อ๋องอำมหิต!...ไป๋หยงร่ำร้องอย่างหวาดกลัวอยู่ในใจ
ดวงตาคมกริบของฉินอ๋องหลี่อี้จ้องมองดวงหน้าของไป๋หยง
"ไม่ใช่ไป๋มู่ตาน"
"เอ้อ...คือว่า...ซือไถ้ (แม่ชี) ที่อารามเมฆา ทำนายว่าดวงชะตาของมู่ตานระยะนี้มิใคร่ดีนัก จะต้องให้นางไปพำนักอยู่ที่อารามเมฆา ไหว้พระ ถือศีล กินเจ เป็นเวลาสามเดือนเป็นอย่างน้อยขอรับ" อำมาตย์ไป๋หลงแถ
"อ้อ..." ฉินอ๋องหลี่อี้ทำเสียงว่ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงขรึมว่า "ข้าว่าสามเดือนน้อยเกินไป ให้นางอยู่ถือศีลกินเจที่อารามสักสามปีกำลังดี"
คำกล่าวของฉินอ๋อง...แม้มิได้ศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าพระราชโองการ แต่ก็ทำให้อำมาตย์ไป๋หลงหน้าซีดเผือด เพราะนับเป็นคำสั่งที่ไม่อาจจะละเลยไม่ปฏิบัติตามได้!
ฉินอ๋องหลี่อี้จัดการคลุมผ้าแพรมงคลให้แก่ไป๋หยง แล้วจูงเขาไปขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว
ที่ตำหนักใหญ่ในจวนฉินอ๋อง...ทุกที่ทางถูกตกแต่งด้วยสีแดงงดงาม
ไป๋หยงเข้าพิธีแต่งงานกับฉินอ๋องหลี่อี้อย่างครบถ้วนและถูกต้องตามประเพณีทุกประการ...จากนั้นสาวใช้สองนางก็ประคองเขาเข้าไปนั่งรอบนเตียงในห้องนอนใหญ่ แล้วพวกนางก็ยืนเฝ้าเงียบๆ
หนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) ให้หลัง...ฉินอ๋องหลี่อี้ก็เข้ามาในห้อง
สองสาวใช้ยอบกายคารวะ แล้วรีบออกจากห้องไปอย่างรู้หน้าที่
"ฟูเหริน...เหนื่อยมากหรือไม่?" เสียงฉินอ๋องถามเรียบๆ
แต่ทว่าไป๋หยงสะดุ้งโหยง...เขารีบดึงผ้าแพรสีแดงที่คลุมอยู่ออก แล้วลุกจากเตียงนอนหนานุ่มกว้างใหญ่มาคุกเข่าตรงหน้าฉินอ๋อง
"ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต...ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต..."
กล่าวเสียงเครือพร้อมกับน้อมคำนับหน้าผากจรดพื้น แล้วไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
ฉินอ๋องนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา พลางเอานิ้วแข็งแรงเคาะโต๊ะเป็นจังหวะช้าๆ
ไป๋หยงฟังเสียงนิ้วกระทบโต๊ะ จนประสาทผวาขนพองสยองเกล้า
"ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?"
เสียงเรียบๆ ของฉินอ๋องนั้นน่ากลัวกว่าเสียงตวาดของอำมาตย์ไป๋หลงเป็นร้อยเท่าพันทวี...ไป๋หยงคิดในใจ
"ถ้าเจ้าสารภาพความจริงออกมา ข้าอาจจะพิจารณาไว้ชีวิตเจ้า"
ไป๋หยงปากคอสั่น...ถ้าเขาสารภาพความจริง ท่านอ๋องจะโมโหจนลุกขึ้นชักดาบฟันคอของเขาขาดหรือไม่?
แต่ถ้าไม่สารภาพความจริง...อีกประเดี๋ยวท่านอ๋องสั่งให้เขาเปลื้องผ้า ท่านอ๋องก็รู้ความจริงอยู่ดี!
ไป๋หยงจึงกัดฟันสารภาพความจริง "ข้าน้อยเป็นบุรุษขอรับ"
ดวงตาคมกริบในหน้ากากทองคำหรี่ลง
"เจ้าเป็นบุรุษ?"
"ขอรับ"
"แล้วเจ้าต้องการให้ข้าไว้ชีวิตของเจ้า?"
"ขอรับ"
"เจ้าลุกขึ้นมา และนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา แล้วบอกเหตุผลมาสิว่า เพราะเหตุใดข้าจึงสมควรจะไว้ชีวิตเจ้า"
"ขะ ขอรับ" ไป๋หยงรีบทำตามคำสั่ง แล้วเอ่ยขอความเห็นใจ "ข้าน้อยมีท่านย่าชรา มีมารดาและน้องชายที่ต้องดูแล...หากขาดข้าน้อย พวกเขาจะไร้ที่พึ่งขอรับ"
สายตาคมกริบตวัดมองดวงหน้าละอ่อนด้วยความหมายว่า...น้ำหน้าอย่างเจ้านะรึ จะเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่น เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ!
ไป๋หยงเห็นสายตาดูถูกอย่างชนิดไม่ปิดบังของฉินอ๋องแล้ว อดรู้สึกหายใจไม่ทั่วทัองไม่ได้
แต่ก็ยังฝืนใจ เอ่ยคุณสมบัติของตนเองว่า
"ข้าน้อยเป็นผู้ช่วยพ่อครัวได้ ล้างถ้วยล้างจานได้ ซักผ้าถูบ้านได้..."
"ทำบ่อยหรือ?" ฉินอ๋องเอ่ยแทรกขึ้น
"ขอรับ" ตาคู่สวยฉายประกายแห่งความหวัง
"มิน่า มือเล็กๆ ของเจ้าจึงได้สากนัก" ฉินอ๋องกล่าว "พอจับมือเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่า เจ้ามิใช่ไป๋มู่ตาน"
#####
ชายา ตอน 4
"ข้าน้อยยังปลูกผักได้..." ไป๋หยงยังคงนำเสนอ
"พอ..." ฉินอ๋องหลี่อี้โบกมือห้าม "งานที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมด ข้ามีคนรับใช้คอยทำอยู่แล้ว เจ้ามีประโยชน์อะไรอีก?"
"ข้าน้อย..." ไป๋หยงก้มหน้าลง ขบริมฝีปากครุ่นคิด แล้วเงยหน้าขึ้น "ข้าน้อยนวดได้ขอรับ"
หน้ากากทองคำลวดลายสวยงามของฉินอ๋องนั้นปกปิดเพียงดวงหน้าช่วงบนเท่านั้น มิได้ปิดดวงหน้าช่วงล่าง...ปากได้รูปและคางแข็งแรงจึงปรากฏให้เห็น!
ปากได้รูปยกมุมหนึ่งขึ้น
"อันนี้น่าสนใจอยู่...ไหนลองมานวดข้าดูหน่อยซิ"
หากไป๋หยงเป็นผู้เคยฝึกวรวรยุทธ์ ฉินอ๋องจะมิยอมให้เข้าใกล้เด็ดขาด แต่เพราะว่าเวลาที่ฉินอ๋องกุมมือไป๋หยงนั้น เขาได้ลอบสำรวจเด็กหนุ่มดูแล้ว และรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีพลังวรยุทธ์แม้แต่น้อย
ดวงหน้างดงามอ่อนเยาว์ฉายประกายยินดีทันที...หากฉินอ๋องพอใจฝีมือการนวดของเขา เขาก็มีหวังรอดชีวิตแล้ว!
ไป๋หยงรีบกุลีกุจอมายืนด้านหลังฉินอ๋อง และลงมือนวดไหล่แกร่งอย่างตั้งอกตั้งใจ
"อืมม์..." ฉินอ๋องทำเสียงในลำคอ "พอใช้ได้"
ไป๋หยงยิ้มแก้มแทบปริ "ท่านย่าบอกว่า ข้าน้อยนวดเก่งที่สุด"
ฉินอ๋องนึกหมั่นไส้คนขี้อวด ซ้ำยังเอาเขาไปเปรียบกับหญิงชรา
"มีแรงแค่นี้เองหรือ?"
"หา..." ไป๋หยงอุทาน "ข้าน้อยนวดสุดแรงแล้วนะขอรับ"
"เอาเถอะ...มีแรงแค่นี้ก็แค่นี้"
ไป๋หยงลอบถอนหายใจ แล้วอ้อมๆ แอ้มๆ ขอร้อง "ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยนะขอรับ"
"อืมม์...ได้..."
ไป๋หยงดีใจจนแทบจะโห่ร้องออกมา
แต่...ถ้อยคำต่อมาของฉินอ๋อง
"สามปี"
"หา...สะ สามปี"
"หรืออยากตายเดี๋ยวนี้?"
"ไม่...ขอรับ ขอมีเวลาหายใจอีกสามปีดีกว่าขอรับ"
สามปี...เขายังพอมีเวลาไปจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้กับท่านย่า ท่านแม่และน้องชาย
"ไปนวดต่อบนเตียงนอนกันดีกว่า" ฉินอ๋องกล่าวแล้วลุกขึ้นยืน ถอดชุดชั้นนอกออก เดินนำไปยังเตียง ถอดรองเท้าออกก่อนจะขึ้นไปนอนคว่ำอยู่บนเตียงนอนกว้างใหญ่หนานุ่ม
ไป๋หยงนั้นละล้าละลัง ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะทำอย่างไรดี
"มานวดต่อเร็วเข้า อย่าชักช้า" ฉินอ๋องเร่งเสียงดุๆ
ไป๋หยงจึงจำใจต้องเดินไปที่เตียง ถอดรองเท้าออก แล้วขึ้นเตียงไปนวดร่างแกร่งที่นอนคว่ำอยู่
นวดไปแค่อึดใจเดียว...ฉินอ๋องก็พลิกตัวนอนหงาย แล้วใช้นิ้วมือจี๋เอวไป๋หยง
ไป๋หยงสะดุ้งโหยง หัวเราะคิกคัก
ดวงตาคมกริบเป็นประกายวาววับ มือแข็งแกร่งจับร่างบอบบางให้นอนลง แล้วจัดการจักจี้ จนเด็กหนุ่มดิ้นพล่าน ตึงตังโครมคราม ปากก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ อย่างลืมตัว
"ยอมไหม?"
"ยอมแล้ว...ยอมแล้ว...ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต"
ไป๋หยงดิ้นไป หัวเราะไป อ้อนวอนไป
ฉินอ๋องจักจี้เด็กหนุ่มครู่หนึ่ง ก็หยุดมือ
ไป๋หยงหอบหายใจจนหน้าแดงก่ำ
"เรามาเล่นนับเลขกัน" ฉินอ๋องกล่าว "เจ้าหลับตา ห้ามลืมตาเด็ดขาด นอนนิ่งๆ สบายๆ แล้วนับเลขช้าๆ จากหนึ่งถึงร้อย"
ไป๋หยงทำตาม...นับไปได้แค่ห้าสิบกว่า ก็หลับสนิทเพราะความอ่อนเพลีย เนื่องจากเมื่อคืน แต่งตัวเจ้าสาว เขาก็ไม่ได้นอน วันนี้ทั้งวันต้องเข้าพิธีต่างๆ เขาก็ไม่ได้นอน
ฉินอ๋องเห็นอีกฝ่ายนอนหลับสนิท ก็จัดการดึงปิ่นปักผมและมงกุฎออกอย่างเบามือ เพื่อให้อีกฝ่ายได้นอนสบายๆ...
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น