“ชายหญิงคู่นั้นมีวิทยายุทธ์หรือไม่ หน้าตาเป็นอย่างไร?”“ฝ่ายชายดูอ่อนแอมาก ไอแคก ๆ ไม่หยุด ฝ่ายหญิงดูมีอายุประมาณสิบห้าปี หน้าตาร่าเริง คอยาวมาก”ดวงตาของเหิงเทียนอวี้เป็นประกาย“อ้อ ใช่แล้ว ข้าดูเหมือนจะได้ยินชายผู้นั้นเรียกนางว่านังหนูจิ่น”นังหนูจิ่น! จิ่นเอ๋อร์!แม้ว่าสีหน้าของกู้หว่านเยว่จะยังไร้อารมณ์ใด ๆ แต่ในใจลึก ๆ กลับตื่นเต้นเป็นที่สุดได้มาโดยไม่เสียแรงใด ๆ ไม่นึกว่าพวกเขาจะได้ข่าวของซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงในเมืองน้ำแข็งนิลแม้ว่าจะไม่สามารถระบุตัวตนของชายผมขาวได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำร้ายซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิง คงไม่ใช่คนเลวอะไร“ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?”กู้หว่านเยว่รีบถาม แววตาของเหิงเทียนอวี้วิบวับเล็กน้อย ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล“ดูเหมือนฮูหยินจะสนใจพวกเขาเป็นพิเศษ?”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจอย่างเย็นชา“ฟังจากคำอธิบายของท่าน เด็กชายวิทยายุทธ์แก่กล้าของพวกเขาเข้ามาในภูเขาน้ำแข็งนิล จะไม่แย่งชิงดอกน้ำแข็งนิลกับข้า”นางแสร้งทำเป็นว่ามีแววโหดร้ายแวบขึ้นในดวงตา“แทนที่เมื่อถึงเวลานั้น ทั้งสองฝ่ายจะต้องแย่งชิงกัน สู้จัดการพวกเขาในเ
“ดูจากท่าทาง มีความเป็นไปได้สูงมาก”ซูจิ่งสิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไปยั่วยุให้เกิดปัญหาใหญ่อีกครั้งแล้วแต่ต่อให้ทั้งสองมาอีกครั้ง ซัดปากเน่า ๆ ของเหิงสุยสุ่ยนั่น ทั้งสองก็ไม่ยอมปล่อยนางไป“ตามหาดอกน้ำแข็งนิลเป็นเรื่องสำคัญ อย่าสร้างปัญหาอื่นซ้ำอีก พวกเราออกไปทางประตูหลังกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ขยิบตาให้ซูจิ่งสิง สองสามีภรรยาเข้าใจกันโดยปริยาย รีบหอบสัมภาระขึ้นมา มาถึงสนามหลังบ้านเพื่อปลดเชือกให้ม้ากระต่ายแดงวางแผนที่จะวิ่งตะบึงออกไปด้วยกันทางประตูหลังผลปรากฏว่า คนของสำนักวั่นจงมีความระแวดระวัง คาดเดาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้วว่าพวกเขาต้องหนี จึงซุ่มโจมตีอยู่ที่สนามหลังบ้าน“พวกเจ้าสองวายร้าย ทำร้ายหลานสาวของข้าแล้วคิดจะหนีไป ฝันไปเถอะ!”หลังจากสิ้นเสียงตะโกนดังสนั่นหู กู้หว่านเยว่ก็หันหน้าไป เห็นเพียงชายวัยกลางคนที่มีร่างกายแข็งแรงมากคนหนึ่ง แขนขาบึกบึนแข็งแรง กล้ามเนื้อนูนออกมา ควงค้อนขนาดใหญ่ในมือทุบเข้าใส่พวกเขา“บัดซบ!”ความตกตะลึงแวบขึ้นในดวงตาของกู้หว่านเยว่อะไรกันเนี่ย?!ถ้าถูกค้อนด้ามใหญ่นี้ฟาดเอาล่ะก็ มันสมองคงถูกทุบไหลออกมาทันใดเล
“อาสาม ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า ฆ่าพวกเขาซะ”เมื่อสายตาของเหิงหู่จับจ้องไปที่ใบหน้าของเหิงสุยสุ่ย ความรู้สึกอ่อนโยนแบบพ่อผู้มีเมตตาก็ปรากฏขึ้น“สุยสุ่ยเจ้าไม่ต้องกังวล ใครกล้ารังแกเจ้า อาสามจะสั่งสอนบทเรียนให้เขาเอง”จะเห็นได้ว่าชายวัยกลางคนรักเหิงสุยสุ่ยมาก“ข้ารู้ว่าอาสามรักข้ามากที่สุด”ตั้งแต่เด็กจนโตก็เป็นเช่นนี้เสมอ ไม่ว่านางจะได้รับความคับข้องใจเรื่องอะไร อาสามจะลุกขึ้นมาก่อนเสมอปฏิบัติต่อนาง ดีกว่าลูกสาวแท้ ๆ เสียอีก“สุยสุ่ยเจ้าได้รับบาดเจ็บ ขี่ช้า ๆ หน่อย มอบหมายพวกเขาทั้งสองให้เป็นหน้าที่ของอาสาม เจ้าวางใจได้ อาสามจะเด็ดหัวของพวกเขากลับมาให้เจ้าเตะเล่นแน่นอน”“ขอบคุณเจ้าค่ะ อาสาม”เหิงสุยสุ่ยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เคลื่อนไหวช้าลงตามคาดลูกเตะของกู้หว่านเยว่บนตัวนางไม่ได้เบาเลย ตอนนี้หน้าอกของนางยังรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”เหิงหู่หนีบท้องม้า แล้วไล่ตามไปเจ้าหมอนี่เต็มไปด้วยพละกำลังอันป่าเถื่อน ควบม้าด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ ค้อนด้ามใหญ่เฉียดหนังศีรษะของกู้หว่านเยว่อยู่หลายครั้ง“ชายสูงใหญ่ผู้นี้จัดการยากจริง ๆ”กู้หว่านเยว่กดหน้าผากที่ปวดไว้ ไล่ต
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!”เหิงหู่ระเบิดเสียงดังลั่น กู้หว่านเยว่ถึงขั้นไม่กลัวเขา ยังหาญกล้า “ปรึกษา” กับเขาอีกด้วยอย่างนั้นหรือ?“หาญกล้าทำร้ายหลานสาวของข้า พวกเจ้าจะได้เห็นดีกันแน่!”เหิงหู่เหยียบหลังม้า กระโดดขึ้นกลางอากาศ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เหวี่ยงค้อนทุบลงมาทางกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกู้หว่านเยว่พูดไม่ออก เดิมทีนางอยากปรึกษาเหิงหู่ดีๆ สรุปคือเขากลับไม่รับน้ำใจอย่างนั้นหรือ?เช่นนั้นก็ได้ ดูว่ากำปั้นใครแข็งกว่ากันเถอะ!กู้หว่านเยว่เบี่ยงตัวหลบ ดึงหน้าไม้ออกมา เล็งไปทางเหิงหู่“น้องหญิง อย่าเพิ่งยิงเลย”ซูจิ่งสิงเอ่ยเตือน เห็นชัดว่าเขารับรู้ได้ว่ามีคนลอบสอดแนมพวกเขาในที่ลับเพียงแต่น่าเสียดายที่บัดนี้ พวกเขาต้องรับมือกับศึกของเหิงหู่ก่อน ไม่มีเวลาหาตัวคนผู้นั้นออกมา“ได้”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางเองก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาหลายสายกำลังลอบจับจ้องนางอยู่ซูจิ่งสิงชักกระบี่อาทิตย์คำรามออกมา ต้านค้อนของเหิงหู่“ไอ้เด็กนี่!”ดวงตาเหิงหู่สะท้อนแววตกตะลึง ค้อนใหญ่ของเขานี้หนักนับพันชั่ง ภายในนั้นยังเจือกำลังภายในมหาศาลของเขาอีกด้วย ชายหนุ่มคนนี้ถึงขั้นรับไว้ได้“ตกลงเจ้าเป็นใครกั
สิ่งที่ทั้งสองคนไม่รู้ก็คือ บัดนี้มีกองกำลังหนึ่งกำลังซ่อนตัวในที่ลับ หลังพวกเขาจากไปแล้ว ก็ขวางเหิงหู่ไว้ธนูเย็นสายหนึ่งถูกปล่อยออกไป“เจ้า เจ้าถึงขั้น...”เหิงหู่มองใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า ล้มลงกับพื้นอย่างเหลือจะเชื่อ พริบตาเดียวก็ถูกเอาชีวิตไปแล้วทางฝั่งนี้ กู้หว่านเหยว่และซูจิ่งสิงอิงตามทิศทางที่ระบบมอบให้ ในที่สุดก็เร่งเดินทางฝ่าความมืดเข้ามาภายในหุบเขา“อิงตามการแสดงผลของระบบ ดอกน้ำแข็งนิลอยู่ข้างหน้าแล้ว”สายตากู้หว่านเยว่ทอดมองหุบเขาทางด้านหน้า ทั้งสองคนถึงขั้นได้พบอย่างประหลาดใจ บัดนี้นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีคนอื่นเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าหุบเขา“ดูท่าแล้วนอกจากพวกเรา ยังมีคนมีวิธีล่วงรู้เบาะแสของดอกน้ำแข็งนิล”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้น แปลกใจอยู่บ้าง“ระบบ บัดนี้ดอกน้ำแข็งนิลเป็นเช่นไร?”“ดอกน้ำแข็งนิลหยุดเคลื่อนไหวแล้ว อยู่ภายในหุบเขาทว่าที่นี่พายุหิมะแรงมาก ข้าทำได้เพียงค้นหาตำแหน่งคร่าวๆ ออกมาได้แห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้ภาพรวม”ระบบเสียใจ มันไม่สามารถทำได้ทุกอย่างกู้หว่านเยว่ส่ายหน้า ไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ในมิติข้ามีสัตว์น้ำแข็งนิลที่นำมาจากตลาดมืดอินซาน เจ้าเพียงช่วยข้า
“ที่นี่มีหมอหรือไม่?”ขณะกู้หว่านเยว่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ถูกชายหนุ่มคนนั้นเรียกความสนใจไปอีกครั้ง“มีหมอจิตใจดีมาช่วยพ่อข้าหรือไม่?”สองสามีภรรยาหันมองต้นเสียง ได้เห็นคนและม้ากลุ่มหนึ่ง อยู่ทางซ้ายด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกลคนและม้ากลุ่มนี้กลับฉลาดมาก กางกระโจมเหมือนกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นกระโจมยังแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก คล้ายกระโจมของชนเผ่าเร่ร่อนบนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มคนนั้นกำลังกอดใบหน้าของบิดาด้วยสีหน้าร้อนใจ กลุ่มคนข้างหลังมีมากมาย ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นบ่าวของพวกเขา“ชายหนุ่มคนนี้มีฐานะไม่ธรรมดา น่าจะเป็นคุณชายมาจากที่ใดสักแห่ง”กู้หว่านเยว่สนใจ มองเสื้อผ้าที่ชายหนุ่มสวมใส่ นั่นแพงมากนักซูจิ่งสิงกลับใคร่ครวญครู่หนึ่ง จับจ้องกระบี่คู่กายข้างเอวของชายหนุ่ม“น้องหญิง พวกเราไปดูกันเถอะ”จู่ๆ เขาก็พูดหนึ่งประโยคอย่างกะทันหัน ยกเท้าเดินเข้าไปทางนั้นกู้หว่านเยว่ชะงักเบาๆนึกได้ว่าสามีของตนไม่มีอุปนิสัยหาเรื่องใส่ตัว ถึงขั้นเดินเข้าไป จะต้องมีเหตุผลของเขาแน่ จึงไม่ถามมากนัก รีบไล่ตามไปทั้งสองคนยืนห่างออกไปสิบก้าว สีหน้าซูจิ่งสิงเข้มขึ้นเล็กน้อย“น้องหญิง
“ท่านหมอ ท่านจะต้องช่วยสามีข้านะ”กู้หว่านเยว่ครุ่นคิด “ฮูหยินวางใจ ข้าจะพยายามอย่างสุดกำลัง”นางวางมือบนแขนของนายท่านเจียง ซูจิ่งสิงทางหนึ่งยืนคุ้มกันกู้หว่านเยว่อยู่ทางด้านหลัง ทางหนึ่งสำรวจครอบครัวนี้ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึง คนกลุ่มนี้คล้ายเป็นสหายของท่านอาจารย์ทางฝั่งนี้ กู้หว่านเยว่จับชีพจรของนายท่านเจียง เจียงฮูหยินและเจียงฉือไม่กล้าทำแม้แต่หายใจเสียงดัง“พวกท่าน...”กู้หว่านเยว่จับชีพจรเรียบร้อยแล้ว สบมองทางเจียงฮูหยินสีหน้าคลุมเครือ“สามีของข้าเป็นเช่นไร?”สายตาเจียงฮูหยินร้อนใจกู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นี่จะให้นางพูดอย่างไรเล่า?“มิสู้ย้ายคนเข้ากระโจมก่อน แล้วข้าจะค่อยๆ อธิบายกับพวกท่าน”รอบข้างยังมีบ่าวรับใช้สกุลเจียงมากมาย กู้หว่านเยว่ตัดสินใจไว้หน้าคนครอบครัวนี้“ก็ได้ ข้าอุ้มท่านพ่อเข้าไป!”เจียงฉือรีบอุ้มนายท่านเจียง พาคนเข้ากระโจม เจียงฮูหยินซับน้ำตาไล่ตามมา“ท่านหมอ ตกลงสามีของข้าเป็นอะไรกันแน่ ตอนนี้เจ้าสามารถพูดได้แล้วกระมัง?”กู้หว่านเยว่กระแอมทีหนึ่ง พยักหน้า“อิงตามชีพจร นายท่านเจียงน่าจะเสพสังวาสมากจนเกินไป พลังงานของไตไม่เพียงพอ”พูดอย่างง่ายก็ค
ใบหน้าเจียงฮูหยินเปี่ยมความปวดใจ “เจ้าดูสามีข้า เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของข้า ล้วนถูกทรมาน จนไม่ใช่คนไปแล้ว”นายท่านเจียงยิ้มขมปร่าถูกทรมานจนไม่ไหวแต่ก็ต้องทำยามค่ำคืนฮูหยินควบคุมตนเองไม่ได้ หรือจะให้นางไปหาคนอื่นเล่า?“แม้ข้ารู้ว่านี่เป็นโรค กลับไม่สามารถควบคุมตนเองได้”นางยกมือสองข้างปิดปาก“หลังเสร็จกิจแล้ว รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างมาก”เพราะเหตุนี้จึงยากจะเอ่ยความจริงออกมา เจียงฮูหยินและนายท่านเจียงเองก็ไม่กล้าบอกคนอื่นกู้หว่านเยว่มองสีหน้าของทั้งคู่ หยั่งเดาภายในใจ“เจียงฮูหยิน ยื่นมือให้ข้าเถอะ”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง เจียงฮูหยินรีบยื่นมือออกไปจับชีพจร“ตอนนั้นเจียงฮูหยินรู้สึกร้อนรุ่มภายในใจ ยากจะสงบลงใช่หรือไม่?”“ใช่ ใช่!”อาจเพราะกู้หว่านเยว่เป็นสตรีเฉกเช่นเดียวกัน เจียงฮูหยินไม่เขินอายถึงเพียงนั้น รีบพยักหน้า“ฮูหยินนี่คือไฟและความชื้นในตับ ไหลลงข้างล่าง”นี่กลับไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร เพราะเจียงฮูหยินและนายท่านเจียงปิดบังโรคหลีกเลี่ยงหมอ กระดากอายเกินกว่าจะไปหาหมอ จึงยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้“ดังนั้นข้ามิได้ติดเสพสังวาส เพียงแค่ป่วย?”เจียงฮูหยินเบิกตากว้าง ร
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้