ฉินกงกงกลับตกตะลึงพรึงเพริด สบมองสองสามีภรรยาอย่างตกใจ โดยเฉพาะหลังได้เห็นซูจิ่งสิงแล้ว กลับยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกกลัว“พวก พวกท่าน” ขาสองข้างเริ่มสั่น เป็นไปได้เยี่ยงไร?ยังดีแต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงใจดีมีเมตตา ก็แค่เอาแต่ใจไปบ้าง เมื่อครู่มิได้ฝืนบังคับ เพียงแต่ล้อมรถม้าของพวกเขาไว้ พูดอวดเบ่งเท่านั้นหาไม่แล้ว บัดนี้ศพของพวกเขาคงเย็นไปแล้ว“ฉินกงกง เหตุใดขาของเจ้าจึงสั่นเล่า?”มู่หรงฉางเล่อเอียงศีรษะ กู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม“บะ บ่าวไม่เป็นไร” ฉินกงกงปาดเหงื่อ สองคนมิได้เป็นฝ่ายเปิดเผยฐานะก่อน เขาเองก็ไม่กล้าพูดเหลวไหลต่อหน้าพวกเขา“เจ้าไปพักก่อนเถอะ พวกเราไปล่ะ”กู้หว่านเยว่กลับมาที่รถม้าของตน ซูจิ่งสิงครุ่นคิด หยิบพู่กันเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ สั่งฉู่เฟิงมอบให้ท่านหญิงฉางเล่อ“บอกท่านหญิงฉางเล่อ จะต้องมอบจดหมายฉบับนี้ถึงมือองค์หญิงใหญ่”ซูจิ่งสิงกำชับ ฉู่เฟิงรีบพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง หยิบจดหมายเร่งจากไปเขากลับไม่กังวลท่านหญิงฉางเล่อจะเปิดอ่านจดหมาย อย่างไรเสียฉินกงกงก็รู้ฐานะของพวกเขา จะต้องห้ามไว้แน่“ท่านพูดอะไรกับองค์หญิงใหญ่หรือ?”กู้หว่านเยว่เห็นสีหน้าเขาเศร้าหมองเล็กน้อย ซู
“สวรรค์คุ้มครอง ยังดีเมื่อครู่พวกเรามิได้ลงมือ หาไม่แล้วบัดนี้ศีรษะคงกลิ้งเกลื่อนพื้นไปแล้ว”“เจ้าพูดว่าเจิ้นเป่ยอ๋อง คือเจิ้นเป่ยอ๋องที่กำหนดเขตแดนทูเจวี๋ยท่านนั้นน่ะหรือ?”มู่หรงฉางเล่อเพียงแค่ไม่ใส่ใจเรื่องในราชสำนัก แต่มิใช่ไม่รู้เรื่องเหล่านั้นเลย โดยเฉพาะซูจิ่งสิงมีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนั้น มากน้อยอย่างไรนางก็ยังเคยได้ยินมาบ้าง“สตรีคนเมื่อครู่ก็คือภรรยาของเขา ข้าก็พูดแล้วพี่หญิงกู้มองดูแล้วไม่คล้ายคนธรรมดา คิดไม่ถึงเลยว่าถึงขั้นมีที่มาที่ไปเช่นนี้”มู่หรงฉางเล่อจึงวางใจลงแล้ว นางเก็บยาฟื้นคืนจิตวิญญาณไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง“ดีเหลือเกิน ท่านแม่มีทางรักษาแล้ว...”ทางฝั่งนี้กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเดินทางไม่หยุดพักมุ่งหน้าไปยังเจดีย์หนิงกู่ ในที่สุดหลังผ่านไปสิบวันก็มาถึงเขตแดนของเจดีย์หนิงกู่ตลอดการเดินทาง เซี่ยเหอยังหน้าหนาตามหลังพวกเขาเดิมทีเฉิงเซวียนคร้านจะสนใจพวกเขา สรุปคือไม่รู้เซี่ยเหอพูดอะไร เขาจึงกลับไปที่รถม้าของพวกเขาอย่างไม่เต็มใจ“ได้ยินว่าเซี่ยเหอตั้งครรภ์แล้ว”ชิงเหลียนเห็นว่าเนี่ยชิงหลานไม่อยู่ เล่าเรื่องซุบซิบนินทาให้กู้หว่านเยว่ฟัง“หญิงคนนี้มี
ม้าเร็วเดินทางถึงเมืองอวี้ตลอดทางล้วนนั่งบนรถม้า ทำให้กู้หว่านเยว่ทรมานเพียงพอแล้ว“ท่านพี่ ครั้งหน้าพวกเรานั่งเฮลิคอปเตอร์เถอะ”สีหน้านางเขียวเหมือนผัก รู้แต่แรกคงหาข้ออ้างหนึ่ง ไม่ร่วมเดินทางพร้อมกับพวกเนี่ยเติ้ง“กลับจวนแล้วก็แช่น้ำดีๆ เถอะ”ซูจิ่งสิงสงสารมาก นวดเอวที่กำลังปวดชาแทนนาง ขณะเดียวกันก็สั่งรถม้าให้หยุดลง“เจ้ากลับจวนก่อน ข้าจะไปศาลาว่าการสักเที่ยว”จากไปนานถึงเพียงนี้ เรื่องต้องใส่ใจมีมากมาย เขาไม่วางใจ“ท่านรีบไปเถอะ”กู้หว่านเยว่มองส่งเขาลงรถม้า ขณะเดียวกันเนี่ยชิงหลานที่อยู่รถม้าทางด้านข้างก็รีบมาหยุดต่อหน้านาง“พี่หญิงกู้ ข้าไม่ขอตามพวกท่านกลับไปแล้ว”ภายในสายตาเนี่ยชิงหลานเปี่ยมความอาลัยอาวรณ์ เนี่ยเติ้งอธิบาย“ข้ายังมีการค้าเครื่องประดับหยกต้องจัดการอีกหนึ่งชุด บังเอิญจะได้ให้นางไปพร้อมข้า”“รอวันพี่หญิงซ่งแต่งงาน ข้าค่อยมาดื่มสุรามงคล”“ได้”กู้หว่านเยว่เองก็ไม่ฝืนบังคับ โบกมือบอกลากลับจวนแล้วสรุปคือหน้าประตูจวนว่างเปล่า ไม่มีคนออกมาต้อนรับแปลกยิ่งนัก อิงตามอุปนิสัยของพวกนางหยาง จะต้องมารออยู่ที่หน้าประตูจวนแน่“ฮูหยิน ท่านกลับมาเสียที”หงเจา
กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “ทั้งหมดราบรื่น ท่านพี่อยู่ที่ศาลาว่าการ เย็นหน่อยค่อยกลับมาเจ้าค่ะ”“ราบรื่นก็พอแล้ว”ซูจิ้งเอ่ยปาก แม้ว่าเสียงแหบพร่าอยู่บ้าง กลับทำให้กู้หว่านเยว่ต้องแปลกใจ เขาสามารถพูดได้แล้วซูจิ้งหัวเราะให้กับสายตาตกตะลึงของลูกสะใภ้“ต้องขอบคุณยาของเจ้า บัดนี้สามารถฝืนพูดได้สองสามประโยคแล้ว”“เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ดีใจแทนซูจิ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ “จ้านจ้านเล่า?”“แม่นมพาไปนอนกลางวันแล้ว”นางหยางพูดยิ้มๆ ช่วงเวลาที่กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจากไป นางวางเรื่องฟาร์มหมูไว้ที่ฝั่งหนึ่งก่อน ทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลจ้านจ้านกู้หว่านเยว่อยากไปกอดลูกชายโดยเร็ว กู้หว่านหรูร้องตะโกนทำลายบรรยากาศ“กู้หว่านเยว่?!”นางรู้สึกบิดเบี้ยวภายในก้นบึ้งของหัวใจ คนผู้นี้ถูกเนรเทศมาที่เจดีย์หนิงกู่แล้ว เหตุใดใช้ชีวิตดีเสียยิ่งกว่านาง?ผิวเนียนนุ่มบอบบางเพียงลมพัดก็แตกได้ ทำให้นางริษยา“บังอาจ”ชิงเหลียนตบปากทีหนึ่ง ทำเสียจนใบหน้ากู้หว่านหรูบวมแดง“ชื่อล้ำค่าของพระชายาพวกเราเจ้าสามารถเรียกได้หรือ เจ้าเป็นใครกัน?”นางรู้ตั้งแต่แรกว่าจวนกู้โหวปฏิบัติไม่ดีต่อฮูหยิน จึงตั้งใจแก้แค้นแทนฮูหยินก
“ที่แท้ก็ตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว ข้ายังคิดว่าเป็นญาติของพวกเราเสียอีก”นางหยางเยาะหยันออกมาอย่างอดไม่ได้ นางสงสารกู้หว่านเยว่ คนกลุ่มนี้ทำกับกู้หว่านเยว่เช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องได้รับกรรม“มิใช่หรือ ตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้วยังมีหน้ามาขอเงินถึงที่จวนโหวผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ ไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง”ซูจื่อชิงบังเอิญพาเมี่ยชิงหว่านเดินผ่านประตูเข้ามาจากภายนอกพอดี นี่จึงเยาะหยันพวกเขาผู้อาวุโสสูงสุดหน้าแดงไปถึงหู เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้“ตัดขาดความสัมพันธ์อะไรกัน หว่านหรูนี่เรื่องอะไร?”กู้หว่านหรูหน้าบวมแดง กระซิบอธิบาย “ก่อนหน้านี้เจิ้นเป่ยอ๋องถูกเนรเทศ ท่านพ่อและกู้หว่านเยว่ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้ว”นางรีบอธิบาย“ท่านพ่อทำเช่นนี้ ก็เพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของพวกเราตระกูลกู้ตอนนั้นโทษของเจิ้นเป่ยอ๋องคือสมคบคิดศัตรูขายบ้านเมือง หากทำให้พวกเราเดือดร้อน ทั้งตระกูลกู้ก็จะพลอยลำบากไปด้วย เขาเองก็จนใจที่ต้องทำเช่นนี้เจ้าค่ะ”สีหน้าผู้อาวุโสสูงสุดดีขึ้นไม่น้อย “เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด”สกุลกู้ทั้งหมดมีหลายร้อยคน ไม่สามารถปล่อยให้ทุกคนเดือดร้อนเพราะกู้หว่านเยว่คนเดียวไ
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านหรูโมโหถลันขึ้นมาจะทำร้ายนาง กลับถูกซูจิ่งสิงเตะกระเด็นออกไป“เด็กๆ โยนพวกเขาออกไป”เขาไม่รักหยกถนอมบุปผาองครักษ์เข้ามาอย่างว่องไว จับคนทั้งสามไว้ หามออกไปภายนอก ผู้อาวุโสสูงสุดอายุมากแล้ว ยังถูกหามไว้บนบ่า หน้าตาศักดิ์ศรีล้วนหมดไปจนสิ้นสองสามคนร้องตะโกนด่าทออย่างอดไม่ได้“กู้หว่านเยว่ เจ้าไม่สามารถทำกับพวกเราเช่นนี้ได้ พวกเราดีชั่วอย่างไรก็เป็นบ้านมารดาของเจ้า”“อย่าคิดว่าตอนนี้ท่านอ๋องปกป้องเจ้า สตรีไม่มีบ้านมารดา รอเจ้าถูกรังเกียจ เจ้าก็ไม่นับเป็นอะไรอีก!”สีหน้าซูจิ่งสิงดำทึบทึม ถึงขั้นทำเช่นนี้ต่อหน้าเขา?“โยนออกไป โยนออกไปยิ่งไกลยิ่งดี”เขาออกคำสั่ง องครักษ์ลงมือว่องไวมากยิ่งขึ้นซูจิ่งสิงกลัวคำพูดของพวกเขาจะเข้ามาอยู่ภายในใจกู้หว่านเยว่ หันหลังกลับไปรับปากอย่างน้อยใจ“น้องหญิง เจ้าวางใจ ชาตินี้ข้าไม่มีวันรังเกียจเจ้า”“ใช่แล้ว” นางหยางรีบจับมือกู้หว่านเยว่ ผินมองซูจิ่งสิงแวบหนึ่ง“หว่านเยว่ หากเขาทำไม่ดีต่อเจ้า พวกเราทั้งครอบครัวไม่มีวันปล่อยเขาไป”“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะยืนอยู่ฝั่งท่านแน่”ซูจื่อชิงเองก็รีบพูด ซูจิ้งมีสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม
เมื่อคำนวณจากเวลา ท่านอ๋องหกน่าจะพักอยู่ที่เจดีย์หนิงกู่สักระยะหนึ่งแล้ว“ให้พวกเขารอข้าที่ห้องหนังสือ”กู้หว่านเยว่วางจ้านจ้านลง แล้วหอมแก้มของเขาต่อไปไปห้องหนังสือพร้อมซูจิ่งสิง ขณะนี้ท่านอ๋องหกมู่หรงฝูกำลังรออย่างร้อนใจหลังจากได้เห็นกู้หว่านเยว่ มู่หรงฝูจึงโล่งอก“ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดเจ้าก็มาสักที”กู้หว่านเยว่นำโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง “นี่คือยาถอนพิษของยาพิษที่เจ้ากินเข้าไป”มู่หรงฝูรีบรับยาถอนพิษมาทันที แล้วกินเข้าไป จึงได้โล่งอก“โชคดีที่ผู้อาวุโสหมอปีศาจใช้ยาไปหลายครั้ง จึงคุมพิษตัวนี้เอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของข้าน้อยคงรักษาไว้ไม่ได้”เขายิ้มเจื่อน กู้หว่านเยว่รู้สึกกระอักกระอ่วน จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา“ร่างกายของไท่เฟยเป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อเอ่ยถึงไท่เฟย ใบหน้าของมู่หรงฝูยิ้มแย้มกว่าเดิม“หลังท่านแม่กินยาถอนพิษของผลต้นเกล็ดหิมะ พิษในร่างกายหายไปจนหมด ตอนนี้เหมือนคนธรรมดาทั่วไป”สีหน้าเขาตื้นตัน “ข้าน้อยขอให้หมอปีศาจบำรุงร่างกายนางสักระยะ สุขภาพจึงแข็งแรงกว่าเมื่อก่อน อยู่ต่ออีกสักสิบหรือยี่สิบปีก็ไม่น่าจะมีปัญหา”“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”กู้หว่านเยว่รู้สึกโล่
“ขอบคุณมาก พวกเราจะจำข่าวนี้ไว้”ถ่านหินหรือ พวกนางต้องการมากจริงๆกู้หว่านเยว่เองก็ไม่อิดออด นำกระดาษกับพู่กันออกมาให้มู่หรงฝูเขียนข้อมูลที่แน่ชัดของถ่านหินออกมาทันที“งั้นข้าไปก่อนนะ”หลังจากมู่หรงฝูเขียนเสร็จ ก็วางพู่กันลงแล้วจากไปอย่างรู้ตัว“ของสิ่งนี้จะตกอยู่ในมือราชวงศ์ไม่ได้”กู้หว่านเยว่ยื่นกระดาษให้ซูจิ่งสิง ซูจิ่งสิงพยักหน้า“น้องหญิงวางใจเถอะ ข้าจะให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้”เขาจากไปอย่างรวดเร็ว กู้หว่านเยว่กลับรีบออกไปตรวจตราร้านดอกท้อกับบ้านสวนหลังจากแน่ใจว่าทุกอย่างไม่มีสิ่งใดผิดปกติ นางจึงกลับไปในมิติ แล้วจัดเตรียมของขวัญแต่งงานให้ซ่งเสวี่ยต่อไปตอนอาหารเย็น ซ่งเสวี่ยพานานนานมาเยี่ยมนาง โจวเซิงเองก็ตามมาด้วยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ใบหน้าเขามีความสง่าองอาจเพิ่มขึ้น“ท่านอ๋องล่ะ?”โจวเซิงมองดูหนึ่งรอบ ไม่เห็นซูจิ่งสิงจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังจากเขาไม่ดวงซวยอีกแล้ว คิดจะช่วยซูจิ่งสิงทำอะไรบ้าง“ออกไปแล้ว พรุ่งนี้เจ้าค่อยมาหาเขา”กู้หว่านเยว่ยื่นมือมาอุ้มนานนานไป พร้อมหอมแก้มนาง“แม่บุญธรรม! แม่บุญธรรมสวย!” เสียงอ้อแอ้ของนานนานหวานใส มุมปากมีลักยิ้มน้อยหนึ่
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้