“อ่อ ใช่แล้ว ท่านอ๋องไม่รู้จักเหลียงถงอวี้อะไรนั่นหรอก ยิ่งไม่รู้จักหอเทียนเซียง”ซูจิ่งสิง: ขอบคุณเจ้ามาก มีผู้ใต้บัญชาอย่างเจ้าเป็นบุญของข้ายิ่งนัก อย่าอธิบายเลย ยิ่งพูดก็ยิ่งผิด“ออกไป”ซูจิ่งสิงพูดออกมาหนึ่งคำอย่างเหลืออดฉู่เฟิงรีบคำนับเสียงดัง รีบลุกขึ้นแล้วลากชิงเหลียนหายออกไปทันที“น้องหญิง เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่เขาพูด”ซูจิ่งสิงเดินมาตรงหน้ากู้หว่านเยว่แล้วขอร้อง“ข้าส่งเขาไปสืบเรื่องหอเทียนเซียง ไปสืบเรื่องของเหลียงถงอวี้นั่นจริงแต่นั่นไม่ใช่เพราะข้าสนใจหอเทียนเซียง แต่เพราะข้าได้ข่าวมาว่าโจวเสี้ยนกับเหลียงถงอวี้นั่นเคยมีอดีตร่วมกันช่วงหนึ่ง”ซูจิ่งสิงอธิบายไปด้วย พลางก่นด่าในใจไปด้วยทำไมเขาถึงได้มีผู้ใต้บัญชาที่วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำเช่นนี้ ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายดายมาก แค่อธิบายให้กู้หว่านเยว่ฟังดีๆ ก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?ปากของเขา เอาแต่พูดปาวๆ ไม่หยุด แต่ต่อหน้ากู้หว่านเยว่ยิ่งพูดให้เขาผิดมากขึ้นเรื่อยๆกู้หว่านเยว่มองเขาด้วยใบหน้าอมยิ้ม แต่ไม่พูดสิ่งใด“น้องหญิง ข้าไม่ได้ไปสถานที่อย่างนั้นจริงนะ เจ้าต้องเชื่อข้านะ”ซูจิ่งสิงร้อนใจ อ
เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแต่ไม่กล้าส่งคนไปหอเทียนเซียงเป็นครั้งที่สองแล้ว“เรื่องนี้ไม่เร่งรีบ ตอนนี้ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องหารือกับท่าน”กู้หว่านเยว่เอ่ยเสียงเข้ม นึกถึงจุดประสงค์ที่นางมาแม่ทัพโจวกับแม่ทัพน้อยโจวอยู่ในมือพวกนางแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะยอมสวามิภักดิ์หรือไม่ ล้วนไม่เป็นอันตรายตอนนี้มีอีกคนหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า“เจ้าว่ามา”สีหน้าซูจิ่งสิงจริงจังขึ้นทันทีกู้หว่านเยว่กล่าว “เรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงหนานเจียง”นางบอกเล่าคำพูดของเสี่ยวเหอ ให้ซูจิ่งสิงฟังทั้งหมด“อย่าให้องค์หญิงหนานเจียงกลับไปถึงหนานเจียงเด็ดขาด ต้องคุมตัวนางไว้ในมือ”“เข้าใจแล้ว”ซูจิ่งสิงพยักหน้า เข้าใจความกังวลของกู้หว่านเยว่ดีกองทัพหนานเจียงแทบจะแพ้ราบคาบให้กองทัพเจดีย์หนิงกู่ของพวกเขา ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากองค์หญิงหนานเจียงกลับไปถึง จะบอกอะไรกับฮองเฮาหนานเจียงเขาโบกมือ เรียกคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามา“ฉู่เฟิง ตอนนี้เจ้ารีบพากำลังคนออกไปหนึ่งหน่วย มุ่งหน้าไปจับตัวองค์หญิงหนานเจียง”กู้หว่านเยว่ลุกขึ้น “ข้าไปพร้อมกับเจ้าดีกว่า แค่เจ้าคนเดียวหาไม่พบหรอกว่านางอยู่ที่ใด”หนอนกู่ต
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นไปกันเถอะ”เฟิ่งหมิงกวงฝืนใจเห็นด้วยคนกลุ่มหนึ่งพากันเข้าไปในตำบลเล็ก จากนั้นหาบ้านชาวนาหลังหนึ่ง ให้คนต้มน้ำให้เฟิ่งหมิงกวง“องค์หญิง พวกเรามีเวลาแค่หนึ่งชั่วยาม ท่านต้องรีบหน่อย”ผู้ใต้บัญชาเอ่ยเตือนเสียงค่อย“รู้แล้ว น่ารำคาญเหลือเกิน”เฟิ่งหมิงกวงโยนขวดให้หนึ่งใบ“ปล่อยแมงมุมพันขาออกมา”แมงมุมพันขาสามารถอำพรางตัว เมื่อใดที่มีกลิ่นอายของศัตรูเข้าใกล้ มันจะส่งสัญญาณ“ขอรับ”ผู้ใต้บัญชารีบรับไป ถือขวดใบนั้นออกจากห้อง แล้วปล่อยแมงมุมพันขาออกมา“ของดีของยัยเฟิ่งหมิงกวง มีไม่น้อยเชียว” ในมิติสีเสียงหยอกล้อเสียงหนึ่งดังขึ้นหากเฟิ่งหมิงกวงได้ยินเสียงนี้ คงตกใจจนตายแน่นอนขณะนี้ผู้เป็นนายของเสียงนี้ อยู่ภายในห้อง“นายหญิง แมงมุมพันขาถือเป็นของดี เลี้ยงให้รอดได้ยากมาก อีกเดี๋ยวท่านจับมาสักหน่อย แล้วเอาไปไว้ในมิติ ถือเป็นของสะสมได้”ระบบเอ่ยเตือนอย่างหวังดีกู้หว่านเยว่พยักหน้า “ไม่รีบร้อน รอให้ข้าจับเฟิ่งหมิงกวงได้ก่อนค่อยว่ากัน”ที่แท้กู้หว่านเยว่หาเบาะแสของเฟิ่งหมิงกวงได้นานแล้ว และคอยติดตามอยู่ด้านหลังตลอดที่ไม่ได้ปรากฏตัวตั้งแต่แรก เพราะกังวลว่าข้าง
กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วยิ้ม “ข้าน้อยพระชายาเจิ้นเป่ย ขอองค์หญิงหนานเจียงโปรดไปกับข้าเถอะ”เฟิ่งหมิงกวงเพ่งมอง“ที่แท้เจ้าคือกู้หว่านเยว่”นางมาต้าฉีหลายเดือนแล้ว ย่อมเคยได้ยินชื่อของกู้หว่านเยว่ สายตาที่มองอีกฝ่ายจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อยนางตำหนิ “รีบปล่อยข้านะ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ถูกกับฮ่องเต้ต้าฉี แต่ข้าเป็นองค์หญิงหนานเจียง เจ้ากล้าจับข้า เสด็จแม่ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ ถึงตอนนั้นทั่วทั้งหนานเจียงจะเป็นศัตรูกับต้าฉีของพวกเจ้า”กู้หว่านเยว่ยิ้ม แล้วมัดเฟิ่งหมิงกวงอย่างใจเย็นพลางนำพลุสัญญาณออกมา แล้วจุด“มิได้ มิได้ ข้ามิได้คิดจะจับตัวองค์หญิงกลับไป แต่ทำเพื่อปกป้ององค์หญิงต่างหาก”“ปกป้องข้าหรือ?” เฟิ่งหมิงกวงโมโห “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า?”“แม้ฮ่องเต้จะถูกจับตัวไปแล้ว แต่ใต้อาณัติเขายังมีองครักษ์อีกมาก ไม่แน่อาจโยนความผิดที่แพ้ศึกครั้งนี้มาที่องค์หญิงดังนั้น เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิง ข้าจึงต้องพาท่านกลับไปเพื่อคอยปกป้องรอให้ทางหนานเจียงส่งคนมารับตัวท่านเมื่อใด ข้าถึงจะวางใจ”กู้หว่านเยว่กระพริบตา แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์“เจ้า!”เฟิ่งหมิงกวงโกรธจนกระทืบเท้าแต่นางดันไม่มีแรง
ฉู่เฟิงรีบคว้าตัวของชิงเหลียนและเอ่ยขึ้นว่า“หอเทียนเซียงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ข้าและพระชายากำลังจะไปดูสถานการณ์เดี๋ยวนี้”“หอเทียนเซียง?”แววตาของฉู่เฟิงทอประกายวาบหนึ่ง“พระชายา ท่านช้าก่อน ข้าขอสั่งงานผู้ใต้บังคับบัญชาสักหน่อย แล้วข้าจะไปกับท่านด้วย”“ก็ได้”กู้หว่านเยว่พยักหน้าฉู่เฟิงรีบเดินออกไป อย่างแรกคือถ่ายทอดแผนการที่กู้หว่านเยว่จะจัดการกับเฟิ่งหมิงกวง จากนั้นก็จูงม้าตัวหนึ่งออกไปพร้อมกับพวกนาง“พอดีว่าเราไม่รู้ว่าหอเทียนเซียงอยู่ที่ไหน เจ้านำทางข้าได้เลย”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มฉู่เฟิงชำเลืองมองไปทางชิงเหลียน“จริง ๆ แล้วข้าน้อยก็เคยไปเพียงหนเดียว ไม่ค่อยคุ้นชินกับหอเทียนเซียงแห่งนั้นสักเท่าไหร่นัก”“เอาล่ะ พระชายาให้เจ้านำทางก็นำทางไปสิ จะพูดไร้สาระทำไมให้มากความ?” ชิงเหลียนมองฉู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ“ขอรับ”ฉู่เฟิงขยี้ปลายจมูกพลางทอดถอนใจ ดั่งคำกล่าวที่ว่า อยากฝากใจไว้กับสตรี แต่สตรีกลับเพิกเฉยทั้งสามคนเดินทางออกจากค่ายทหาร โดยการนำพาของฉู่เฟิง ไม่นานก็มาถึงนอกประตูของหอเทียนเซียง เวลานี้ด้านนอกหอเทียนเซียงมีการเฝ้ารักษาการณ์อย่างแน่นหนาและยังมีชาวบ้านอีกจำน
“ข้าตั้งใจมาเรียกร้องความยุติธรรมให้บุตรชายของข้า เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง บัดนี้อวัยวะสืบพันธุ์ของบุตรชายข้าได้รับความเสียหาย ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ต่อไปตระกูลของข้าจะไม่มีทายาทสืบสกุลอีกแล้ว”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วสูง“แม่ทัพผู้เฒ่า เท่าที่ข้ารู้มา ค่ายทหารมีคำสั่งห้ามเหล่าทหารออกมาเที่ยวเตร่หอนางโลมโดยเด็ดขาด”“ใช่ มีคำสั่งนี้จริง ๆ”แม่ทัพผู้เฒ่าไอกระแอมหนึ่งเสียง จากนั้นก็ชี้ไปทางเหลียงถงอวี้ผู้นั้น“เพียงแต่เรื่องของบุตรชายข้าไม่นับว่าเป็นการซื้อตัวนางโลมสนองความใคร่ เพราะเขาและสตรีผู้นี้ชอบพอกัน ทั้งยังใช้ตั๋วเงินไถ่ตัวนางออกไปแล้วด้วย”ทันทีที่แม่ทัพผู้เฒ่าพูดจบ สตรีที่ค่อนข้างมีอายุที่อยู่ถัดไปผู้หนึ่งก็รีบคุกเข่าลง“แม่ทัพพูดถูกเจ้าค่ะ ข้าไม่กล้าโกหกหรอก นอกจากจะหลับนอนด้วยกันแล้ว แม่ทัพน้อยฟู่ก็ยังนำเงินมาไถ่ตัวเหลียงถงอวี้ออกไปอีกด้วยเจ้าค่ะ”สตรีผู้นี้น่าจะเป็นแม่เล้าของหอเทียนเซียงกู้หว่านเยว่มองไปทางซูจิ่งสิงแวบหนึ่งซูจิ่งสิงพยักหน้าให้นาง“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริง ๆ สัญญาการขายตัวก็อยู่กับข้า”เขาหยิบสัญญาการขายตัวยื่นให้กับกู้หว่านเยว่กู้หว่
“ข้าน้อยระหกระเหเร่ร่อน อยู่ตัวคนเดียว ไร้จุดหมายปลายทาง แล้วแต่โชคชะตาจะลิขิต แต่ข้าน้อยก็มีหัวใจ และยกหัวใจให้ชายอื่นไปแล้วที่ข้าทำร้ายแม่ทัพฟู่ ไม่ใช่เพื่อเรื่องอื่นใด แต่เพื่อหัวใจของข้าเอง”แม้ว่าน้ำเสียงของเหลียงถงอวี้จะฟังดูอ่อนแอมาก แต่ยามที่ลั่นวาจาออกมา กลับดูจริงจังกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน และบอกว่า‘ก็แค่คำพูด!’“ฮูหยิน เหลียงถงอวี้ผู้นี้อยากรนหาที่ตายเองเจ้าค่ะ” ชิงเหลียนกล่าวเสียงเบาเรื่องนี้ชักยุ่งยากเสียแล้วสิแม่ทัพผู้เฒ่าฟู่อยากให้เหลียงถงอวี้ชดใช้ด้วยชีวิต ซึ่งเหลียงถงอวี้ก็ยอมตายเช่นกันและวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือเหลียงถงอวี้ต้องตายแต่โจวเสี้ยนกลับอยากให้เหลียงถงอวี้มีชีวิตอยู่ต่อ“พระชายา ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับพระชายาเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่เจ้าคะ?”จู่ ๆ แม่เล้าก็โพล่งออกมากู้หว่านเยว่เดาออกว่านอกจากเหลียงถงอวี้แล้ว แม่เล้าน่าจะเป็นคนที่เข้าใจต้นเหตุของเรื่องราวได้ดีที่สุดหลังจากครุ่งคิดครู่หนึ่ง ก็พยักหน้า “ไปคุยกันด้านในเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยอยู่พอดี”แม่เล้ามีไหวพริบดีมาก รีบสั่งให้เด็ก ๆ ทันทีว่า “ไป ไปยกน้ำชาและขนมม
แล้วเหตุใดถึงได้พูดกลับไปกลับมาเช่นนี้ บอกเรื่องสัญญาการขายตัวและคืนแห่งตัณหากับแม่ทัพน้อยฟู่แล้วใช่หรือไม่? ความขัดแย้งครั้งนี้ เจ้าไม่ได้เป็นคนยั่วยุหรอกใช่หรือไม่?”“โธ่ ใส่ร้ายกันแล้ว ใส่ร้ายกันแล้วเจ้าค่ะ”แม่เล้าร้องเสียงหลง“ข้าบอกเรื่องนี้กับแม่ทัพน้อยฟู่อย่างชัดเจน อธิบายให้เขาฟังเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ แต่เขาดันไม่ฟังเอง ทั้งยังขู่ข้า หากข้าไม่ยกถงอวี้ให้เขา จะเข้าค้นและยึดหอนางโลมของพวกเรา ในข้อหาค้ามนุษย์ผิดกฎหมาย ข้า....ข้าจะคัดค้านได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ?”เหลียงถงอวี้คือคนที่แม่เล้าเลี้ยงดูมากับมือ แม่เล้ารักนางมาก ไม่ยอมเห็นนางตายไปเฉย ๆ อย่างแน่นอน แต่ถ้าเทียบกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับหอเทียนเซียง แม่เล้าเลือกอย่างหลังมากกว่าบัดนี้กู้หว่านเยว่รู้ความจริงอย่างชัดเจนแล้ว“เจ้าพูดความจริงใช่หรือไม่?”“จริงแน่นอน!”“ดี งั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย หากเจ้าเจอกับแม่ทัพน้อยฟู่ เจ้าจะกล้าคุมเชิงเขาอย่างไร?”“เรื่องนี้... หากพระชายารับปากข้าว่าหากพูดความจริงไปแล้ว ข้าจะไม่โดนพวกเขาแก้แค้นคืนทีหลัง ข้าก็กล้ารับประกัน”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “ข้ารับปากเจ้า”แม่เล้ารีบกล่าว “เช่นนั
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้