปีใหม่กับคุณปู่” ไป๋เสวี่ยหยิบกระเป๋าสะพายคล้องหัวไหล่ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมตามหลัง

“เป่าเปา คุณปู่จากไปนานแล้วนะเธออย่าทำให้ฉันขนลุกได้ไหม” คนปลายสายแย้งด้วยความรู้สึกใจหาย

“คิดมากน่า แต่ถ้าฉันได้กลับไปอยู่กับปู่อีกครั้งจริง ๆ ก็ดีนะสิ ตั้งแต่เป็นเด็กปู่ก็มักจะมีเรื่องเล่าแปลก ๆ มาเล่าให้ฟังอยู่ตลอดรวมถึงยังมีวิชาพวกนั้นด้วยแม้ว่าในตอนนี้คนจะเชื่อถือเรื่องเทพและภูติผีน้อยลงก็เถอะ” คนพูดกดลิฟต์ในระหว่างนี้ก็ยกมือถือแนบหูไปด้วย

เสียงเตือนของลิฟต์โดยสารดังขึ้นก่อนประตูเลื่อนของมันจะเปิดออก “ฉันต้องวางแล้วเอาไว้ค่อยคุยกันนะ” ไป๋เสวี่ยกล่าวลาและยังไม่ทันที่เธอจะนำมือถือเครื่องสวยใส่กระเป๋าสะพาย

จู่ ๆ ลิฟท์ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่ไฟจะดับลงหลังจากเธอก้าวเท้าเข้ามาอยู่ด้านใน

พรึบ! “เกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงแสดงความหวาดหวั่นของคนพูดดังขึ้นท่ามกลางความมืด และยังไม่ทันที่หล่อนจะตั้งสติลิฟท์ตัวนั้นก็ร่วงลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

ไป๋เสวี่ยกรีดร้องจนสุดเสียง จากนั้นเธอก็สลบไป เมื่อฟื้นขึ้นมาหญิงสาวก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในสถานที่แปลกตาแห่งหนึ่งยังไม่ทันทำความเข้าใจให้กระจ่างหัวของเธอก็ปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะความทรงจำต่าง ๆ มากมายกำลังประดังประเดเข้ามาราวสายน้ำหลากจนทำให้สลบไปอีกครั้ง

ภายในห้วงฝันสองเท้าเล็ก ๆ เดินมุ่งหน้าไปทางศาลาข้างสระบัวหลังงามที่มองเห็น ภายในศาลาหลังนั้นมีร่างของหญิงสาวผู้มีใบหน้าราวกับตนตอนอยู่ในโลกมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยนนั่งอยู่ตามลำพัง

“เจ้ามาแล้วเหรอ” น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยกับเธออย่างเป็นกันเอง

“พี่สาว ข้ามาขอโทษ” เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

“ข้าไม่โกรธเจ้าเลย อีกทั้งยังรู้สึกขอบคุณอีกด้วยเพราะหากไม่ได้เจ้าข้าก็คงไม่เจอเขา ดังนั้นอย่าได้รู้สึกผิดและต่อจากนี้ไปเจ้าเองก็จะมีชีวิตที่มีความสุขของตนบ้างแล้ว จงใช้ชีวิตให้ดีเล่า” หญิงสาวคนนั้นวางพู่กันในมือลงสบตากลมโตของเด็กหญิงตรงหน้าเอ่ยจากใจจริง

“พี่สาวขอบคุณเจ้าค่ะ ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้วเอาไว้หลังสิ้นสุดจากภพนั้นข้าจะกลับมาพบท่านอีก” สิ้นเสียงของเด็กหญิงตัวน้อยร่างกายของเธอก็เป็นละอองจางหายไป

ย้อนกลับไปยังอดีตกาลก่อนหน้าราวปี771 ช่วงเวลา 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงนี้เป็นยุคการล่มสลายของราชวงค์โจวก็เข้าสู่ยุคชุนชิว ในช่วงเวลานี้เป็นยุคปกครองที่ผู้นำไร้อำนาจ

ทำให้อ๋องหรือเจ้าเมืองต่าง ๆ ได้แข็งข้อและสู้รบกันในแต่ละแคว้น จึงทำให้สถานการณ์ในช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนต่างอยู่กันอย่างหวาดระแวงและต้องคอยระแวงกันอยู่ตลอดเวลา

ยุคนี้นักวิชาการจีนโบราณเรียกขานประวัติศาสตร์จีนช่วงนี้ว่า “ยุควสันตสารท” อยู่ในช่วงปี 770 หรือ 453 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นยุคหนึ่งในราชวงศ์โจวราชวงค์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

เป็นยุคที่นครรัฐแต่ละรัฐทำสงครามด้วยกลอุบายอันแยบยล เกิดเป็นตำนานและเรื่องเล่าขานมากมายจนมาถึงปัจจุบัน

คำว่า “วสันตสารท” หมายถึง ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมาจากชื่อคัมภีร์ของขงจื๊อที่บันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเปรียบเปรยถึงนครรัฐต่าง ๆ ที่เคยตั้งอยู่และดับไปเหมือนดั่งใบไม้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง[1]

หลังจากยุคนั้นสิ้นสุดก็ก้าวเข้าสู่ยุคจ้านกว๋อ ยุคที่ผู้คนเข้าถึงสมุนไพรได้ยากทำให้ผู้คนต้องพึ่งพาผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ เพื่อหวังให้ตัวเองหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเพื่อพ้นจากความยากลำบาก

แม้ว่าผู้คนกำลังอยู่ในช่วงระส่ำระสาย แต่ยังคงมีอำเภอเล็ก ๆ อำเภอหนึ่ง อำเภอแห่งนี้อยู่ห่างไกลอีกทังยังกันดารเป็นอย่างมากสภาพโดยรอบเต็มไปด้วยภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน

ชาวบ้านส่วนใหญ่อยู่ได้โดยอาศัยการหาของป่าเลี้ยงชีพ พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างปกติและเพราะสภาพแวดล้อมเช่นนี้จึงทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนถูกปิดหูปิดตาจากโลกภายนอก ไม่เว้นแม้แต่บัณฑิตผู้หนึ่งที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นนายภำเภอของเมืองอันแสนห่างไกลความเจริญ

ภายในบ้านดินขนาดห้าห้องนอนของนายอำเภอเมือง ฟงอวิ๋น “ท่านพ่อ เหตุใดเป่าเปาถึงยังไม่ฟื้นอีก” ผู้พูดน้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนใจเดินไปวนเวียนมาถามกับบิดาผู้กำลังยกมือลูบเคราสีเงินยวงของตนไปมาคล้ายไม่ทุกข์ร้อน

“เจ้า! หยุดเดินได้หรือยัง ข้าบอกว่านางย่อมปลอดภัยก็ต้องเป็นไปตามนั้น ชะตาชีวิตของนางหนูนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวประหลาดหากว่านางผ่านพ้นคราวเคราะห์ครั้งนี้ไปไม่ได้จะทำการใหญ่ได้เยี่ยงไร”

ชายหนุ่มวัยสามสิบจ้องมองพ่อของตนกำลังอยากจะอ้าปากตอบโต้ ทว่า “ท่านพี่ เป่าเปาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวผู้เป็นภรรยาเปิดประตูห้องนอนของเด็กหญิงเอ่ยเรียกขึ้นเสียก่อน

ชายต่างวัยด้านนอกทั้งสี่คนรวมถึงบุตรชายอีกสองพากันกึ่งเดินกึ่งวิ่งหมายจะเข้าไปดูให้เห็นกับตา

ขนตาเป็นแพรหนาของคนบนเตียงสั่นไหวราวกับปีกผีเสื้อก่อนที่เจ้าของร่างจะเปิดเปลือกตาของตนขึ้นในที่สุด

ดวงตากลมโตของเธอกะพริบขึ้นลงเพื่อปรับให้คุ้นชินกับแสงสว่างที่ได้รับ “ที่นี่คือที่ไหน” เพียงประโยคนี้จบลงเสียงเซ็งแซ่จากคนในครอบครัวเล็ก ๆ ของเรือนก็ดังขึ้น

“เงียบ!!” ผู้เป็นประมุขคนปัจจุบันตะโกนก้องพร้อมกับกระแทกไม้เท้าในมือ หากเป็นเด็กหญิงคนเดิมเธอคงจะสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวตามวิสัยคนขี้ขลาดไปแล้ว

แต่ไม่ใช่กับไป๋เสวี่ยผู้เติบโตผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนกระทั่งอายุยี่สิบห้าปีคนนี้ เธอจึงยกมือขึ้นป้องดวงตาพยายามเพ่งมองชายชราผู้เป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่

“คุณปู่! ฮือ ๆ ฉันคิดถึงปู่เหลือเกิน” น้ำตามากมายของเธอไหลออกมาราวทำนบแตก

“หลานรักไม่ต้องร้องไห้ ปู่อยู่ตรงนี้แล้ว หลานเล่าให้ปู่ฟังได้หรือไม่ว่าหลานตกลงไปในสระน้ำได้เยี่ยงไร” คำถามของชายชราได้เรียกความประหลาดใจให้กับผู้ที่กำลังร่ำไห้อยู่เป็นอย่างมาก

ตกน้ำ? จะเป็นไปได้ยังไงเราเข้าลิฟต์และตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่ น้ำตาของเด็กหญิงหยุดไหลและได้ถูกแทนที่ด้วยสายตาแห่งความสับสนเพราะเรื่องราวของเธอบนสวรรค์นั้นไม่ได้อยู่ในความทรงจำ

ฉับพลันใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนต้องยกมือกุมศีรษะ เหตุการณ์เรื่องราวก่อนหน้าของเจ้าของร่างได้ถูกถ่ายทอดมาทั้งหมดรวมถึงความร้ายกาจสุดแสนจะเอาแต่ใจของตนด้วย

เด็กอะไรร้ายกาจชะมัด ทั้งดูถูกคน ทั้งรังแกน้องชายต่างมารดา รวมถึงยังขยันสร้างปัญหาให้แม่เลี้ยง ทั้ง ๆ ที่แม่เลี้ยงนั้นดีกับหล่อนมากกว่าลูกแท้ ๆ ไม่ไหว ๆ ฉันไป๋เสวี่ยจะเปลี่ยนแปลงร่างนี้ให้จงได้

“ลูกรัก เหตุใดเจ้าถึงได้นิ่งเงียบแบบนี้ไม่สบายตรงไหนรีบบอกพ่อ”

ไป๋เสวี่ยหลุดออกจากภวังค์เด็กหญิงพิจารณาชายวัยสามสิบตรงหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างสดใสจึงทำให้ใบหน้าของเธอดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก

“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ท่านอย่าได้ห่วง” ท่าทางรวมถึงน้ำเสียงของคนพูดได้ทำให้คนฟังภายในห้องตื่นตะลึง

“ท่านพ่อ ข้าว่าพี่รองต้องไม่สบายหนักเป็นแน่” เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายอายุน้อยเอ่ยอย่างจริงจังและยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้รับคำตอบจากบิดา

“โอ๊ย! ท่านแม่ตีข้าทำไมขอรับ” เขาเอ่ยอย่างตัดพ้อ

“เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกอย่างนั้นเหรอ หรือว่าจะให้แม่ตีเจ้าอีก” หลินเหมยกุ้ยตำหนิเขาไม่ไว้หน้า

“ท่านแม่ อย่าได้ตีน้องเล็กเลย” หลังคำพูดนี้หลุดออกจากปากของคนกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงห้องทั้งห้องก็เกิดความเงียบอันชวนน่าอึดอัดขึ้นทันควัน

“จะ..เจ้าเรียกแม่ของข้าว่าอะไรนะ” เด็กน้อยราวถูกผีหลอกย้อนถามอย่างไม่เชื่อหู

“ท่านแม่อย่างไรเล่าหรือว่าข้าเรียกไม่ถูกต้อง” ไป๋เสวี่ย เอ่ยอย่างพาซื่อใบหน้าขาวซีดของเธอแสร้งทำหน้าไร้เดียงสา

“ท่านพ่อ ท่านปู่ ข้าเห็นว่าน้องรองคงจะอาการหนักเป็นแน่ให้ข้าไปตามหมอดีหรือไม่” เด็กชายวัยสิบสามกำลังจะหมุนกายออกจากห้องนอนของคนเป็นน้องเอ่ยน้ำเสียงติดขัด

“เจ้าจะไปไหน” หัวไม้เท้าของชายชราได้เกี่ยวหลังคอเสื้อของเขาเอาไว้พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้าลืมหรือว่าปู่ของเจ้าเป็นใคร”

“แหะ ๆ ข้าขออภัยท่านปู่” ไป๋ตงยกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อ

ไป๋เสวี่ยหัวเราะคิกคักให้กับท่าทางของคนในครอบครัว ก่อนที่เจ้าตัวจะอ้าปากหาว

“เจ้านอนต่ออีกหน่อยแล้วกัน พวกเราออกไปด้านนอกกันเถอะเรื่องอื่นเอาไว้ค่อยว่ากัน” เมื่อชายชราผู้เป็นเจ้าบ้านปัจจุบันกล่าวเช่นนี้ พวกเขาผู้เป็นลูกหลานมีหรือจะกล้าขัด

ยกเว้นก็แต่น้องเล็กของเรือนที่กำลังหันซ้ายแลขวาและเมื่อผู้ใหญ่ในครอบครัวเดินออกไปจากห้องทั้งหมดแล้วเท้าของเขาก็วิ่งมาทางเตียงของคนเป็นพี่สาว

สองตาของตนหรี่มองสำรวจใบหน้าเล็กขาวซีดของคนเป็นพี่อย่างละเอียด “คนร้ายกาจอย่างท่านจะมาไม้ไหน” ผู้พูดแสดงความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด

แต่แล้ว จู่ ๆ ผู้ที่เขาคิดว่ากำลังหลับก็เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างกะทันหัน ไป๋เทียนร้องเสียงหลงเผลอถอยหลังออกห่างจากเตียงถึงสองก้าว ก้นของเจ้าตัวแทบจะกระแทกพื้น

“ข้าขอโทษ ที่เคยรังแกเจ้า” ท่าทางรู้สึกผิดของเด็กหญิง ทำให้เด็กชายตัวเล็กเบิกตากว้างมองนางก่อนที่จะวิ่งหนีเตลิดออกจากห้องราวกับว่ากำลังถูกปีศาจไล่ล่าหมายเอาชีวิต

“เอาเถอะทุกสิ่งต้องใช้เวลา” ไป๋เสวี่ยพึมพำก่อนจะปิดเปลือกตาของตนลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน

[1] บทความดังกล่าวมาจากหนังสือเปิดหน้าประวัติศาสตร์จีนตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงยุคปฏิวัติ
Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters
No Comments
130 Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status