ฮูหยินผู้เฒ่าโจวเป็นโรคอะไรกันแน่?“แม่นางน้อยกู้ไม่ต้องแปลกใจไปเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าเราป่วยเช่นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ก่อนหน้าหน้า ท่านหมอยังรักษาอาการของนางให้ทรงตัวอยู่ได้แต่ครั้งนี้ ท่านหมอที่ตามมา กลับบอกให้พวกเราเตรียมจัดงานไว้ทุกข์”ไม่ต้องพูดถึงว่าแม่นมฉินตื่นตระหนก กู้หว่านเยว่เองก็ตกใจเช่นกันแต่นางก็ประคองสติได้อย่างรวดเร็ว ดูจากอาการของฮูหยินผู้เฒ่าโจวแล้ว ดูเหมือนว่านางจะมีอาการหัวใจวายโรคหัวใจก็เป็นเช่นนี้ เมื่อไม่เป็นก็ไม่เป็นไรกู้หว่านเยว่ไม่ได้ตามนางไปทันที แต่พูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ไป แต่หากฮูหยินผู้เฒ่าของพวกท่านเป็นโรคร้ายแรง ต่อให้ข้าไปแล้วก็ไร้ประโยชน์”แม่นมฉินรีบพูดว่า “แม่นางกู้ไม่ต้องกลัวไปเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยเองก็คิดว่าทักษะการแพทย์ของท่านเยี่ยมยอด ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่หากไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถือเสียว่าไปดูนางสักหน่อย พวกเราย่อมไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาโทษท่านแน่”ซ่งเสวี่ยมีความคิดที่ว่า แมวตาบอดเจอหนูที่ตายแล้ว[footnoteRef:1] [1: เป็นสำนวนที่หมายถึงความบังเอิญ หรือโชคดีขั้นสุด] “เช่นนั้นท่านก็นำทางเถอะ ระหว่างทางก็เล่า
“ท่านอ๋อง?”ลั่วยางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น“อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย เพราะข้าฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เจ้าแล้ว”มู่หรงอวี้มองนางอย่างเย็นชา ท่าทางเช่นนี้ทำให้ลั่วยางรู้สึกอับอาย“ท่านอ๋อง ข้าพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ...”ในฐานะศิษย์คนเดียวของปรมาจารย์แพทย์ นางมั่นใจในทักษะการแพทย์ของตนเองมาก เรียกได้ว่าไม่มีโรคใดในโลกที่จะทำให้นางสะดุดได้แต่นางไม่เข้าใจในชีพจรและอาการของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจริงๆ“บางทีอาจารย์ เขาสามารถ...”“น่าชังนัก! ถ้าข้าหาปรมาจารย์แพทย์เจอ ยังใช้งานเจ้าอยู่อีกหรือ?”มู่หรงอวี้โกรธมาก ถ้าลั่วยางไม่สามารถรักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้ แล้วเขาจะถ่อมาลำบากถึงปิงโจวไปทำไม?ยิ่งไปกว่านั้น เขาอวดดีต่อหน้าโจวเหล่าไปมากแล้ว หากทำไม่ได้ คงได้อับอายกับทั้งโคตร“ท่านอ๋อง ภรรยาข้าเป็นอะไรหรือ?” เห็นทั้งสองพึมพำกัน ทำให้โจวเหล่ารู้สึกใจไม่ดี“โจวเหล่า”มู่หรงอวี้ยังอยากยื้อต่อไปสักพักฟู่เยียนหรานกลับปากมากสอดขึ้นมา “โจวเหล่า ลั่วอีหนี่ว์บอกว่านางไม่สามารถรักษากโรคนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าได้เจ้าค่ะ”“ฟู่เยียนหราน!” มู่หรงอวี้โกรธมาก อยากจะบีบคอนางให้ตาย
“เป็นไปไม่ได้ โรคที่ข้ารักษาไม่ได้ นางไม่มีทางรักษาได้”ลั่วยางเป็นคนยโส เชื่อว่าไม่มีใครที่อายุเท่านางในโลกนี้ สามารถเอาชนะนางได้นางเป็นถึงศิษย์ของปรมาจารย์แพทย์เชียวนะนางมองดูมู่หรงอวี้ที่กำลังโกรธ “ท่านอ๋อง วางใจเถอะเจ้าค่ะ นางก็แค่พยายามทำให้คนอื่นพอใจ”มู่หรงอวี้สงบลงเล็กน้อย มองดูกู้หว่านเยว่ราวกับว่านางไม่มีความสามารถนั้นจริงๆ“กู้หว่านเยว่ เจ้าไม่ควรเอาเรื่องฮูหยินผู้เฒ่าโจวมาล้อเล่น ไม่เช่นนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่”เขาจงใจแสดงเกียรติว่าสูงส่ง เพราะเห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้กู้หว่านเยว่รักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวกู้หว่านเยว่ยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ท่านอ๋องดูเหมือนจะไม่อยากให้ข้ารักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวนะเจ้าคะ?”“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” การแสดงออกของมู่หรงอวี้เปลี่ยนไปได้อย่างมาก เขาจะยอมให้กู้หว่านเยว่ขุดหลุมให้เขากระโดดเข้าไปได้อย่างไร?“เอาล่ะ ให้หมอกู้ดูก่อนอาการก่อนเถอะ” โจวเหล่าขัดจังหวะพวกเขาด้วยเสียงทุ้มลึก ตราบใดที่ยังมีความหวัง แม้จะริบหรี่ เขาก็จะไม่ยอมแพ้“ตอนที่ข้าตรวจชีพจร กรุณาอย่าส่งเสียงรบกวน”กู้หว่านเยว่ยิ้ม เหลือบมองไปทางมู่หรงอวี้อย่างอารมณ์ดี
“พิษ?”ทันทีที่พูดจบ การแสดงออกของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันทีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โจวเหล่าที่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนใจร้ายถึงขนาดวางยาพิษภรรยาของเขา“ไม่มีทางเป็นพิษแน่”ลั่วยางพูดอย่างรวดเร็ว“ถ้ามันเป็นพิษ เข็มเงินจะตรวจไม่พบได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่กล่าวประชดเบาๆ ว่า “บนโลกใบนี้มีพิษมากมายที่เข็มเงินตรวจไม่พบ ท่านหมอลั่วน่าจะรู้ดีกว่าข้ากระมัง?”หน้าของลั่วยางเห่อร้อน พิษที่นางให้มู่หรงอวี้ไปทำร้ายซูจิ่งสิง เข็มเงินก็ไม่อาจตรวจพบเช่นกันกู้หว่านเยว่พบมันแล้วจริงๆแต่นางก็ยังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ถ้าเป็นพิษ ไม่มีทางที่ข้าจะตรวจไม่พบ”กู้หว่านเยว่เสียอารมณ์ในทันที“ถ้าเช่นนั้นเจ้าว่ามันคืออะไร?”“ข้า...” เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองที่เฉียบคมของกู้หว่านเยว่ ลั่วยางก็เริ่มอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ “ข้าไม่รู้”“ในเมื่อเจ้าบอกไม่ได้ ก็อย่าตั้งคำถามกับการวินิจฉัยของข้า”กู้หว่านเยว่ไม่มีปัญหากับทักษะการแพทย์ของคนอื่น แต่กับลั่วยางที่หยิ่งผยอง นางดูถูกสุดใจ“ก็ได้” ลั่วยางหายใจเข้าลึกๆ “ถ้าเจ้ามีความสามารถ เช่นนั้นก็บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าโจวถูกพิษชนิดใด?”นี่คือสิ่งที่โจวเหล่า
“หว่านเยว่ ข้าไปกับเจ้า” ซูจิ่งสิงพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วการเดินทางครั้งนี้อันตราย และมู่หรงอวี้จะต้องสร้างปัญหาแน่ๆ เขากังวลเกินกว่าจะปล่อยให้กู้หว่านเยว่ไปคนเดียว“แต่ท่านและข้าต่างก็เป็นนักโทษ…”“ข้าจะไปคุยให้” ซ่งเสวี่ยพูด “ล่าช้าไปสักสองสามวัน ข้าคิดว่าเหล่านักการน่าจะเข้าใจได้”เมื่อซ่งเสวี่ยออกหน้า ซุนอู่ย่อมไม่มีปัญหาไร้สิ่งเรื่องต้องกังวลใจ กู้หว่านเยว่ออกเดินทางทันที เพื่อปกป้องพวกเขา โจวเหล่าจึงมอบกลุ่มองครักษ์มากฝีมือกลุ่มเล็กๆ ให้พวกเขา“สวะ!”เมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆ มู่หรงอวี้ก็ตบหน้าลั่วยางอย่างแรง“ข้าเชื่อใจเจ้าขนาดนั้น แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าก็สู้หญิงแพศยาอย่างกู้หว่านเยว่ไม่ได้”หากกู้หว่านเยว่เอาเมล็ดโพธิ์กลับมาได้และรักษาฮูหยินผู้เฒ่าโจวได้แล้ว โจวเหล่าจะต้องอยู่ข้างซูจิ่งสิงแน่นอน“ใช่แล้ว หมอหญิงลั่ว ท่านไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าทำลายแผนการของท่านอ๋องหรอกหรือ?”ฟู่เยียนหรานยินดีบนคราวเคราะห์ของผู้อื่นถ้าไม่ใช่เพราะนางเป็นคนของมู่หรงอวี้ นางคงหัวเราะเยาะให้ฟันร่วงลั่วยางคนนี้ดูเย็นชาวางท่า ไม่ชอบหน้ายิ่งนักลั่วยางก้มศีรษะลงด้วยความหงุดหงิด จู่ๆ
ซูจิ่งสิงต้องการแต่ไม่อาจได้มา จึงจ่ายเงินออกไปทันที“พวกเราเอาห้องนั้น”กู้หว่านเยว่ไม่สนใจห้องที่ได้มา แต่ดวงตาจับจ้องไปที่ขอบเข็มขัดของเขา“ท่านเอาเงินมาจากไหน?”ซูจิ่งสิงเงียบไปครู่หนึ่ง ตอบไปตามตรง “... วันนั้น เก็บมาจากชายชุดดำกับพวกนักการกู้หว่านเยว่จำได้ว่าวันนั้นนางจดจ่ออยู่กับการเผาจดหมายจนลืมค้นตัวพวกเขา ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะเรียนรู้วิธีการปล้นคนแล้วทั้งสองรับกุญแจมา ห้องชั้นบนอักษรเทียนกว้างขวางดีจริงๆ ไม่เพียงแต่มีเตียงเท่านั้น แต่ยังมีเบาะนั่งนุ่มๆ โต๊ะกลมตรงกลางห้อง ชาร้อนอีกหนึ่งกาหลังจากปิดประตู ซูจิ่งสิงก็หยิบถุงเงินออกมา“นี่คือเงินที่เหลือ มอบให้ภรรยาเก็บไว้”โดยทั่วไปแล้ว กู้หว่านเยว่จะไม่ปฏิเสธเงินที่มาส่งถึงประตูบ้าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีคนมามอบให้“ท่านช่างรู้ความเสียจริง”กู้หว่านเยว่รับมันมาอย่างมีความสุข พูดอย่างลื่นไหล“เห็นแก่ที่ท่านรู้ความเช่นนี้ จากนี้ไป ข้าจะดูแลท่านเอง”ซูจิ่งสิงตกตะลึง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จากนั้นมุมตาก็ปรากฏหยาดน้ำแห่งความรัก ให้ความร่วมมือและพูดว่า“ผู้น้องขอบคุณพี่ใหญ่กู้!”“เกรงใจแล้ว เกรงใจแล้ว!”กู้หว่านเยว่หั
ลั่วยางหันไปหาผู้นำตระกูลเหยาแล้วพูดว่า “ขอท่านนำทางข้าไปเอาเมล็ดโพธิ์ด้วย”เรื่องนี้ได้ข้อสรุปเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้นำตระกูลเหยาไม่อาจต่อต้านศิษย์ของปรมาจารย์แพทย์ได้เขาพยักหน้า ส่งคนไปตามหาคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหยามา เพราะเมล็ดโพธิ์นั่น คุณหนูหญิงของตระกูลเหยาเป็นคนที่คอยเลี้ยงไว้กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองหน้ากันด้วยสีหน้าย่ำแย่ พวกเขาจะทำอย่างไรดี? ต้องมองกูเมล็ดโพธิ์ถูกลั่วยางเอาไปหรือ?เช่นนั้นผลโรคที่นางตรวจเจอของฮูหยินผู้เฒ่าโจวจะนับเป็นอะไรได้? ความพยายามก่อนหน้านี้ของนางไม่ใช่ว่าไร้ความหมายหรอกหรือ? อีกอย่าง ลั่วยางรู้วิธีถอนพิษให้ฮูหยินผู้เฒ่าโจวหรือไร?ในเวลานี้ คุณหนูใหญ่ของตระกูลเหยา ก็ปรากฏตัวหลังจากบ่าวไปเชิญมา“น้องหญิง เจ้ามาแล้วหรือ? พาพวกเขาไปเอาเมล็ดโพธิ์เถอะ” ผู้นำตระกูลเหยาสั่งมู่หรงอวี้รีบแสดงรอยยิ้มให้เหยาฮุ่ยซินที่คิดว่ามีเสน่ห์เกินจะบรรยายให้นาง “รบกวนคุณหนูใหญ่เหยาแล้ว”เหยาฮุ่ยซินมองไปยังผู้คนในห้องรับรองดวงตากระจ่างใส่กลมโตดวงนั้น ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกคุ้นเคย“เจ้าก็มาที่นี่เพื่อขอเมล็ดโพธิ์ด้วยหรือ?”“ใช่ พวกเราต้องการใช้เมล็ดโพธิ์ไปช่วยชีวิตค
นางมีความมั่นใจว่า สมุนไพรที่ตนเองเคยเห็นและได้กลิ่นมาตั้งแต่เด็กจนโตนั้น เกรงว่าจะมากกว่าจำนวนเกลือที่กู้หว่านเยว่เคยกินเสียอีกเหยาฮุ่ยซินมองไปยังกู้หว่านเยว่“ฮูหยินซู ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”กู้หว่านเยว่มีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “ดูเหมือนว่านี่จะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่กระมัง?”“ไม่ยุติธรรมตรงไหนกัน นี่เป็นความรู้พื้นฐานของหมอ หรือว่าเจ้าไม่มีแม้แต่ความรู้พื้นฐาน?” ลั่วยางเห็นว่าการแข่งขันนี้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง จึงรีบกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่เหยา มาแข่งกันเรื่องนี้กันเถอะ”“ก็ได้” กู้หว่านเยว่ถอนหายใจ “หากหมอหญิงลั่วไม่ขัดข้องก็ดี”นางพูดเช่นนี้? มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแต่ลั่วยางมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ จึงเริ่มสอบถามกฎกติกาการแข่งขันแล้วเหยาฮุ่ยซินเอ่ยขึ้น “กฎของการแข่งขันนั้นง่ายมาก พวกท่านเลือกสมุนไพรสามชนิดจากคลังของสกุลเหยา หรือจะใช้สมุนไพรที่พกติดตัวมาก็ได้ จากนั้นหยิบออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามดม“หากอีกฝ่ายสามารถบอกชื่อได้ถูกต้อง ก็ถือว่าฝ่ายนั้นชนะ แต่ถ้าบอกไม่ได้ ถือว่าฝ่ายที่นำสมุนไพรออกมาเป็นผู้ชนะ”ลั่วยางได้ยินดังนั้น ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป