เสียงปรบมือสองที… แปะ… แปะ…ผู้คนหันขวับใต้ร่มพัดไผ่ลายทอง ไท่จือเว่ยจินยืนนิ่งในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลายพญาอินทรีเหินเวหา ดวงตาคมยามนั้นมีแววเฉียบขาดแต่เรียบสงบ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง เปิดเผยจริงใจเขาหันข้างเล็กน้อย แล้วกล่าวกับขันทีคนสนิทเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น“นำของกำนัลไปมอบให้คุณหนูทั้งสอง… กล่าวกับนางว่า ข้าชื่นชมจากใจ”ขันทีนามหลิวกวง โค้งรับคำ แล้วเบี่ยงตัวออกไปในมือมีหีบไม้จันทน์ขนาดเล็กสองกล่อง ห่อด้วยผ้าไหมทอด้วยดิ้นทองขันทีน้อยยืนเบื้องหน้าสองพี่น้อง แล้วกล่าวด้วยเสียงชัดเจน“ไท่จือเว่ยจิน รับชมการแสดงของคุณหนูฟางทั้งสองด้วยความประทับใจอย่างยิ่งจึงขอมอบของกำนัลนี้แด่ท่านทั้งสอง เพื่อเป็นเกียรติและคำขอบคุณในศิลปะอันเลอค่า ขอให้รับไว้เถิดขอรับ”อี้เหยาถอนหายใจไม่ชอบใจท่าทีอวดสรรพคุณของเว่ยจินนัก ก่อนที่อี้หลินจะรับเอาหีบไม้ประคองไว้ด้วยมือนุ่มนวลอี้เหยายืนนิ่ง แต่ก็ย่อกายเล็กน้อย กล่าวเสียงนุ่ม“ไท่จือเมตตาเกินไปเพคะ พวกหม่อมฉันหาได้กล้ารับสิ่งใดโดยไม่กล่าวคำขอบคุณ...”เว่ยจินเพียงแค่ยกมือขึ้นเบา ๆ“อย่าได้เกรงใจ... สตรีที่ยิงธนูแม่นยำราวกับอ่านใจได้ และผู้บรรเลงพิณเสนาะจ
เสียงพิณแว่วแผ่วจากเหล่านางดนตรี เพลงบรรเลงพลิ้วราวหมอกยามเช้า ผสานเข้ากับเสียงดีดเครื่องสายอย่างสงบเยือกเย็นบนฟากฟ้าเหนือเวที…สายลมเริ่มพัดแรง ใบหลิวปลิวว่อนประหนึ่งสัญญาณแห่งความแปรเปลี่ยนทันใดนั้นเองเสียงตะโกนจากผู้ดำเนินงานดังกังวาน“และบัดนี้...ขอเชิญรับชมการแม่นธนูและบรรเลงเพลงพิณจากบุตรีบ้านฟาง คุณหนูฟางอี้หลิน และคุณหนูฟางอี้เหยา”จู่ๆ แสงไฟเวทีพลันหรี่ลง ท้องฟ้าสีทองส้มฉายเงาผ่านหลังคาศาลาไม้สูงเสียงลมหวิว…ผู้คนทั้งงานหันหน้าขึ้นไปพร้อมกันและแล้วร่างหนึ่งในชุดสีฟ้าครามปักลายปรากฏกายเหนือหลังคาศาลา ใบหน้าปิดบังไว้ด้วยหน้ากากอัปลักษณ์สลักลายคล้ายหยกกะเทาะ ร่อนตัวลงจากหลังคา ร่างเบาหวิวราวกับขนนก ในนาทีที่เท้าสัมผัสพื้นเวที ก็ยืนในท่ามั่นเสียงฮือฮาอื้ออึง มือขวายกคันธนูไม้หอมขึ้นเหนี่ยวสายคันธนูดั่งเทพีธนูที่หลุดมาจากตำนานเสียงฮือฮาทั้งลานดังขึ้นอีกครั้งกับท่าทีสง่างามเกินหญิง“นั่นหรือคุณหนูฟาง ไหนว่าพวกนางสองพี่น้องงดงามราวเทพีสวรรค์ แล้วเหตุใดถึงสวมหน้ากากอัปลักษณ์เช่นนั้น “หรือตั้งใจจะทำสิ่งใดกันแน่” เสียงซุบซิบดังไปทั่วลานท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้อง ไป๋อวี้ที่นั่
กลิ่นหอมจากชาอู่หลงชั้นเลิศลอยแผ่วอ้อยอิ่ง ขับกล่อมให้ลานน้ำชาชั้นสูงดูอบอุ่นและงดงามในแสงอาทิตย์อ่อน ๆอี้เหยาในอาภรณ์ผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักดอกเหมย ยืนเคียงมารดาเจียวหยูริมซุ้มพฤกษา แววตาเธอจับจ้องไปยังขบวนเสด็จของโตวโฮฉินและเครื่องบรรณาการที่มีไท่จือเว่ยจินปรากฏตัวพร้อมกับขบวนบรรณาการอลังการอี้เหยาเบ้ปากเล็กน้อย ขณะกระซิบเบาๆ กับมารดา“ท่านแม่...บุรุษหน้ายิ้มผู้นั้นคือผู้ใดหรือเจ้าคะ ช่างทำตัวเย่อหยิ่งราวกับโลกทั้งใบเป็นของเขา มิรู้จักความพอดีเอาเสียเลย”เจียวหยูหันมามองลูกสาวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม“นั่นคือไท่จือเว่ยจิน บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนขององค์หญิงเก้าจิวฮัวกับฮ่องเต้โตวโฮฉินแห่งแคว้นเป่ยเอียน”อี้เหยาทำตาโต“โอ้...เชื้อสายสูงศักดิ์เช่นนั้นหรือ...ก็ว่าอยู่ ทำไมถึงดูร่ำรวยและ...อวดดีนัก”“เหยาเอ๋อร์” เจียวหยูปรามเสียงเบาแต่จริงจัง “แม้เจ้าจะไม่ชอบเขา ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น บุญคุณเก่าระหว่างแคว้นเป่ยเอียนกับเรา รวมถึงตัวฝ่าาทกับฮองเฮาแคว้นเป่นเอียน เคยมีต่อพ่อเจ้าและตัวแม่ไม่น้อย เขาก็ไม่ต่างจากเฉิงอู๋อ๋องกับพระชายาที่เจ้าชื่นชมนัก”อี้เหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย“แต่เขามิใช่เฉิงอู๋อ๋อง
“หากนางยอมรินชาให้มือนางเอง...ข้าจะถือว่าชนะไปแล้วครึ่งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” ซางหลางกล่าวเสียงนุ่มแล้วดวงตาคมนั่นก็เหลือบไปทางหนึ่ง...เงาผ้าชั้นดีปักลายกลีบบุปผากำลังพลิ้วไหวไปตามทางเดิน... พร้อมเจ้าของที่ไม่รู้ตัวเลยว่าทุกฝีก้าวกำลังถูกเฝ้ามองด้วยใจอันแน่วแน่แม้ยามเช้าเพิ่งคล้อยสู่สาย แต่ลานกลางสวนหลวงในจวนอ๋องไร้พ่ายกลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คนม่านแพรหลากสีปลิวไหวในสายลมบางเบา กลิ่นชาหอมฟุ้งลอยแตะจมูกไปทั่ว เสียงคุยเจื้อยแจ้วของเหล่าบุตรีขุนนางผสานเสียงหัวเราะแผ่วเบาโต๊ะน้ำชาถูกจัดเรียงเป็นกลุ่มรายรอบศาลากลางน้ำที่มีเวทีเล็ก ๆ ตั้งขึ้นเพื่อแสดงดนตรีขับกล่อม เสียงพิณจีนร่ำไห้เบา ๆ เคล้าความงามของกลีบดอกเหมยที่โปรยปรายลงมาช้า ๆขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊มากมายทยอยเดินทางมาถึง บุตรชายผู้มีวัยไล่เลี่ยต่างประดับตนด้วยเสื้อผ้าสีสุภาพแต่อาภรณ์งามล้ำ สะท้อนสถานะและความมุ่งหมายในการพบปะหญิงงามแห่งวังหลวงเจียวหยูและตงเกาก็เดินยิ้มมาร่วมโต๊ะกลางพร้อมเสียงหัวเราะและกล่องขนมหวานแปลกตาที่นำมาจากตลาดเมืองเหนือแต่แม้จะครื้นเครงเท่าใด... กลับยังมีเงาเงียบงันหนึ่งแผ่คลุมเหนือทุกบทสนทนา“ท่านแม่ท่านรู้หรือ
แสงแดดยามสายคลี่คลุมลงบนลานหยกกว้างของจวนอ๋องไร้พ่าย กลีบดอกเหมยที่เริ่มโรยปลิวล้อสายลมอย่างอ้อยอิ่งประหนึ่งเต้นรำรับแขกบ้านแขกเมืองเหล่าขันทีและสาวใช้เร่งมือประดับพานพุ่ม ผลไม้นานาพันธุ์ ขนมงิ้ว ขนมเปี๊ยะหลากสี และน้ำชาชั้นเลิศจากแคว้นใต้ถูกจัดเรียงในลวดลายพิลาศ ดนตรีสายดีดทั้งเจิ้งและพิณพลิ้วไหวไล้บรรยากาศให้กล่อมละมุนราชนิกูลและขุนนางชั้นสูงต่างนำบุตรชายบุตรีของตนมาร่วมงานด้วยเสื้อผ้าผ้าไหมหรูหรา แสงอาทิตย์สะท้อนผืนผ้าเป็นเงางามระยับไม่ต่างจากสายน้ำทองคำ บุตรชายขุนนางวัยรุ่นทั้งหลายต่างยืดอกประหนึ่งบุปผาแรกแย้มอวดกลีบ ซุ่มซ่ามบ้าง กระหยิ่มยิ้มแย้มบ้าง ยามหญิงงามเดินผ่านเจียวหยูในอาภรณ์ลายดอกโบตั๋นสีน้ำเงินเข้ม กับตงเกาในอาภรณ์ผ้าลินินฝ้ายสุภาพสีเข้มเดินมาช่วยรับรองแขกด้วยท่าทางองอาจ คนทั้งสองเป็นที่จับตาของบรรดาเหล่าขุนนางในวังหลวงไม่น้อยเพราะทั้งเจียวหยูและตงเกาต่างหายไปนับสิบปีและแล้ว...เมื่ออี้เหยา บุตรีคนรองของตงเกาและเจียวหยู ปรากฏกายในอาภรณ์สีขาวปักลายบุปผาสีแดง ดอกไม้บนชายกระโปรงพลิ้วราวมีชีวิต บางเสียงถึงกับแอบถอนหายใจ บางผู้ถึงกับมองตามมิคลาดสายตา เพราะไม่คิดว่า อี้เห
ณ ตำหนักเมฆาล้อมดารา ยามบ่ายคล้อยลมเย็นพัดรินม่านบางไหวเบา จิวอันฮองเฮานั่งพิงพนักเก้าอี้ไม้หอม ดื่มชาดอกมู่หลานกลิ่นอ่อนๆ ด้วยอิริยาบถสบายตา เสียงป้ายหยกข้างกายกระทบกันแผ่วเบาเมื่อคนที่นางเฝ้ารอก้าวเข้ามาในห้อง“ท่านแม่…” เสียงซางหลางอ่อนลงราวเด็กน้อยเวลาแอบซ่อนเรื่องผิดไว้ในอกจิวอันเลิกคิ้ว ซ่อนยิ้มทำสีหน้าเคร่งเครียด“วันนี้มีเรื่องอะไรอีกเล่า ถึงได้ทำหน้าราวแมวตกน้ำเช่นนั้น”ซางหลางเดินมานั่งข้างนางอย่างออดอ้อน กอดเอวอุ่นไว้แน่นราวกับเด็กๆ แววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “ข้าอยากให้ท่านแม่ช่วยเรื่องหนึ่ง…เกี่ยวกับไป๋ฮวา”จิวอันอมยิ้ม “หึ เดาได้อยู่แล้วเรื่องที่องค์ชายไปคุกเข่ากับฝ่าบาทดังไปจนทั่วเพื่อให้ฝ่าบาทพูดคุยกับท่านอาเฉิงอู๋อ๋องเรื่องที่จะสู่ขอไป๋ฮวามาในฐานะไท่จือเฟย”เขาเกาะแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกเสียอีก “ท่านแม่ข่าวไวจริงๆ ลูกถูกไฟรักสุมในอกท่านแม่ไม่เห็นใจลูกหรือไร” ซางหลางกล่าวเสียงขุ่นปนน้อยใจ “บิดาเจ้ารับปากแล้วนี่ยังมีเรื่องใดอีกจะพูดไปไป๋ฮวาก็ควรได้เลือกเช่นกัน”“ข้ารู้แต่ว่า ไม่ว่าไป๋ฮวาจะเดินไปทางใด…เว่ยจินต้องปรากฏตัวตรงนั้นก่อนข้าทุกที”จิวอันหัวเราะเบา ๆ แล้ววางถ้วยช