อาการประชวรของเฉินเทียนอี้ถูกปิดมิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงระแคะระคายเลยว่าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ผู้ออกว่าราชการนั้นเป็นตัวปลอม เฝิงไห่แสดงเป็นเฉินเทียนอี้ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติสมกับที่ทำเช่นนี้มานานปี
ข่าวลือเรื่องการประชวรไม่มีเล็ดลอดออกไป แต่ข่าวลือที่เฉินซือหยางไปวางระเบิดไว้ที่จวนไท่เว่ยกลับกระจายออกไปทั่วบ้านทั่วเมือง
“นี่ๆ เหล่าหลู่เจ้าได้ยินข่าวลือช่วงนี้หรือไม่” ผู้เฒ่าจูเดินขายถังหูลู่แต่เช้าจนขาแข็ง หยุดพักเหนื่อยที่ร้านน้ำชาของผู้เฒ่าหลู่ ถือโอกาสชวนคุยขณะนั่งจิบน้ำชาคลายหนาว
“เรื่องอะไรหรือ” ผู้เฒ่าหลู่หูผึ่ง สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที
“อ้าว! ก็เรื่ององค์รัชทายาทอย่างไรเล่า”
“ใช่เรื่องที่องค์รัชทายาทไปถูกตาต้องใจบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่เหล่าจู” พ่อค้าขายเซาปิ่ง[1] ทิ้งแผงมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน
“เรื่องนั้นแหละ ได้ยินว่าให้ของแทนใจทั้งปิ่นหงส์ ทั้งหยกพกคู่กาย ไม่ใช่ว่าบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงคือพระชายาที่องค์รัชทายาทหมายตาไว้หรอกหรือ”
“ไอ้หยา!! แบบนี้ราชวงศ์ของเราคงสูญสิ้นแล้วแน่ๆ ใครจะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ต่อจากนี้เล่า” ผู้เฒ่าหลู่เริ่มร้อนใจ ฮ่องเต้มีองค์รัชทายาทเป็นผู้สืบเชื้อสายเพียงหนึ่งเดียว องค์รัชทายาทพึงใจในตัวบุรุษเช่นนี้ วันหน้าคงสิ้นไร้ทายาท ศึกแย่งชิงบัลลังก์ต้องเกิดขึ้นอีกแน่
“เจ้าจะห่วงเรื่องนี้ไปไย ในวังหลวงมีสาวงามถึงสามพันนาง ยังห่วงว่าผู้อื่นจะไม่มีทายาทอีกหรือ เรื่องที่ข้าอยากรู้คือรูปโฉมของบุตรชายเจิ้งกั๋วกงต่างหากเล่า ได้ยินว่างามยิ่งกว่าพานอัน[2] มันคือเรื่องจริงใช่หรือไม่” เหล่าจูตบโต๊ะพูดถึงประเด็นสำคัญที่เขาสนใจ ใครจะครองบัลลังก์ไม่เห็นเกี่ยวกับชาวบ้านตาดำๆ หาเช้ากินค่ำเช่นเขา
“เรื่องนี้ข้ารู้ ได้ยินว่าบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงเกิดมาหน้าตาเหมือนมารดายิ่ง เรื่องรูปโฉมรับรองได้เลยว่าเลิศล้ำเหนือผู้ใดในแผ่นดิน” พ่อค้าเซาปิ่งยืดอกการันตีเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทำเอาเหล่าจูและเหล่าหลู่รีบยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถาม
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไร”
“แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมีมูลเหตุ กู้ฟางเหนียงมารดาของเขาคือโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งเมืองผิงอาน แล้วบุตรชายที่นางคลอดออกมาจะด้อยไปกว่านางได้อย่างไร”
“ข้าว่าตรรกะเจ้าเพี้ยนนะ ไม่ใช่ว่าบุตรชายของกู้ฟางเหนียงต้องหน้าตาหล่อเหลาสมชายชาตรีหรอกหรือ บุตรสาวของนางต่างหากถึงจะเรียกว่างดงาม”
“แสดงว่าพวกเจ้ายังไม่เคยเห็นบุตรสาวตระกูลจ้าวน่ะสิ แต่ละคนหน้าตาโขกออกมาจากเจิ้งกั๋วกงทั้งนั้น มีเพียงบุตรชายผู้นี้นี่แหละที่หน้าตาเหมือนมารดา อันว่าบุตรสาวเหมือนพ่อ บุตรชายเหมือนแม่เป็นผู้มีวาสนาสูงส่ง นี่อย่างไรเล่าอายุไม่เท่าไหร่ยังถูกตาต้องใจองค์รัชทายาทได้ อนาคตไม่ใช่ว่าที่ชายาองค์รัชทายาทแล้วจะเป็นกระไรได้”
“งั้นที่เขาลือกันว่าถึงขั้นมอบของแทนใจให้กันแล้วก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ” เหล่าจูกระซิบถามเสียงค่อย
“เรื่องจริง"
“ฮา!” ผู้เฒ่าทั้งสองคนอุทานพร้อมกัน
“จุ๊ๆ วาสนาคนเรานี่นะ ถ้าข้ามีบุตรชายแบบเจิ้งกั๋วกงสักคนได้ก็ดีนะซี้ เผื่อองค์รัชทายาทจะชอบพอบุตรชายของข้าบ้าง” เหล่าหลู่รำพึงรำพัน อิจฉาในโชควาสนาของผู้อื่น
“เหอะ เลิกฝันกลางวันเถอะน่า ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินยังพอมีหวังร่ำรวยขึ้นมาบ้าง นี่เหล่าจู ถ้าเจ้าอยากเห็นรูปโฉมบุตรชายของเจิ้งกั๋วกงไม่ลองไปเดินขายถังหูลู่แถวถนนตะวันออกดูเล่า” พ่อค้าขายเซาปิ่งกระซิบบอก
“นั่นมันย่านของชนชั้นสูงไม่ใช่หรือ ข้าไปเดินแถวนั้นจะไม่โดนทหารเฝ้าประตูจวนพวกนั้นกวาดออกมาอีกรึ” เหล่าจูก้มมองชุดเก่าโทรมเต็มไปด้วยรอยปะชุนของตนเอง เขาเคยมีประวัติถูกชนชั้นสูงจับโยนออกมาไม่ให้ไปเกะกะหน้าจวน ผู้เฒ่าจูจึงฝังใจไม่ไปเยือนถนนฝั่งตะวันออกของเมืองอีกเลย
“ไปเถอะน่า ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นหรอก ไม่แน่นะเจ้าอาจได้ข่าวดีข่าวเด็ดมาเล่าสู่พวกข้าฟังอีกก็ได้” พ่อค้าขายเซาปิ่งยักคิ้วหลิ่วตาอย่างมีเลศนัย ผู้เฒ่าจูได้ยินดังนั้นก็รู้สึกคันยุบยิบไปทั้งตัวและหัวใจ สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็ชนะทุกอย่าง จึงพยักหน้ารับคำพ่อค้าขายเซาปิ่งแล้วตรงดิ่งไปยังถนนตะวันออก
จวนไท่เว่ยตกเป็นที่พูดถึงไปทั่วบ้านทั่วเมือง วันนี้กำลังเปิดประตูต้อนรับการมาเยือนของรองเสนาบดีกรมพิธีการคนใหม่ จินซานกลับเรือนด้วยความหนักอกหนักใจในวันนั้น วันนี้มาเยือนจวนไท่เว่ยอีกครั้งพร้อมแม่สื่อชื่อดังของเมืองหลวง
รถม้าคันใหญ่จอดเทียบหน้าประตูใหญ่จวนไท่เว่ย จินซานในชุดขุนนางขั้นสามเต็มยศประคองฮูหยินผู้เฒ่าจินลงจากรถม้า
“ทางเดินลำบากหรือไม่เจ้าคะ” กู้ฟางเหนียงนำขบวนสาวใช้คอยต้อนรับขับสู้ ฮูหยินผู้เฒ่าจินได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นก็รู้สึกเกรงอกเกรงใจอีกฝ่ายขึ้นมาทันที
“ไม่ลำบากๆ เป็นยายแก่อย่างข้าต่างหากที่ทำให้ไท่เว่ยฮูหยินต้องลำบากรอแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าจินตบมือเรียวบางของกู้ฟางเหนียงขณะเข้ามาประคองตนเบาๆ
กู้ฟางเหนียงเห็นแบบนั้นก็ให้ยิ้มแย้มกว้างขึ้น ตอนได้รับเทียบเชิญขอเข้าพบเพื่อพูดคุยเรื่องหมั้นหมายจากจินซาน นางยังนึกว่าตนเองฝันไปเสียอีก โชคดีหล่นลงมาจากฟ้าหาบุตรเขยได้โดยไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นเช่นนี้กู้ฟางเหนียงจะไม่ยินดีได้อย่างไร ยิ่งได้เห็นรูปร่างหน้าตาอันสุภาพอ่อนโยนราวกับหยกของว่าที่บุตรเขยแล้ว กู้ฟางเหนียงยิ่งคึกคักราวกับฉีดเลือดไก่
“เชิญฮูหยินผู้เฒ่าเข้าไปนั่งดื่มชาพูดคุยกันด้านในเถิดเจ้าค่ะ” กู้ฟางเหนียงเชื้อเชิญ ทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนเข้าไปด้านในจวน
เหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าจูคนขายถังหูลู่ผู้กะมายลโฉมคนงามโดยเฉพาะ
“ไอ้หยา! มีเรื่องให้เล่าอีกแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ผู้เฒ่าจูเลยเตร็ดเตร่ขายถังหูลู่หาคนพูดคุยเรื่องนี้ด้วยตลอดทั้งเช้า
“เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
กู้ฟางเหนียงประคองฮูหยินผู้เฒ่าจินนั่งลงสนทนากันในห้องโถงหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวและฮูหยินผู้เฒ่าจินอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจึงพูดคุยกันถูกคอยิ่งนัก แม่สื่อเองก็ร่วมวงพูดจาสรรเสริญเยินยอกันไปยกหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็แลกเทียบดวงชะตากันอย่างราบรื่นบรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นเบิกบาน
จินซานปลีกตัวออกมาตั้งแต่ต้น ปล่อยให้เป็นธุระของญาติผู้ใหญ่ ส่วนตนเองก็เดินชมทิวทัศน์บริเวณสวนท้อด้านหลังจวนไปพลางๆ
“ไม่นึกว่าท่านจะเป็นคนมีสัจจะผู้หนึ่ง” จ้าวลี่จ้งเอ่ยทักจินซาน หลังจากเห็นชายหนุ่มนั่งเหม่อในศาลาแปดเหลี่ยมมาสักพักหนึ่งแล้ว
“คุณหนูจ้าว” จินซานคารวะ ไม่แปลกใจที่เห็นหญิงสาวที่นี่ ข่าวเรื่องที่เขาพาแม่สื่อมาสู่ขอคงรู้ถึงหูนางแล้ว
“อย่าพูดจาห่างเหินกันอยู่เลยน่า ถึงอย่างไรก็ใกล้จะหมั้นหมายกันแล้ว เรียกข้าว่าอาจ้งเถอะ” จ้าวลี่จ้งนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายอย่างสง่าผ่าเผย มือหยาบกร้านผิดสตรีรินชาให้บุรุษตรงหน้าด้วยตัวเอง
“อาจ้ง” จินซานเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา "มาหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ" ใบหน้างดงามคล้ายอิสตรีมองประเมินจ้าวลี่จ้ง ไม่รู้ว่านางมาพูดคุยกับเขาเพราะต้องการอะไรอีก
“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ข้าแค่อยากตกลงกับท่านนิดหน่อย ไหนๆ เราก็ล่มหัวจมท้ายกันแล้ว ท่านเองก็รู้ว่าเราสองคนจะแต่งงานกันด้วยเหตุใด ข้าต้องการให้ที่บ้านเลิกวุ่นวายใจกับเรื่องออกเรือนของข้า ส่วนท่านเพราะอยากตอบแทนบุญคุณจริงๆ ก็ดี หรือเพื่อผลประโยชน์ในวันหน้าก็ช่าง ข้ามีข้อเรียกร้องจากท่านเพียงข้อเดียว ท่านจะให้ข้าได้หรือไม่” จ้าวลี่จ้งไม่มัวอ้อมค้อมเอ่ยจุดประสงค์ออกมาตามตรง นางไม่เชื่อหรอกว่าการพบกันครั้งก่อนเป็นเรื่องบังเอิญ อีกฝ่ายเป็นถึงปั๋งเหยี่ยนไม่ใช่คนโง่งมโดยแท้ เขาอุตส่าห์เข้าหานางอย่างแนบเนียนปานนี้ จะไม่ให้นางผลักเรือตามน้ำได้อย่างไร
“ลองเอ่ยมาก่อนสิ” สายตาลุ่มลึกจ้องมองหญิงสาวด้วยความสนอกสนใจขึ้นกว่าครั้งก่อน จินซานเลิกเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนใสซื่อ ดวงหน้าสวยยิ้มร้าย บุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงไม่อาจดูเบาได้จริงๆ
จ้าวลี่จ้งมุมปากกระตุก นั่นไง! พวกบัณฑิตนอกจากมีความรู้เต็มท้องแล้วยังเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเป็นที่หนึ่งดั่งที่ท่านพ่อว่าจริงๆ ด้วย
“ท่านพ่อของข้ามีท่านแม่แค่คนเดียว ข้าเองก็หวังว่าท่านจะมีแค่ข้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียวเช่นกัน”
“เหตุใดข้าต้องรับปากเจ้าด้วยล่ะ” จินซานเล่นลิ้น เท้าคางมองใบหน้าอีกฝ่าย หยอกเย้าจ้าวลี่จ้งเล่น
“ที่ข้าพูดแบบนี้ก็เพื่อตัวท่านเอง ท่านไม่เห็นว่าข้าหวังดีหรอกหรือ” จ้าวลี่จ้งชักกระบี่คมกริบออกมาปักบนโต๊ะหินอ่อนแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาจินซานผงะตกใจแทบตกเก้าอี้
“มะ... มีอะไรค่อยๆ คุยกันดีหรือไม่”
“ข้าก็กำลังขอร้องท่านด้วยความสุภาพอยู่นี่อย่างไรเล่า” จ้าวลี่จ้งบอกหน้าตาย ขัดกับท่าทางเท้าเอวเอาเท้าเหยียบเก้าอี้ราวกับนักเลงอันธพาล ไหนจะกระบี่คมกริบที่แกว่งไปแกว่งมาตรงกลางโต๊ะหินอีก แล้วจะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่านางกำลัง ‘ขอร้อง’ เขาอยู่ ไม่ใช่ ‘ข่มขู่คุกคาม’
“แต่ว่าท่าทางของเจ้ามัน...”
“ท่าทางของข้ามันอย่างไรหรือ หืมมม” จ้าวลี่จ้งยืนค้ำร่างสูงโปร่ง ชะโงกใบหน้าคมเข้มแทบชิดใบหน้าหวานของจินซาน ชายหนุ่มเอนตัวหนีอย่างจนมุม สุดท้ายก็จำต้องยอมรับปากหญิงสาว
“ก็ได้ๆ ข้ายอมทำตามข้อเสนอของเจ้าก็ได้” จินซานยกมือยอมแพ้ ชักจะมองเห็นอนาคตหลังแต่งงานของตนเองรางๆ ที่เขาหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้ สรุปว่ามันดีหรือไม่ดีกันแน่นะ
จ้าวลี่จ้งมองท่าทางจนใจของจินซานพานยิ้มพึงใจ มือหนาตบหน้างามเบาๆ เชิงหยอกล้อ “เยี่ยม หวังว่าจากนี้ไปเราจะอยู่ร่วมกันด้วยดีนะซานเอ๋อร์”
ซานเอ๋อร์?
"..." จินซานผู้ถูกบังคับให้กลืนยาขม
[1] เซาปิ่ง หรือขนมแป้งทอด เป็นขนมโบราณของคนจีนยัดไส้ด้วยถั่วเหลืองหรือเผือกกดเป็นแผ่นแบนแล้วนำไปทอด
[2] พานอัน (潘安) เป็นนักปราชญ์ที่เกิดในสมัยจิ้นตะวันตก ได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน