ชาติก่อนอานนท์ตายเพราะทำงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหว เกิดใหม่ชาตินี้ชีวิตยังสู้กลับ ครอบครัวใหม่ช่างจ๊นจน คนบ้าน ๆ แบบเขาสกิล,ของวิเศษอะไรไม่มีสักอย่าง แล้วจะมีชีวิตต่อไปยังไง เห้อ! เด็กน้อยหัวจะปวด...
ดูเพิ่มเติมภายในกระท่อมปลายนาหลังเล็กที่บัดนี้ถูกจับจองให้เป็นบ้านของตระกูลจาง เสียงสะอื้นของหญิงสาวดังออกมาจากตัวบ้านไม่ขาดสาย นางกำลังร้องไห้กอดบุตรชายไว้แนบอก ร่างกายของเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มีเพียงลมหายใจผะแผ่วเท่านั้นที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตอยู่ให้คนเป็นแม่ได้อุ่นใจ
เจ้าตัวน้อยนอนหลับใหลไม่ได้สติมาร่วมเดือนแล้ว การเดินทางจากเมืองหลวงมาหลัวถงเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ต้องผ่านแนวภูเขามากมาย เด็กชายที่ไม่มีภูมิต้านทานมากพอจึงป่วยหนักเป็นไข้ป่า
“หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว เจ้านอนขี้เซาเกินไปแล้วนะ” นางร้องเรียก “รีบตื่นมาเถิด แม่ปวดใจยิ่งนัก”
“หมิงเอ๋อร์ลูกแม่...” นางซุกหน้าลงแนบแก้มบุตรชาย อ้อนวอนเหล่าเทพเซียนให้ช่วยเหลือ
เสียงหวานปนเศร้าที่ร้องไห้เบา ๆ ดังชัดขึ้นมาในโสตประสาท เขาได้ยินเสียงเธอร้องเรียกใครสักคนอย่างอาวรณ์ น้ำเสียงนั้นห่วงหาเสียจนชวนให้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น อยากลืมตาขึ้นมามองดูเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ยังฝืนลืมตาขึ้นมาไม่ได้
“น้องหญิง อย่าได้ร่ำไห้เช่นนี้ หมิงเอ๋อร์จะเสียใจเอานะ” เสียงทุ้มที่เอ่ยปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนชวนให้อยากรู้มากกว่าเดิม
เสียงนี้มันคืออะไร...ใครมาเปิดทีวีเสียงดังรบกวนการนอนของเขากันนะ
“ท่านพี่ ข้าปวดใจยิ่งนัก หมิงเอ๋อร์นอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนแล้วนะเจ้าคะ ข้าสงสารลูก”
“พี่รู้ พี่ก็เจ็บปวดมิต่างอันใดกับเจ้า” เสียงทุ้มปลอบใจ “เราออกไปข้างนอกกันเถอะ ให้หมิงเอ๋อร์ได้พักผ่อน”
เสียงขยับเขยื้อนตัวและเสียงเสียดสีของเนื้อผ้า บวกกับฝีเท้าที่ค่อย ๆ เบาลง จนในที่สุดก็เงียบสงบ ทำให้รู้ว่าชายหญิงทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในที่แห่งนี้แล้ว เขาขมวดคิ้วอีกครั้ง คิดเอะใจว่าละครสมัยนี้ทำเสียงต่าง ๆ ได้สมจริงขนาดนี้เชียวหรือ เปลือกตาที่หนังอึ้งพยายามเปิดขึ้นและครั้งนี้มันสำเร็จ เขาลืมตาได้แล้ว
ชายหนุ่มลองขยับตัวเล็กน้อย ทว่าเนื้อตัวกลับหนักอึ้งไปหมดราวกับว่าถูกลูกตุ้มเหล็กถ่วงแขนขาเอาไว้ ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน เขาจำได้ว่าตนเองนั่งหาข้อมูลนิยายอยู่ในห้องและกำลังจัดส่งไฟล์ข้อมูลนั้นให้กับผู้ว่าจ้าง แต่พอกดส่งปุ๊บ ภาพทั้งหมดก็มืดดับไป
ที่นี่ไม่ใช่ห้องเช่าของเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าห้องที่เขาใช้อาศัยจะไม่ได้หรูหรา ใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีหลังคาที่มุงด้วยหญ้าแบบนี้
แล้วที่นี่มันคือที่ไหนกัน...ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย แต่แล้วดวงตาทั้งสองก็ต้องเบิกกว้างเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ามันแตกต่างจากห้องเช่าลิบลับ
พุธโธ ธัมโม สังโฆ
ฝาห้องที่ควรจะเป็นผนังปูนกลับกลายเป็นหญ้าที่นำมาสานกันเหมือนในซีรีส์ย้อนยุค แถมทั้งบ้านก็ดูเหมือนจะไม่มีห้อง มันเป็นโถงโล่ง ๆ ไม่มีอะไรเลย เขาพยายามลุกขึ้นนั่งเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่นี้ไม่ใช่ความฝัน
“โอ้ย เจ็บโคตร”
เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บ เมื่อลองหยิกหลังมือตนเองดูเต็มแรง
“ไม่ได้ฝันแฮะ แต่ว่าเราอยู่ที่ไหนกันละเนี่ย”
ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบา ๆ แต่ในขณะนั้นเอง ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากใครเลยด้วยซ้ำ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของเด็กชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า จางอี้หมิง ก็ค่อย ๆ ฉายขึ้นมาในหัวเหมือนกำลังนั่งดูภาพยนตร์สักเรื่อง แต่มันคงจะเป็นหนังที่ถูกกดเพิ่มความเร็วสักยี่สิบเท่า เพราะความทรงจำมากมายตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบันพรั่งพรูเข้ามาจนสมองประมวลผลไม่ทัน เขาปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ รู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด จวนเจียนจะรับไม่ไหว
“อ๊า...ปวดหัว ปวด ปวด”
เขาส่งเสียงร้องดังก้อง พยายามหยุดความคิดของตัวเองและสลัดภาพพวกนั้นออกไป แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนกลับไม่มีผลอะไรเลย ได้แต่ทนกล้ำกลืนฝืนรับความเจ็บปวดนั้นจนแทบจะลงไปนอนดิ้นบนฟูกนอนอีกครั้ง ภาพสุดท้ายที่ปรากฎขึ้นมาเป็นตอนที่ครอบครัวของจางอี้หมิงกำลังหนีจากการปล้นของกลุ่มโจร
“ม่ายยยยย”
เขาร้องออกมาเมื่อภาพในหัวแสดงให้เห็นโจรคนหนึ่งกำลังเงื้อมมือขึ้น เตรียมฟาดดาบลงมาบนตัวเขา แต่บิดาก็มาดึงตัวเขาออกและช่วยให้รอดอย่างหวุดหวิด ทั้งสองคนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่สำนักคุ้มภัยซึ่งถูกจ้างมาคุ้มกันได้เข้ามาช่วยไว้ทัน ทำให้ครอบครัวของพวกเขาหนีจากกลุ่มโจรสำเร็จ
เพราะตกใจกลัวจนถึงขีดสุดและร่างกายที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากการหมดสติ แถมยังต้องมารับรู้เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเพิ่มอีก มันทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าเกินกว่าจะรับไหว สุดท้ายทุกอย่างก็ดับวูบไปอีกครั้ง
เมื่อเสียงร้องของเด็กชายที่นอนไม่ได้สติมาเกือบเดือนดังออกมา จางอี้เทาและหลี่อ้ายผู้เป็นพ่อแม่ รีบเดินเข้ามาดูอย่างมีความหวัง แม้แต่ท่านย่าอย่างหูไป๋หงยังเดินตามมาด้วย
“ท่านพี่ ข้าได้ยินเสียงหมิงเอ๋อร์ แต่เหตุใดเขาถึงหลับไปอีกแล้ว”
“น้องหญิง พี่ก็ได้ยินเสียงลูกร้องเช่นกัน เจ้าไม่ได้หูฝาดไปคนเดียวแน่”
“แม่ก็ได้ยินเหมือนกัน” หูไป๋หงกล่าวสมทบ นางหันไปมองลูกชายและพูดต่อ “อี้เทา เจ้าไปตามท่านหมอผิงมาดู หมิงเอ๋อร์ที”
“ขอรับท่านแม่ รอข้าสักครู่” จางอี้เทาเอ่ยรับคำ เขาเตรียมตัวผละจากไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้าลงเมื่อภรรยาเอ่ยเรียกไว้
“ท่านพี่ ท่านยังไม่ค่อยหายดี ท่านอยู่ที่นี่เถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไปตามท่านหมอผิงเอง” หลี่อ้ายเอ่ยคัดค้านสามีและรีบเดินออกไปทันที
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ หมอเพียงหนึ่งเดียวของหมู่บ้านหลัวถงก็ถือล่วมยาเดินเข้ามาในบ้าน หมอผิงตรวจชีพจรเป็นอย่างแรกก่อนจะตรวจร่างกาย เมื่อดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว สีหน้าก็คลายกังวล
“อี้เทา เจ้าสบายใจได้” ท่านหมอแย้มรอยยิ้ม “อาหมิงไม่เป็นอันใดแล้ว พักผ่อนอีกสักหน่อยคงฟื้นขึ้นมา ต้มยาให้กินสักสองสามเทียบก็วิ่งปร๋อได้แล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะท่านหมอ ท่านไม่ได้โกหกข้านะเจ้าคะ” หลี่อ้ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดีใจ นางยิ้มกว้าง น้ำตาแห่งความยินดีคลอเต็มดวงตาสวย
“ข้าเป็นหมอมากี่สิบปี ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมเล่า สะใภ้จาง”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ข้าดีใจยิ่งนัก” หลี่อ้ายเอ่ยและผงกศีรษะขึ้นลงด้วยความขอบคุณ
“น้องหญิง เจ้าสบายใจได้แล้วนะ ท่านหมอผิงยืนยันแล้ว พี่ว่าพวกเราออกไปรอข้างนอกให้หมิงเอ๋อร์ได้พักผ่อนก่อนเถอะ”
จางอี้เทาปลอบประโลมใจภรรยาด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก เขากลัวว่าจะไปรบกวนการพักผ่อนของบุตรชายเข้า
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย หูไป๋หงจึงจ่ายค่ารักษาให้กับท่านหมอผิง นางกล่าวขอบคุณอีกเล็กน้อย เมื่อท่านหมอเดินจากไป หญิงชราจึงก้มมองถุงที่ว่างเปล่าในมือ เงินก้อนนั้นคือเงินก้อนสุดท้ายของตระกูลจาง การเดินทางไกลและวิกฤตรอบด้านทำให้เงินที่มีร่อยหรอลงไปทุกทีจนในที่สุดก็ไม่มีเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่สนใจ
ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของหลานชายอีกแล้ว
“อาห้าว ข่าวดีอันใดหรือ” หลวนซานเอ่ยถาม ตอนนี้เขากลับตัวกลับใจเป็นคนดี ขยันทำงานเพื่อครอบครัว กลายเป็นคนใหม่ไปแล้ว“พวกโจรน่ะสิ ทางการจับโจรได้แล้วทั้งก๊กเลย” อาห้าวรีบตอบคำถามก่อนจะนั่งลงหอบจนตัวโยนบนแคร่ไม้ไผ่กลางลานบ้าน เมื่อดีขึ้นแล้วจึงลงมือเล่าข่าวที่ตนเองได้รับมาจากการเข้าไปในเมืองในวันนี้“จริงหรือ เป็นข่าวดีจริง ๆ”“เจ้ารีบเล่ามา”“เมื่อเช้าข้าได้เข้าไปในเมืองเพื่อไปหาซื้อยามาให้กับท่านแม่ของข้า เพราะท่านหมอผิงไม่มียาเหลืออยู่เลย ข้าได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันเสียงดังไปทั่ว จึงได้ไปสอบถามถึงได้รู้ว่าทางการจับโจรที่ออกปล้นเสบียงชาวบ้านได้แล้วพวกโจรเป็นพวกพ่อค้าที่รวมตัวกันสองสามร้าน พวกมันเสียผลประโยชน์เพราะหมู่บ้านเราไปแจ้งทางการให้แก้ไขปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงทำให้ถ่านที่ตุนเก็บไว้ขายไม่ออก ขาดทุนเป็นจำนวนมาก หัวหน้าโจรก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นนักเลงหัวไม้ที่เถ้าแก่พวกนั้นจ้างมาพวกมันยังสารภาพว่าที่เผาบ้านจางเพราะมันรู้ว่าบ้านจางทำการค้ากับเถ้าแก่หวังและกองกำลังเหลียงอัน พวกมันอิจฉา” อาห้าวเล่าไปพลางจิบชาที่เจียวเม่ยเอามาให้ไปพลาง เขากระหายน้ำหลังจากเล่าจบจึงดื่มน้ำเสียงดังอึกใหญ่“เป
“ในครั้งที่แล้วที่โจรปล้นหมู่บ้านหลัวถง โจรนั่นได้เผาบ้านข้าจนมอดไหม้ทั้งหลังเพื่อลงโทษท่านพ่อที่ซ่อนข้ากับท่านย่าไว้ ดูเหมือนโจรจะรู้จักครอบครัวข้าเป็นอย่างดีถึงรู้ว่าสมาชิกบ้านจางที่ไปรวมตัวกันมีจำนวนไม่ครบเห็นได้ว่ารอบตัวท่านไม่มีความน่าเชื่อถือ ข่าวถึงได้หลุดรอดออกไป ในครั้งนี้อาจจะเกิดปัญหาซ้ำขึ้นอีกก็เป็นได้ ท่านเจ้าเมืองมีการป้องกันหรือคิดหาทางรับมือไว้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถาม“ข้ามิได้นิ่งนอนใจแต่โจรที่ออกปล้นมีเพียงกลุ่มเดียว การปล้นไม่มีแบบแผน แต่ก็มิได้ทำร้ายหรือฆ่าชาวบ้านจนถึงแก่ชีวิต เพียงแต่ปล้นเอาเสบียงไปเท่านั้น ทางการหาทางจับเจ้าโจรพวกนี้ได้ยากมากเพราะมันช่างว่องไวนักพวกโจรนำอาหารที่ปล้นได้ออกมาขายให้กับชาวเมืองไห่ถังราคาสูงกว่าปกติถึงห้าเท่า ชาวบ้านที่มีเงินบ้างจึงยังไม่เดือนร้อนจนเกินไป แต่เมื่อทหารไปสอบถามกลับไม่แจ้งข่าวใด ๆ เพราะพวกโจรขู่ว่าจะไม่ขายอาหารให้อีก จะให้ทหารปลอมตัวไปล่อซื้ออาหาร พวกโจรก็ช่างหูตาไวนัก” ท่านเจ้าเมืองตอบพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ“ข้าว่าเราสมควรเร่งรีบจัดการปราบปรามให้เรียบร้อยก่อนที่จะสร้างความเดือนร้อนไปทั่วเช่นนี้ขอรับ ถึงแม้ไม่ฆ่
ในตอนเช้าขอท่านลุงเย่จัดชาวบ้านขึ้นไปขุดเอาหัวแยม หัวดอกไม้มาเก็บไว้ให้เพียงพอวันต่อวันเท่านั้น แล้วนำอาหารมารวมกันทำที่ลานประชุมนี้จนกว่าจะจับโจรได้” จางอี้หมิงอธิบายอีกครั้งหลังจากนั้นชาวบ้านจึงได้เริ่มประชุมวางแผนการดำเนินชีวิตในช่วงที่ยังคงมีการขาดแคลนอาหารและไร้ความปลอดภัยจากกลุ่มโจรจางอี้เทาเป็นคนสอนการจัดเวรเฝ้าปากทางเข้าหมู่บ้าน การส่งสัญญาณเคาะเกราะตามลำดับและความหมายต่าง ๆ จนทุกคนเข้าใจกันดีแล้ว จางอี้หมิงจึงสอนการทำอาหารจากหัวแยมและหัวดอกไม้ทั้งสองอย่างต่อด้วยหัวแยมและหัวดอกไม้เหมือนกับหัวมันเทศ การปรุงอาหารจึงเหมือนกัน จางอี้หมิงจึงไม่ได้บอกอันใดมากนัก“อย่าลืมนะขอรับ หัวแยมและหัวดอกไม้ถ้ากินมาก ๆ จะทำให้ท้องอืด ในการขับถ่ายอาจจะลำบาก สำหรับการกินครั้งแรกให้ทดลองกินน้อย ๆ ก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่แพ้นะขอรับ ที่สำคัญหัวของดอกยู่จินเซียงต้องเอาตรงกลางออกทิ้ง เอามาทำอาหารไม่ได้เพราะมันเป็นพิษขอรับ” จางอี้หมิงไม่ลืมเอ่ยเตือนสิ่งที่ต้องจำ รวมทั้งพิษในหัวของดอกยู่จินเซียงด้วยอาหารที่ทำขึ้นมาจึงเป็นการนึ่ง การต้ม การทำซุป รวมถึงการทำหัวแยมบด เพียงต้มให้เละ ผสมน้ำตาลผักและเกล
“เวรยามขอรับ ตั้งแต่เราโดนโจรปล้น ข้าเห็นสมควรให้มีการเดินตรวจเวรยามในหมู่บ้านและที่หน้าหมู่บ้านควรมีกลุ่มคนเฝ้าตลอดเวลาขอรับ ในส่วนของทางทะเลไม่น่าจะเป็นปัญหา คงไม่มีโจรมาทางทะเล” จางอี้เทาตอบและอธิบายในคราวเดียว“หัวแยม หัวยู่จินเซียง และหัวไป๋เหอฮวา สามารถเก็บไว้ได้นาน หากเราขุดมาไว้ในที่เก็บอาหารก็จะสะดวกสบายเพราะไม่ต้องไปขุดบ่อย ๆ แต่เราจะแน่ใจได้เช่นไรว่าโจรจะไม่มาปล้นไปอีก ดังนั้นเวรยามเพื่อตรวจผู้ที่ผ่านเข้าออกหมู่บ้านจึงสำคัญ อย่างน้อยจะต้องมั่นใจว่าข่าวที่พวกเรามีอาหารจะต้องไม่แพร่งพรายออกไปนอกหมู่บ้าน” จางอี้หมิงอธิบายเพิ่มเติม“แล้วเราจะแจ้งเรื่องหัวแยม หัวดอกไม้ทั้งสองเอามาทำเป็นอาหารได้ให้ท่านเจ้าเมืองทราบอีกหรือไม่” ชาวบ้านชายคนหนึ่งเอ่ยถามบ้าง“ข้าว่าพวกเราไม่ควรแจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบ พวกเจ้ายังไม่หลาบจำกับภัยหนาวเช่นนั้นหรือ ที่พวกเราโดนโจรปล้น หากครั้งนี้นำเรื่องนี้ไปแจ้งอีก ชีวิตของพวกเราจะรอดปลอดภัยเช่นนั้นหรือ” ชาวบ้านชายอีกคนเอ่ยคัดค้านขึ้นพร้อมทั้งให้เหตุผล ทำให้ชาวบ้านคนอื่นเริ่มปรึกษาหารือกันและเห็นสมควรด้วยที่จะไม่แจ้ง“อี้เทาเจ้ามีความเห็นเช่นไร” ซูเย่หันไ
จางอี้หมิงพิจารณาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็รับรู้ได้ในทันทีว่าท่านเทพยังไม่ทอดทิ้งชาวบ้านหลัวถงและตนเอง เขาถึงกับร้องไห้ออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ ส่งผลให้จางอี้เทา ซุนซูเย่และชาวบ้านชายอีกห้าคนหันมามองเด็กชายเป็นตาเดียวกันจางอี้เทาได้สติก่อนใคร ชายหนุ่มเร่งก้าวเท้ายาว ๆ มาถึงบุตรชายเป็นคนแรกและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“หมิงเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าถูกแมลงกัด บอกพ่อมาก่อนอย่าเพิ่งร้องไห้ พ่ออยู่ตรงนี้แล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่” จางอี้เทาพยุงบุตรชายขึ้นยืนแล้วอุ้มจางอี้หมิงมากอดไว้เด็กน้อยยินยอมให้บิดาอุ้มอย่างว่าง่าย ก่อนมือเล็กๆจะกอดบิดาไว้อย่างแน่นหนา ในขณะเดียวกันก็พยายามห้ามน้ำตาไปด้วย“ไหน บอกพ่อมาสิเกิดอันใดขึ้น”“ข้าดีใจขอรับ เรารอดแล้ว รอดตายแล้วขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น เขาพูดขึ้นมาเพื่อคลายความสงสัยของทุกคนอีกครั้ง“ท่านพ่อนั่นคือหัวแยมขอรับ ข้ามิรู้ว่าที่นี่เรียกว่าอันใดแต่ในตำรานั้นเรียกว่าหัวแยม มันเหมือนหัวมันเทศและหัวหูหลัวโป มันอิ่มท้องกว่าหัวของดอกยู่จินเซียงและไป๋เหอฮวาอีกขอรับ”เด็กน้อยยิ้มกว้าง หัวแยมนี้คือสิ่งที่เขาเพิ่งจะค้นคว้าข้อมูลมา มันคล
“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง แล้วเจ้าได้อ่านตำรานั้นบ้างหรือไม่อาเทา” ซุนซูเย่เอ่ยถามต่ออีกครั้ง“ข้าหาได้อ่านตำรานั้นไม่ท่านพี่ซุนเย่ เหตุเป็นเพราะข้าได้ตำรามาในขณะที่กำลังยุ่งเกี่ยวกับการจัดสอบในสถานศึกษา กะว่าเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจะกลับไปอ่าน ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องกับบ้านข้าขึ้นเสียก่อน แต่หมิงเอ๋อร์ที่ยังไม่ได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาแอบเอาไปอ่านเองถึงได้มีความรู้มากมายและแปลกประหลาดเช่นนั้น”จางอี้เทาตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ อีกครั้งและเพื่อเป็นการป้องกันความสงสัยของชาวบ้านในอนาคตถึงเรื่องที่เหตุใดเด็กน้อยตัวเท่านี้ถึงได้มีความรู้มากมายนัก“เอาล่ะ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว อย่าได้ตำหนิลูกชายเจ้าเลย ถือว่าหมิงหมิงน้อยทำความดีความชอบต่างหากเล่า หากไม่ได้ความรู้จากตำราพวกนั้น พวกเราก็คงแย่แล้ว” ซุนซูเย่เอ่ยสรุปความ ส่งผลให้สองพ่อลูกบ้านจางหันมามองหน้ากันแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก“หมิงหมิงน้อย พวกข้าต้องทำเช่นไรบ้าง” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น“จากที่ข้ามองไปนี้พวกเรามีหัวดอกไม้เพียงพอให้ทั้งหมู่บ้านได้เก็บกินจนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเจ้าเมือง แต่ถ้าหากว่าเราไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้นหากใช้
ความคิดเห็น