หลี่เหมียนหยางคิดว่า หากนางเรียนบทเพลงควบคุมสัตว์ร้ายจนเป็น ก็สามารถโอ้อวดต่อหน้าสหายร่วมสำนักได้ คิดแล้วก็ตื่นเต้นใบหน้านางเปี่ยมความหวัง หลี่เหมียนจงรีบดึงนางไว้ กระซิบตำหนิเสียงแผ่ว“น้องหญิง อย่าเหลวไหล!”เคล็ดลับของตระกูลเช่นนี้ ปกติแล้วไม่เผยแพร่สู่ภายนอก“ขออภัยหมอเทวดากู้ น้องหญิงข้าปากไม่มีหูรูด ล่วงเกินไปแล้ว ได้โปรดอภัยด้วย”เขาเหลือบมองซูจิ่งสิงอย่างระมัดระวัง กลัวท่านอ๋องโมโห เอาผิดสำนักเทียนจีของพวกเขา“วางใจได้ ข้าไม่เก็บมาใส่ใจ”กู้หว่านเยว่หัวเราะพลางโบกมือ หลี่เหมียนจงถึงถอนหายใจโล่งอกเฮือกหนึ่ง พาทั้งสองคนมาส่งห้องรับแขกอย่างเคารพนบนอบ“ทั้งสองท่านมีเรื่องใดต้องสั่ง สามารถบอกบ่าวได้ สำนักเทียนจีของพวกเราจะทำให้พึงพอใจอย่างแน่นอน”มิหนำซ้ำยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของทั้งคู่ ครั้งนี้ไป๋หลี่ชิงซีสามารถปราบผู้อาวุโสรองได้ ต้องขอบคุณทั้งสองคนที่ลงแรงช่วยเหลือพูดอย่างมิได้โอ้อวด ทั้งสองคนคือผู้มีคุณูปการของสำนักเทียนจี!“ข้าไม่มีคำขอพิเศษอะไร แต่หากมี จะต้องบอกเจ้าทันทีแน่”กู้หว่านเยว่เดินเข้าห้อง เพิ่งเป่าบทเพลงนานถึงเพียงนั้น นางรีบดื่มน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งถ้
เดิมทีสองสามีภรรยาวางแผนรอปีหน้าเดือนสาม ค่อยใช้ประโยชน์จากนกพิราบขาวของไป๋โม่อวี่ ไปตามหาเหยลวี่เจิงที่ชายแดนขณะเดียวกัน ทั้งสองคนไม่รู้จะทำลายแผนดีหรือไม่“ข้าจะลองหาดูว่ายังมีเบาะแสอื่นอีกหรือไม่”ซูจิ่งสิงพลิกหาภายในกองหนังสือ กู้หว่านเยว่กลับฉวยโอกาสนี้ วางสมบัติเหล่านั้นที่ริบมาได้ลงบนแพลตฟอร์มซื้อขายน่าเสียดายก็คือ รอจนกระทั่งกู้หว่านเยว่วางของทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่งสิงก็ไม่พบเบาะแสอื่นอีกดูท่าแล้ว จดหมายฉบับอื่นถูกผู้อาวุโสรองเผาทำลายไปแล้ว เหลือเพียงฉบับล่าสุดเท่านั้นซูจิ่งสิงเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้อย่างดี ทั้งสองคนออกจากมิติพร้อมกัน“ข้าส่งข่าวหนึ่งให้เมืองอวี้”ซูจิ่งสิงเรียกนกพิราบสื่อสารมา เขียนจดหมายหนึ่งฉบับส่งกลับไปสองวันมานี้ไป๋หลี่ชิงซีงานยุ่งมาก ไม่มีเวลามาพบพวกเขา กู้หว่านเยว่จึงจัดการภายในมิติฟาร์มปศุสัตว์มีทั้งฝูงวัวและแกะ ฟาร์มผักและผลไม้เองก็สุกงอมแล้ว ยังมีแปลงสมุนไพรมีสมุนไพรชุดใหญ่ต้องจัดการกู้หว่านเยว่ควบคุมระบบส่วนกลาง ฆ่าวัวแกะล้างจนสะอาดเรียบร้อยแล้วเก็บเข้าห้องเย็นผลไม้ถูกเด็ดลงมา วางไว้ภายในคลังรักษาความสดยังดีของภายในมิติล้วนไม่เ
ซูจิ่งสิงมองเด็กคนนี้อย่างเอือมระอาแวบหนึ่ง เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไป๋หลี่ชิงซีมีจิตปฏิพัทธ์ต่อกู้หว่านเยว่“น้องหญิง ข้าไปรอเจ้าข้างนอก”เขาหึงก็หึงจริง แต่ภายในใจกลับเชื่อใจกู้หว่านเยว่ชั่วนิรันดร์ อีกทั้งยังไม่คิดขัดขวางการติดต่อสื่อสารเป็นปกติของนางจุมพิตอย่างอ่อนโยนบนหน้าผากกู้หว่านเยว่ทีหนึ่ง ซูจิ่งสิงออกนอกประตูไปอย่างว่องไว“ท่านจะพูดอะไรกับข้าหรือ?”กู้หว่านเยว่เผยสีหน้าแปลกใจไป๋หลี่ชิงซีหยิบป้ายอาญาสิทธิ์อันหนึ่งออกมา ยื่นให้กู้หว่านเยว่“หมอเทวดากู้ นี่คือป้ายอาญาสิทธิกิตติมศักดิ์ของสำนักเทียนจี ขอมอบให้ท่าน”ดวงตาเขาทอประกาย“ภายภาคหน้าหากท่านต้องการอะไร ขอเพียงนำป้ายนี้ออกมา ศิษย์ของสำนักเทียนจีจะช่วยท่าน”“ท่านหมายความว่า?”กู้หว่านเยว่รู้สึกเชื่องช้าอยู่บ้าง บัดนี้ถึงมองความรู้สึกของอีกฝ่ายออก อึ้งงันอยู่กับที่ในทันใด“ชีวิตของข้าเป็นท่านช่วยไว้ ดังนั้น ข้ายินดีติดตามท่านโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด”ไป๋หลี่ชิงซีสบมองนาง ทันใดนั้นยื่นมือออกมากล่าวคำสาบาน ทุกถ้อยวาจาดังก้องอยู่ภายในใจของกู้หว่านเยว่“หว่านเยว่ ภายภาคหน้าหากท่านต้องการ ข้าไม่มีวันปฏิเสธท่าน”“คุณช
ซูจิ้งเองก็ยืนถือน้ำแกงอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง “จื่อชิงพูดถูกต้อง ยังหาลูกไม่พบ เจ้าจะทำให้ร่างกายตนเองแย่ลงไม่ได้”เขาบิดาคนนี้ไฉนเลยจะไม่กังวล ใต้ตาดำคล้ำเป็นปื้น“ข้ากินไม่ลงแล้ว” นางหยางส่ายหน้าซูจื่อชิงยังอยากเกลี้ยกล่อมต่อ หางตามองเห็นเงาคนเดินผ่านเข้าประตูมาจากภายนอก ดวงตาเปล่งประกาย“พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่กลับมาแล้ว!”เขารีบวางชามลง “ดีเหลือเกิน พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่พวกท่านกลับมาเสียที”“ท่านแม่ เหตุใดสีหน้าท่านอิดโรยถึงเพียงนี้?”เพียงกู้หว่านเยว่เข้ามา ก็ได้เห็นสีหน้าอิดโรยจนน่ากลัวของนางหยาง รีบจับชีพจรนาง“ท่านนี่คือขาดสารอาหาร”หางตามองเห็นอาหารที่ยังไม่ถูกแตะในมือของซูจื่อชิง ก็รู้ว่าสองวันนี้นางหยางจะต้องกังวลจนกินอะไรไม่ลงแน่“หว่านเยว่ ข้าเป็นห่วงจิ่นเอ๋อร์!” นางหยางจับมือนางน้ำตารินไหล กู้หว่านเยว่รีบปลอบ“ท่านแม่ อย่ากังวลไปเลย พวกเรากลับมาแล้ว”“ตกลงเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ซูจิ่งสิงถามเสียงเครียดซูจื่อชิงรีบอธิบาย “พี่ใหญ่ อิงตามที่ข้ารู้ น้องหญิงน่าจะไม่ได้ถูกคนลักพาตัวไปหลังนางจากไปแล้ว ข้าส่งคนไปตรวจสอบหนึ่งรอบ พบว่าก่อนนางจากไปยังตั้งใจซื้อรถม้าสองคัน ยิ่ง
ซูจื่อชิงสบถด่าเสียงเบาหนึ่งประโยค ซูจิ่นเอ๋อร์วู่วามเกินไปแล้ว“ดูท่าแล้วน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีประโยชน์ต่ออาการป่วยของฟู่หลานเหิง”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด เดิมทีนางคิดว่าน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์สามารถบรรเทาอาการป่วยของฟู่หลานเหิงได้ ดูท่าแล้วนางคิดผิดไปอิงตามข้อสันนิษฐานนี้ จะต้องเป็นเพราะอาการป่วยของฟู่หลานเหิงกำเริบหนักขึ้น ซูจิ่นเอ๋อร์ถึงพาเขาไปตามหายา“จากนี้ไปจะทำเช่นไร?”นางหยางร้อนใจน้ำตาไหล “จิ่นเอ๋อร์แม่นางในห้องหอคนหนึ่ง ทำอะไรก็ไม่เป็นนางหนีไปทูเจวี๋ย หากถูกคนทูเจวี๋ยพบเข้า คนทูเจวี๋ยดุร้ายถึงเพียงนั้น ฆ่านางตายจะทำเช่นไร”“ฮูหยิน เจ้าอย่ากังวล”ซูจิ้งลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน “ข้าจะขี่ม้าไปขวางพวกเขาไว้เดี๋ยวนี้เลย พวกเขาจากไปได้ไม่นาน ข้าออกเดินทางตอนนี้จะต้องตามทันแน่”พูดไปก็คิดจะเดินออกไปภายนอก กลับถูกซูจิ่งสิงขวางไว้แล้ว“ท่านพ่อ ท่านอย่าไป ข้าไปเอง!”“ข้าเองก็จะไปกับท่าน”กู้หว่านเยว่จับมือซูจิ่งสิง ส่งสายตาให้เขาวางใจ“หว่านเยว่ พวกเจ้า...” นางหยางรู้สึกผิดภายในใจ จิ่นเอ๋อร์ทำบาป กลับต้องให้ทั้งสองคนชดใช้“พี่ใหญ่ ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย” ซูจื่อชิงรีบพูด เขาไม
“จำได้แน่นอน” กู้หว่านเยว่ลูบกระเป๋า เดาะลิ้น ภายในมิตินางมีป้ายอาญาสิทธิ์หลายอันเชียวล่ะ“อันที่จริงทูเจวี๋ยก็มีคนของสกุลอวิ๋นเราอยู่ หากท่านไปถึงทูเจวี๋ยแล้วเผชิญหน้ากับอันตราย สามารถไปหลบภัยที่ร้านของสกุลอวิ๋นได้” อวิ๋นมู่บอกนางอย่างไม่ปกปิด“ได้” กู้หว่านเยว่พยักหน้า ยังไม่รู้ว่าภายภาคหน้าร้านสกุลอวิ๋นจะช่วยนางได้มากทีเดียวหลังบอกลาอวิ๋นมู่แล้ว บ่ายวันนั้น ขบวนคนก็เดินทางออกจากเมืองอวี้ มุ่งหน้าสู่ชายแดน“ไปชายแดนครั้งนี้ต้องใช้เวลานับสิบวันถึงครึ่งเดือน ระหว่างทางพวกเราจะต้องตั้งสติให้ดี”เกาเจี้ยนทำหน้าที่นำทาง เขามิได้สนใจซวนลู่ในรถม้ามากนัก คล้ายปล่อยวางจากนางได้แล้ว“บาดแผลท่านไม่เป็นไรแล้วกระมัง?” ลั่วยางเข้าไปหยุดข้างกายเกาเจี้ยน เอ่ยถามอย่างกังวลอย่างไรเสียก็ขี่ม้า นางกังวลบาดแผลของเกาเจี้ยนจะปริออก“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?” ซูจิ่งสิงมองทางเก้าเจี้ยน บาดแผลที่อกของอีกฝ่ายน่าจะหายดีตั้งนานแล้ว“ตอนไปเก็บยาไม่ทันระวังลื่นล้มลงไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เกาเจี้ยนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจทำเสียจนลั่วยางบ่นงึมงำ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกันเล่า? ผาสูงถึงเพียงนั้นท่านก็กล้าขึ้นไป กลั
ลั่วยางเก็บวัชพืชกับพวกกิ่งไม้แห้งกลับมา แล้วก่อไฟขึ้นซูจิ่งสิงกับเกาเจี้ยนก็ล่าสัตว์กลับมาจากในป่าแล้วเช่นกัน ในมือทั้งสองมีไก่ป่ากับกระต่ายที่ถอนขนเสร็จแล้วคนละสองตัวกู้หว่านเยว่ไปหาผักป่ามาจากบริเวณโดยรอบเล็กน้อย ใช้ข้าวสารบนรถม้ามาหุงเป็นข้าวผักป่า แล้วนำไก่ป่ากระต่ายป่ามาย่างไฟหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนทั้งกลุ่มอิ่มหนำสำราญเนื่องจากทุกคนเร่งเดินทางหามรุ่งหามค่ำมาหลายวัน กู้หว่านเยว่งจึงมีข้อเสนอ คืนนี้พักผ่อนกันในกระโจมหนึ่งคืน ให้คนและม้าได้พักผ่อน รอพรุ่งนี้ฟ้าสางค่อยเดินทางกันต่อ“ก็ดี ข้าดูแผ่นที่ไปรอบหนึ่ง พวกเราเดินทางไปหนึ่งในสามแล้ว อีกสิบกว่าวันก็น่าจะถึงชายแดนแล้ว”เกาเจี้ยนเก็บแผนที่กลับมา เจดีย์หนิงกู่ห่างจากชายแดนอย่างน้อยหนึ่งพันห้าร้อยกว่าลี้ หรืออีกอย่างคือยังเหลืออีกหนึ่งพันลี้ หนทางยังอีกยาวไกล“พี่หว่านเยว่ ข้าขอไปพักผ่อนก่อนนะ”ลั่วยางหาววอด เร่งเดินทางมาหลายวันทำให้นางเหนื่อยล้า พอมืดค่ำก็อยากรีบมุดเข้ากระโจมไปพักผ่อนเกาเจี้ยนเจ้าคนแล้งน้ำใจ เสียงกรนดังไปทั่วทั้งค่ายนานแล้ว“ท่านพี่ ท่านยังเป็นห่วงจิ่นเอ๋อร์หรือ?”ซูจิ่งสิงมองดูดวงดาวที่พร่า
ต่อมาปลายกระบี่กระดก งูถูกโยนออกไป“ไม่เป็นไรแล้ว” เกาเจี้ยนปลอบ ซวนลู่รีบดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ทันที “เกาเจี้ยน ข้า ข้ากลัว...”ไม่ง่ายกว่านางจะเผยแววตาอ่อนแอ หากเป็นก่อนหน้านี้ เกาเจี้ยนไม่รู้จะสงสารมากขนาดไหนแต่ยามนี้ เขากลับหันมองลั่วยาง หางตาเหลือบเห็นลั่วยางทำเสียง เชอะ ก่อนเดินจากไป เขาจึงปลอบใจอย่างขอไปที“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีงูแล้ว”จากนั้นก้าวขาออกไปตามลั่วยางอย่างลืมตัว“เกาเจี้ยน!”ซวนลู่ไม่อยากจะเชื่อ นางไม่เข้าใจ เกาเจี้ยนที่เคยดูแลนางอย่างระมัดระวัง จะปล่อยนางไปแล้วไปตามหญิงอื่น“ปิดหน้าต่างรถม้าให้ดี ก็จะไม่มีงูเข้ามาแล้ว”กู้หว่านเยว่พูดอย่างมีนัยซวนลู่ไม่ใช่คุณหนูที่เก็บตัวอยู่แต่ในเหย้าในเรือน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางป่าดงพงไพร มักมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอปรากฏตัว ยังโง่จนเปิดหน้าต่างไว้ระบายอากาศหรือจงใจนะสิ!“คนเราเนี่ยนะ เมื่อก่อนกินของในถ้วยแต่อยากได้ของในหม้อในเมื่อทิ้งถ้วยไปแล้ว ยังไม่อนุญาตให้คนที่ชื่นชมถ้วยใบนั้นปรากฏตัว จำเป็นด้วยหรือ?”คำพูดราบเรียบของกู้หว่านเยว่ เหน็บแนมจนซวนลู่โมโหจนหน้าแดงไปถึงใบหูยังไม่ทันได้พูดสิ่งใด ก
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป