ชาติก่อนอานนท์ตายเพราะทำงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหว เกิดใหม่ชาตินี้ชีวิตยังสู้กลับ ครอบครัวใหม่ช่างจ๊นจน คนบ้าน ๆ แบบเขาสกิล,ของวิเศษอะไรไม่มีสักอย่าง แล้วจะมีชีวิตต่อไปยังไง เห้อ! เด็กน้อยหัวจะปวด...
view moreภายในกระท่อมปลายนาหลังเล็กที่บัดนี้ถูกจับจองให้เป็นบ้านของตระกูลจาง เสียงสะอื้นของหญิงสาวดังออกมาจากตัวบ้านไม่ขาดสาย นางกำลังร้องไห้กอดบุตรชายไว้แนบอก ร่างกายของเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีเพียงลมหายใจผะแผ่วเท่านั้นที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ให้คนเป็นแม่ได้อุ่นใจ
เจ้าตัวน้อยนอนหลับใหลไม่ได้สติมาร่วมเดือนแล้ว การเดินทางจากเมืองหลวงมาหลัวถงเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ต้องผ่านแนวภูเขามากมาย เด็กชายที่ไม่มีภูมิต้านทานมากพอจึงป่วยหนักเป็นไข้ป่า
“หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนขี้เซาเกินไปแล้วนะ” นางร้องเรียก “รีบตื่นมาเถิด แม่ปวดใจยิ่งนัก”
“หมิงเอ๋อร์ลูกแม่...” นางซุกหน้าลงแนบแก้มบุตรชาย อ้อนวอนเหล่าเทพเซียนให้ช่วยเหลือ
เสียงหวานปนเศร้าที่ร้องไห้เบา ๆ ดังชัดขึ้นมาในโสตประสาท เขาได้ยินเสียงเธอร้องเรียกใครสักคนอย่างอาวรณ์ น้ำเสียงนั้นห่วงหาเสียจนชวนให้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น อยากลืมตาขึ้นมามองดูเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ยังฝืนลืมตาขึ้นมาไม่ได้
“น้องหญิง อย่าได้ร่ำไห้เช่นนี้ หมิงเอ๋อร์จะเสียใจเอานะ” เสียงทุ้มที่เอ่ยปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนชวนให้อยากรู้มากกว่าเดิม
เสียงนี้มันคืออะไร...ใครมาเปิดทีวีเสียงดังรบกวนการนอนของเขากันนะ
“ท่านพี่ ข้าปวดใจยิ่งนัก หมิงเอ๋อร์นอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนแล้วนะเจ้าคะ ข้าสงสารลูก”
“พี่รู้ พี่ก็เจ็บปวดมิต่างอันใดกับเจ้า” เสียงทุ้มปลอบใจ “เราออกไปข้างนอกกันเถอะ ให้หมิงเอ๋อร์ได้พักผ่อน”
เสียงขยับเขยื้อนตัวและเสียงเสียดสีของเนื้อผ้า บวกกับฝีเท้าที่ค่อย ๆ เบาลง จนในที่สุดก็เงียบสงบ ทำให้รู้ว่าชายหญิงทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้แล้ว เขาขมวดคิ้วอีกครั้ง คิดเอะใจว่าละครสมัยนี้ทำเสียงต่าง ๆ ได้สมจริงขนาดนี้เชียวหรือ เปลือกตาที่หนังอึ้งพยายามเปิดขึ้นและครั้งนี้มันสำเร็จ เขาลืมตาได้แล้ว
ชายหนุ่มลองขยับตัวเล็กน้อย ทว่าเนื้อตัวกลับหนักอึ้งไปหมดราวกับว่าถูกลูกตุ้มเหล็กถ่วงแขนขาเอาไว้ ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน เขาจำได้ว่าตนเองนั่งหาข้อมูลนิยายอยู่ในห้องและกำลังจัดส่งไฟล์ข้อมูลนั้นให้กับผู้ว่าจ้าง แต่พอกดส่งปุ๊บ ภาพทั้งหมดก็มืดดับไป
ที่นี่ไม่ใช่ห้องเช่าของเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าห้องที่เขาใช้อาศัยจะไม่ได้หรูหรา ใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีหลังคาที่มุงด้วยหญ้าแบบนี้
แล้วที่นี่มันคือที่ไหนกัน...ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย แต่แล้วดวงตาทั้งสองก็ต้องเบิกกว้างเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ามันแตกต่างจากห้องเช่าลิบลับ
พุธโธ ธัมโม สังโฆ
ฝาห้องที่ควรจะเป็นผนังปูนกลับกลายเป็นหญ้าที่นำมาสานกันเหมือนในซีรีส์ย้อนยุค แถมทั้งบ้านก็ดูเหมือนจะไม่มีห้อง มันเป็นโถงโล่ง ๆ ไม่มีอะไรเลย เขาพยายามลุกขึ้นนั่งเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่นี้ไม่ใช่ความฝัน
“โอ้ย เจ็บโคตร”
เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บ เมื่อลองหยิกหลังมือตนเองดูเต็มแรง
“ไม่ได้ฝันแฮะ แต่ว่าเราอยู่ที่ไหนกันละเนี่ย”
ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบา ๆ แต่ในขณะนั้นเอง ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากใครเลยด้วยซ้ำ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเด็กชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า จางอี้หมิง ก็ค่อย ๆ ฉายขึ้นมาในหัวเหมือนกำลังนั่งดูภาพยนตร์สักเรื่อง แต่มันคงจะเป็นหนังที่ถูกกดเพิ่มความเร็วสักยี่สิบเท่า เพราะความทรงจำมากมายตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบันพรั่งพรูเข้ามาจนสมองประมวลผลไม่ทัน เขาปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ รู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด จวนเจียนจะรับไม่ไหว
“อ๊า...ปวดหัว ปวด ปวด”
เขาส่งเสียงร้องดังก้อง พยายามหยุดความคิดของตัวเองและสลัดภาพพวกนั้นออกไป แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนกลับไม่มีผลอะไรเลย ได้แต่ทนกล้ำกลืนฝืนรับความเจ็บปวดนั้นจนแทบจะลงไปนอนดิ้นบนฟูกนอนอีกครั้ง ภาพสุดท้ายที่ปรากฎขึ้นมาเป็นตอนที่ครอบครัวของจางอี้หมิงกำลังหนีจากการปล้นของกลุ่มโจร
“ม่ายยยยย”
เขาร้องออกมาเมื่อภาพในหัวแสดงให้เห็นโจรคนหนึ่งกำลังเงื้อมมือขึ้น เตรียมฟาดดาบลงมาบนตัวเขา แต่บิดาก็มาดึงตัวเขาออกและช่วยให้รอดอย่างหวุดหวิด ทั้งสองคนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่สำนักคุ้มภัยซึ่งถูกจ้างมาคุ้มกันได้เข้ามาช่วยไว้ทัน ทำให้ครอบครัวของพวกเขาหนีจากกลุ่มโจรสำเร็จ
เพราะตกใจกลัวจนถึงขีดสุดและร่างกายที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติ แถมยังต้องมารับรู้เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเพิ่มอีก มันทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าจะรับไหว สุดท้ายทุกอย่างก็ดับวูบไปอีกครั้ง
เมื่อเสียงร้องของเด็กชายที่นอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนดังออกมา จางอี้เทาและหลี่อ้ายผู้เป็นพ่อแม่ รีบเดินเข้ามาดูอย่างมีความหวัง แม้แต่ท่านย่าอย่างหูไป๋หงยังเดินตามมาด้วย
“ท่านพี่ ข้าได้ยินเสียงหมิงเอ๋อร์ แต่เหตุใดเขาถึงหลับไปอีกแล้ว”
“น้องหญิง พี่ก็ได้ยินเสียงลูกร้องเช่นกัน เจ้าไม่ได้หูฝาดไปคนเดียวแน่”
“แม่ก็ได้ยินเหมือนกัน” หูไป๋หงกล่าวสมทบ นางหันไปมองลูกชายและพูดต่อ “อี้เทา เจ้าไปตามท่านหมอผิงมาดู หมิงเอ๋อร์ที”
“ขอรับท่านแม่ รอข้าสักครู่” จางอี้เทาเอ่ยรับคำ เขาเตรียมตัวผละจากไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าลงเมื่อภรรยาเอ่ยเรียกไว้
“ท่านพี่ ท่านยังไม่ค่อยหายดี ท่านอยู่ที่นี่เถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไปตามท่านหมอผิงเอง” หลี่อ้ายเอ่ยคัดค้านสามีและรีบเดินออกไปทันที
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ หมอเพียงหนึ่งเดียวของหมู่บ้านหลัวถงก็ถือล่วมยาเดินเข้ามาในบ้าน หมอผิงตรวจชีพจรเป็นอย่างแรกก่อนจะตรวจร่างกาย เมื่อดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว สีหน้าก็คลายกังวล
“อี้เทา เจ้าสบายใจได้” ท่านหมอแย้มรอยยิ้ม “อาหมิงไม่เป็นอันใดแล้ว พักผ่อนอีกสักหน่อยคงฟื้นขึ้นมา ต้มยาให้กินสักสองสามเทียบก็วิ่งปร๋อได้แล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะท่านหมอ ท่านไม่ได้โกหกข้านะเจ้าคะ” หลี่อ้ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดีใจ นางยิ้มกว้าง น้ำตาแห่งความยินดีคลอเต็มดวงตาสวย
“ข้าเป็นหมอมากี่สิบปี ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมเล่า สะใภ้จาง”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ข้าดีใจยิ่งนัก” หลี่อ้ายเอ่ยและผงกศีรษะขึ้นลงด้วยความขอบคุณ
“น้องหญิง เจ้าสบายใจได้แล้วนะ ท่านหมอผิงยืนยันแล้ว พี่ว่าพวกเราออกไปรอข้างนอกให้หมิงเอ๋อร์ได้พักผ่อนก่อนเถอะ”
จางอี้เทาปลอบประโลมใจภรรยาด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก เขากลัวว่าจะไปรบกวนการพักผ่อนของบุตรชายเข้า
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หูไป๋หงจึงจ่ายค่ารักษาให้กับท่านหมอผิง นางกล่าวขอบคุณอีกเล็กน้อย เมื่อท่านหมอเดินจากไป หญิงชราจึงก้มมองถุงที่ว่างเปล่าในมือ เงินก้อนนั้นคือเงินก้อนสุดท้ายของตระกูลจาง การเดินทางไกลและวิกฤตรอบด้านทำให้เงินที่มีร่อยหรอลงไปทุกทีจนในที่สุดก็ไม่มีเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่สนใจ
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของหลานชายอีกแล้ว
“ท่านลุงเย่ ในการปลูกต้นลูกหนามขยายออกไป ก็อย่าลืมต้องเว้นพื้นที่ตามที่ข้าได้บอกไว้ด้วยนะขอรับ ต่อไปการขนส่งและการดูแลจะง่ายขึ้น” จางอี้หมิงเห็นว่าหัวหน้าหมู่บ้านเข้าใจดีแล้วจึงหันไปอธิบายให้ซุนซูเย่ผู้รับหน้าที่ปลูกต้นลูกหนามเพิ่มได้ทำความเข้าใจกับการทำงาน“หมิงหมิงน้อยไม่ต้องเป็นห่วง อีกสามวันข้าก็จะไปสอนการปลูกและขยายพันธุ์ให้กับหมู่บ้านอื่นด้วย พวกเขาก็รู้สำนึกในบุญคุณนะ ยอมจ่ายค่าสอนเป็นกำไรจำนวนหนึ่งส่วนด้วย”“เป็นเรื่องที่ดีขอรับ”จางอี้หมิงยิ้มรับด้วยความดีใจ เขาให้ซุนซูเย่ทำหน้าที่สอนการปลูกและดูแลรักษา รวมถึงการบำรุงต้นลูกหนามให้กับชาวบ้านหมู่บ้านอื่น ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาหลายปีในการปลูกก็ตามจางอี้หมิงให้ความสำคัญกับหมู่บ้านอื่นด้วยเพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะนำลูกหนามดิบมาส่งให้กลุ่มการค้าหลัวถงอยู่ดี“หลวนซานทำหน้าที่ได้ดีมากขอรับ” เป็นอาห้าวที่เอ่ยขึ้น“ข้าก็หวังว่าอาซานจะดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานชาวบ้านคงยอมรับได้อย่างสนิทใจ” หัวหน้าหมู่บ้านหลัวถงออกความเห็น“เอาล่ะขอรับ แล้วกลุ่มการค้าหลัวถงของเรามีปัญหาเรื่องเกลือสกปรกหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามต่อในที่ประชุม“ไ
“คุณชายน้อย คุณชายน้อยขอรับ”ในระหว่างที่กำลังยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงของอาซานที่เร่งเข้ามาหาจางอี้หมิงในเรือนสำหรับทดลองการผลิตเกลือก็ดังขึ้นมา“มีอันใดหรือพี่อาซาน”“ท่านเจ้าเมืองฝากจดหมายมาให้คุณชายน้อยขอรับ” อาซานตอบแล้วจึงยื่นจดหมายนั่นให้กับเจ้านายจางอี้หมิงรับจดหมายมาถือไว้พร้อมกับเปิดออก เด็กน้อยไล่สายตาอ่านจนจบก่อนจะยิ้มออกมา“มีเรื่องด่วนอันใดหรือไม่ขอรับ”“เป็นข่าวดีพี่อาซาน ท่านเจ้าเมืองส่งจดหมายมาแจ้งว่าทางราชสำนักประกาศตามหาผู้ที่รู้สูตรการผลิตเกลือแล้ว อีกไม่นานประกาศคงมาถึงเมืองไห่ถัง”จางอี้หมิงยื่นจดหมายกลับคืนให้องครักษ์ส่วนตัว พลางกล่าวขอบคุณท่านอ๋องในใจเงียบ ๆ ที่หนิงอ๋องสามารถทำตามคำขอร้องของเขาได้อย่างรวดเร็วแต่ก็นะของฟรีไม่เคยมีในโลก ท่านอ๋องเองก็มีขอแลกเปลี่ยนการช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นอาหารที่แปลกใหม่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งท่านอ๋องยินดีรับซื้อตามปกติ จางอี้หมิงมีหรือจะไม่ดีใจที่สามารถหาตลาดมารองรับสินค้าของตนเองที่คิดจะผลิตขึ้นมาในอนาคตได้ในคราวเดียวไม่รู้ว่าจะเคี่ยวไปหรือไม่ แต่หากอยากได้ของเร็วๆก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา จางอี้หมิงส่ายหน้าเพื่อหลุดออก
เป็นอีกครั้งที่วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งยังคงดำเนินตามครรลองคล้ายหลับไปเพียงตื่นหนึ่งจากวันที่นัดคุยแผนการกับท่านเจ้าเมืองจางอี้หมิงหายจากอาการบาดเจ็บ ร่างกายของเขากลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ เด็กน้อยจึงเดินทางกลับมาอาศัยที่หมู่บ้านหลัวถงได้สามวันแล้ว โดยมีองครักษ์ซานและชีติดตามมาด้วยโจรสองคนที่หวังจับตัวซุนซูลี่เพื่อนำไปขายให้หอนางโลมถูกหัวหน้าอีเค้นเอาความและทรมานร่างกายตามแบบฉบับของหน่วยเหลียงไป๋ จนพวกมันยอมคายความลับ บอกเส้นทางการทำงานและหอนางโลมที่เข้าร่วมมาจนหมดจางอี้หมิงจึงให้ส่งตัวโจรร้ายแก่หัวหน้ามือปราบฉีหมิง เพื่อทำการปราบปรามจนหมดสิ้นในคราเดียว แต่เชื่อเถอะว่า...ความโลภและโจรร้ายไม่เคยหมดไปจากแผ่นดินในส่วนของเถ้าแก่เกาจ้าน เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูก็ถือว่าได้รับผลกรรมนั้นอย่างสมน้ำสมเนื้อ เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูล ผู้อาวุโสในตระกูลต่างขับไล่และตัดขาดความสัมพันธ์กับเถ้าแก่เกาอย่างสิ้นเชิง โดยมิให้ความช่วยเหลือใด ๆเหลาอาหารเฟิงฟู่ที่เคยโด่งดังกลับซบเซา เนื่องจากชาวบ้านโกรธแค้นกับการกระทำของเขา แม้แต่บรรดาคหบดี เศรษฐี ที่ถึงแม้ว่าจะถือตน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำเรื่
“หึ! เพียงแค่แก้ปัญหาครั้งเดียวก็คุยอวดตลอดไปได้หรือ”“ครั้งเดียวเช่นนั้นหรือ ข้าว่ามิถูกนัก ความดีความชอบในการทำสัญญากับแคว้นเหลียงเกี่ยวกับการซื้อขายถ่านและน้ำมันลูกหนามก็มิใช่ว่าเป็นฝีมือของเจ้าเมืองไห่ถังหรอกหรือ หรือว่าเจ้าเมืองเยว่หยางอายุมากความเลอะเลือนหลงลืมความดีของผู้อื่นไปสิ้นแล้ว”เจ้ากรมการเมืองเอ่ยขึ้น ด้วยตัวเขานั้นเกลียดนักผู้ที่มิทำหน้าที่ของตนให้ดีแล้วยังขัดขวางคนอื่น คงเพราะถือว่าตนถือครองสูตรการผลิตเกลือมาหลายชั่วอายุคนละมั้งจึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้“ขอบคุณขอรับท่านเจ้ากรมการเมือง” เจ้าเมืองไห่ถังประกบมือคาราวะเจ้ากรมการเมืองที่สนับสนุนอย่างนอบน้อม“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าเมืองไห่ถังมีข้อเสนออันใดก็รีบพูดออกมา หากว่าเป็นวิธีที่ดีข้าจะปูนบำเหน็จให้อย่างงาม” ในที่สุดฮ่องเต้ฉินหลงก็เอ่ยตัดการทะเลาะของเหล่าขุนนาง“กราบทูลฝ่าบาท ในเมื่อแคว้นจ้าวเรียกร้องเครื่องบรรณาการเป็นเกลือจำนวนมาก ภายในระยะเวลาสามเดือนเช่นนี้แล้ว หากรอให้เมืองเย่วหยางผลิตเห็นทีจะไม่ทันการ เหตุใดทางราชสำนักจึงไม่ทำประกาศออกไปให้ชาวบ้านชาวเมืองภายในแคว้นฉินว่า หากผู้ใดมีสูตรการผลิตเกลือและสามารถผลิตเกลือออ
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หนิงอ๋องได้รับสารจากจางอี้หมิงที่หนึ่งในองครักษ์เหลี่ยงไป๋เป็นผู้นำมามอบให้แก่เขาถึงมือภายในตำหนักเมื่อพิจารณาดูแล้วเห็นว่าคงเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือคำร้องขอเป็นแน่จึงเปิดอ่านทันที แล้วก็เป็นไปตามคาดข้อความที่ส่งทำให้ท่านอ๋องถึงกับชอบใจและหัวเราะออกมาเสียงดัง แม้แต่อ๋องน้อยหนิงเทียนที่เดินทางมาเข้าเฝ้าพระบิดาเพื่อรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการปลูกผักก็ได้ยินชัดเจน จึงกล่าวเรียกและเคาะประตูส่งสัญญาณออกไป“เสด็จพ่อ ลูกเองพะย่ะค่ะ”“อ๋องน้อยหรือ เข้ามาสิ”ท่านอ๋องเอ่ยอนุญาตให้พระโอรสเข้ามาในห้องทรงงานได้ อ๋องน้อยจึงเปิดประตูเข้าไปก่อนที่จะค้อมศีรษะ ทำความเคารพบิดาตามปกติ“มีเรื่องอันใดน่ายินดีหรือพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อถึงได้สรวลอย่างพอพระทัยเช่นนี้”“เอาไปอ่านดูสิ น้องชายของเจ้าส่งมาจากแคว้นฉิน” หนิงอ๋องตอบคำถามพระโอรสและยื่นจดหมายให้“นี่น้องชายหมิงถึงกับผลิตเกลือได้เชียวหรือ”อ๋องน้อยหนิงเทียนเงยพักตร์ขึ้นเอ่ยถามหนิงอ๋องด้วยความประหลาดใจ เนื้อความในจดหมายแจ้งเรื่องอาการป่วยของจางอี้หมิงและแผนการที่เด็กน้อยได้วางไว้กับท่านเจ้าเมืองไห่ถังเกี่ยวกับการผลิตเกลือออกขา
“ท่านอ๋องน้อยต้องการให้ข้าทำเช่นไร ได้โปรดแจ้งข้ามาได้เลยขอรับ”ท่านเจ้าเมืองถามขึ้นด้วยความกระตือรือร้น เพราะถ้าเกิดว่าเมืองไห่ถังชนะการแข่งขัน นั้นย่อมหมายถึงภาษีที่จะได้ละเว้นไม่ต้องส่งเข้าคลังหลวงทั้งปี“แผนการเป็นเช่นนี้นะขอรับ ข้าจะส่งสารไปยังหนิงอ๋อง อธิบายผลดีผลเสียของแผนการนี้ให้ท่านอ๋องรับทราบ จากนั้นเพียงแค่รอจนกว่าทางวังหลวงจะประกาศหาผู้ที่สามารถผลิตเกลือส่งให้กับทางราชสำนักได้ หลังจากนั้นขอให้ท่านเจ้าเมืองเดินทางเข้าวังหลวง เป็นตัวแทนเมืองไห่ถัง ขอรับคำสั่งผลิตเกลือทั้งหมดเพื่อส่งให้เป็นเครื่องบรรณาการแคว้นเจ้าโดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ให้ทางราชสำนักยกเลิกกฎการค้าขายเกลือผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวให้เมืองไห่ถังหรือผู้ที่รู้วิธีการผลิตเกลือสามารถผลิตเกลือและค้าขายได้อย่างอิสระ โดยที่เมืองไห่ถังจะจ่ายภาษีส่งเข้าท้องพระคลังเป็นจำนวนห้าส่วนสิบของราคาเกลือที่ขายได้” จางอี้หมิง อธิบาย ทว่ายังพูดไม่ทันจบ ท่านเจ้าเมืองถึงกับเสียมารยาทเอ่ยถามขัดกลางปล้องขึ้นมา“ท่านอ๋องน้อย แต่เดิมผู้ถือครองสูตรจ่ายเพียงสี่ส่วนสิบ แต่นี้ท่านอ๋องน้อยถึงกับยอมจ่ายห้าส่วนสิบ เช่นนี้มิมากไปหรือขอรับ แล้วจะเ
Mga Comments