“ฝ่าบาท” เฝิงไห่เอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ดึงสติของเฉินเทียนอี้กลับมาจากห้วงคำนึงอันแสนยาวนาน
“มาแล้วหรือ เป็นอย่างไร รสชาติของนังแพศยาตระกูลหลี่ แทบกระเดือกไม่ลงเลยสิท่า” เฉินเทียนอี้ถามเสียงนุ่ม ขัดกับนัยน์ตาวาววับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังไม่จางหาย
“พ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ค้อมกายรับคำเสียงเรียบ สายตาหลุบต่ำมองหลานซือเยว่แฝงประกายอ่อนโยน สลับกับเงาร่างของเฉินเทียนอี้ที่อยู่เคียงข้างด้วยอารมณ์ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจเสียงแผ่ว
“เจ้าคงสะอิดสะเอียนมากสินะ ทำเรื่องเช่นนี้แทนข้ามาหลายปี คงเบื่อมากเลยสิท่า”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทประสงค์สิ่งใด กระหม่อมย่อมปฏิบัติตามโดยสิ้น”
“ประเสริฐ! ข้าต้องการ ‘บุตร’ เพิ่มอีกหลายคน มีกับพระสนมขั้นสูงได้ยิ่งดี ช่วงนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ย่อมมีความโลภเป็นที่ตั้ง เขาไม่เชื่อหรอกว่าหากมีองค์ชายเกิดจากตระกูลตน ขุนนางเหล่านั้นจะยังจงรักภักดีกับหลี่ย่าเสียง อีกไม่กี่ปีข้างหน้าคาดว่าเสด็จแม่ของเขาต้องยุ่งจนหัวหมุนเป็นแน่แท้
“กระหม่อมรับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ปรมาจารย์เสิ่นอวิ๋นเล่า ยังไม่มีข่าวคราวอีกหรือ” เฉินเทียนอี้วางมือของหลานซือเยว่ลงอย่างเบามือ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“ยังไม่ออกจากด่านกักตนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ปรมาจารย์ 'เสิ่นอวิ๋น' ผู้ถูกกล่าวถึงคือ นักพรตที่มีพลังบำเพ็ญเพียรแก่กล้าถึงระดับต้าเฉิงหรือสู่มหายาน ชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกผู้บำเพ็ญเพียร แต่ท่านผู้เฒ่ากลับเร้นกายไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ในขณะที่เฉินเทียนอี้สั่งให้คนออกตามหาผู้ทรงฤทธิ์อย่างลับๆ นักพรตเสิ่นอวิ๋นกลับมาเยือนถึงที่พร้อมแท่นหยกน้ำแข็งพันปี และยาเปลี่ยนชีพคืนวิญญาณ ทำให้สามารถคงรูปร่างของหลานซือเยว่ไม่ให้สูญสลาย ก่อนจะปิดด่านกักตนเพื่อทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณของหลานซือเยว่บนยอดเขาเซี่ยซิงห่างจากเมืองหลวงไกลนับร้อยลี้ จนป่านนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกจากด่านกักตน
“ยังไม่มีวี่แววเลยหรือ” เฉินเทียนอี้รู้ว่าการฟื้นคืนชีพให้หลานซือเยว่นั้นช่างริบหรี่ เขาทำได้เพียงรักษาม้าตายดุจม้าเป็น[1] ความหวังทั้งหมดล้วนฝากไว้ที่เสิ่นอวิ๋น แต่พอได้รับคำตอบจากเฝิงไห่ อารมณ์ของเขาก็ดิ่งลงถึงขีดสุด
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เก้าปี! ข้ารอมานานถึงเก้าปีเชียวนะ ยังจะต้องให้ข้ารออีกเนิ่นนานแค่ไหนกัน”
เพล้ง!!
มือหนาปัดแจกันหยกสมัยปฐมจักรพรรดิตกแตกละเอียดไม่มีชิ้นดีด้วยแรงอารมณ์ เฉินเทียนอี้เดือดดาลจนดวงตาแดงก่ำ เลือดลมในกายพลุ่งพล่านประกอบกับถูกฤทธิ์ของธูปเสน่หาผสมกับพิษสะบั้นวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายเคี่ยวกรำ รวมทั้งความหนาวเหน็บที่ได้รับจากแท่นหยกน้ำแข็งพันปีเกิดการปะทะกันภายในกาย ทำให้ร่างสูงตระหง่านเจ็บหนัก ฝืนยืนหยัดต่อไปไม่ไหวจนร่างกายเซถลาชนเข้ากับแท่นหยกน้ำแข็งพันปี โลหิตสดๆ พ่นออกมาจากริมฝีปากหนา
พรืด!!
“ฝ่าบาท!!!”
เฝิงไห่โผรับเฉินเทียนอี้ที่หมดสติไปก่อนร่างสูงจะล้มกระแทกพื้น จี้สกัดจุดไม่ให้พิษกำเริบ แล้วประคองอีกฝ่ายเร้นกายกลับตำหนักหยางซิน
“รีบไปตามหมอหลวงเร็ว!”
“ขอรับ” หวังกงกงรับคำ เร่งฝีเท้าไปยังสำนักแพทย์หลวงอย่างเร่งร้อน
เฝิงไห่พยุงเฉินเทียนอี้นอนบนแท่นบรรทม แล้วหันไปสั่งองครักษ์เงาเสียงเข้ม “จับตาดูไว้ ผู้ใดกล้าแพร่งพรายอาการประชวรของฝ่าบาทฆ่าได้ทันที ส่วนเจ้าเร่งไปแจ้งข่าวองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้”
“ขอรับ / ขอรับ”
ทุกคนแยกออกไปทำตามคำสั่ง ไม่นานเฉินซือหยางที่เพิ่งทราบข่าวก็รีบเร้นกายมาตำหนักหยางซินเพียงลำพัง
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเสด็จพ่อถึงประชวรได้”
เฉินซือหยางซับหยาดเหงื่อที่ผุดพรายเต็มศีรษะเฉินเทียนอี้ด้วยตนเอง ความห่วงใยฉายชัดบนดวงหน้ากลม ร่างเล็กของเด็กชายช่วยประคองศีรษะของเสด็จพ่อขึ้นป้อนโอสถจากหมอหลวง เห็นร่างสูงของเฉินเทียนอี้มีท่าทางผ่อนคลายลง สีหน้าไม่หลงเหลือความเจ็บปวด ค่อยออกปากซักถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“วันนี้ฝ่าบาทเสด็จไปยังตำหนักคุนหนิง มีรับสั่งให้หลี่ลู่เหม่ยหลานสาวของไทเฮาถวายงานจึงถูกกลิ่นธูปราคะเล่นงานเข้า ประกอบกับเสด็จไปเยี่ยมกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงที่ตำหนักซูเซียว ทำให้พระอารมณ์แปรปรวน อาการประชวรเลยกำเริบพ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่ก้มหน้ารายงานเสียงต่ำ
“รู้ทั้งรู้ว่าเสด็จพ่อพระวรกายอ่อนแอ เจ้าไม่เพียงไม่ห้ามปราม กลับส่งเสริมให้เสด็จพ่อกระทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อพระองค์เองเช่นนี้ ข้าจะมีเจ้าไว้เพื่อการใดกัน!” เฉินซือหยางเดือดดาลหนัก เขวี้ยงถ้วยยาใส่ศีรษะเฝิงไห่จนหน้าผากแตกเลือดอาบหน้า แต่โทสะที่มีอยู่เต็มอกไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ร่างเล็กๆ หงุดหงิดงุ่นง่าน จนหวังกงกงต้องเข้ามาเอ่ยปลอบ
“ขอองค์รัชทายาทโปรดระงับโทสะ”
“เจ้ายังมีหน้ามาบอกให้ข้าใจเย็นอยู่อีกหรือ เสด็จพ่อเป็นหนักขนาดนี้ แล้วเจ้าเล่ามัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่อยู่ข้างกายเสด็จพ่อ ข้ากำชับนักกำชับหนาแล้วว่าต้องห้ามปรามไม่ให้เสด็จพ่อบุ่มบ่ามทำอะไรที่เป็นการทำร้ายพระองค์เอง แล้วเป็นอย่างไรเล่า ฝืนพระองค์จนเจ็บหนักถึงเพียงนี้ หากว่าเสด็จพ่อเป็นอะไรไปละก็ ข้าจะบั่นศีรษะพวกเจ้าทุกคน” เฉินซือหยางด่ากราดไม่ไว้หน้าผู้ใด ใบหน้าถมึงทึงแฝงความอำมหิตโหดเหี้ยมเกินเด็ก ทำเอาหวังกงกงหวาดกลัวจนตัวสั่น
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า โปรดพระราชทานอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ต่อไปนี้กระหม่อมขอสาบานว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับฝ่าบาทอีกเป็นอันขาด”
“กระหม่อมขอสาบานเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” เฝิงไห่โขกศีรษะขออภัยเช่นเดียวกับหวังกงกง
เฉินซือหยางมองคนสนิทข้างกายเฉินเทียนอี้ด้วยสายตาเย็นชา สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อระงับโทสะ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อหันหลังให้ตัวไร้ประโยชน์พวกนี้ด้วยความรำคาญ “หากว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”
“เสด็จพ่อมีแผนการใดต่อไป”
“ฝ่าบาทประสงค์จะมีทายาทในนามเพิ่มขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อคิดจะกวนน้ำจับปลา[2] สินะ สองสามวันนี้เจ้าก็ปลอมตัวเป็นเสด็จพ่อให้ดี ห้ามเผยพิรุธเป็นอันขาด”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“หวังกงกง เจ้าประกบเฝิงไห่ไว้ อย่าให้เขาทำอะไรผิดพลาดเด็ดขาด ส่วนราชกิจของเสด็จพ่อข้าจะเป็นคนสะสางเอง พวกเจ้าแค่แสดงละครตบตาตาเฒ่าพวกนั้นให้ดีเป็นพอ ช่วงนี้เสด็จพ่อเพิ่งปรับขั้วอำนาจใหม่ ระหว่างออกว่าราชการอย่าลืมสังเกตท่าทีของเหล่าขุนนางด้วย หากผู้ใดมีทีท่าว่าจะสานสัมพันธ์กับตระกูลหลี่แล้วละก็รีบรายงานข้าทันที”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะพวกเจ้าออกไปได้ ข้าจะเป็นคนดูแลเสด็จพ่อเอง” เฉินซือหยางโบกมือไล่ เขาเดินเข้าไปในห้องบรรทมอีกครา เห็นเฉินเทียนอี้นอนหลับด้วยสีหน้าความเจ็บปวดเหนื่อยล้า เฉินซือหยางก็รู้สึกปวดใจและเจ็บแค้นแทนเสด็จพ่อยิ่งนัก เสด็จพ่อต้องคอยวางแผนเพื่อความอยู่รอดของเขาและแก้แค้นให้เสด็จแม่ ทรมานตัวเองทั้งกายใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยไม่นึกห่วงพระองค์เอง
เฉินซือหยางกำหมัดแน่นลอบสาบานในใจ ตระกูลหลี่ต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำกับครอบครัวเขาอย่างสาสม!
[1] รักษาม้าตายดุจม้าเป็น หมายถึง ทำในสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางทำได้ หรือดันทุรังทำในสิ่งที่เกินความสามารถ
[2] 1 ใน 36 กลยุทธ์จากเรื่องสามก๊ก หมายถึง การฉกฉวยผลประโยชน์ขณะที่ศัตรูเกิดความปั่นป่วนหรือขัดแย้งกันเอง