นางหยางพยักหน้า กล่าวด้วยความสงสาร “ดูเจ้าสิ เหงื่อออกเต็มหัวไปหมดแล้ว ไม่รู้จักระวังตัวบ้าง กำลังจะเป็นพ่อคนแล้วนะ”ชิงหว่านตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว อีกสี่เดือนก็จะคลอดแล้วซูจื่อชิงจะนั่งอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร เขาทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ มองไปที่นางหยางและซูจิ่นเอ๋อร์ก่อน แล้วก็หันกลับไปมองหาจ้านจ้าน ใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งสองแม่ลูกมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจจ้านจ้านพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาวางสัตว์กินเหล็กตัวน้อยลง วิ่งตึก ๆ ๆ ด้วยขาสั้น ๆ ของเขาไปหาซูจื่อชิงอย่างรีบร้อน แล้วเอ่ยถาม “ท่านอาเล็ก ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่?”เด็กน้อยน่ารักเงยหน้าขึ้น เต็มไปด้วยความคาดหวังซูจื่อชิงอยากจะพูด แต่ก็สำลักอย่างรุนแรงเขาทำไม้ทำมือไปมา หันไปคว้าถ้วยชามาดื่มอย่างร้อนรน แต่ก็ยังพูดไม่ออกจ้านจ้านเป็นเด็กฉลาด เขาทำหน้าขรึม “ใช่หรือไม่ ท่านอาเล็ก หากใช่ ท่านก็พยักหน้า”ซูจื่อชิงสำลักจนหน้าแดงก่ำไปหมด แต่กลับพยักหน้าอย่างแรง พยักหน้าอย่างหนักแน่น“กลับ กลับมาแล้ว!”“จริงหรือ!”จ้านจ้านปล่อยลูกสัตว์กินเหล็ก ขาสั้น ๆ วิ่งตึก ๆ ๆ ไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน
ซูจิ่นเอ๋อร์ฝืนยิ้ม จะมีแผนการอะไรได้อีกเล่า การมีลูกไม่ใช่เรื่องที่นางอยากจะมีก็มีได้ ไปหาหมอมาจนทั่วแล้ว แต่ท้องก็ยังไม่มีวี่แววใด ๆ นางจนปัญญาแล้วจริง ๆ “ท่านแม่ ท่านอย่าไปยุ่งเลยเจ้าค่ะ”สีหน้าของซูจิ่นเอ๋อร์ดูไม่เป็นธรรมชาตินายหญิงซูหรือก็คือนางหยางมองแวบเดียวก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบซักไซ้ด้วยความร้อนใจ “ถึงเวลานี้แล้ว เจ้ายังจะคิดปิดบังอีกหรือ เป็นเพราะฟู่หลานเหิงรังเกียจเจ้าแล้ว หรือว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่? มิเช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงได้กลับมาเมืองหลวงอย่างกะทันหัน?”เมื่อถูกพูดเช่นนี้ ขอบตาของซูจิ่นเอ๋อร์ก็แดงก่ำ เดิมทีนางก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่แล้ว ยิ่งทำให้น้ำตาไหลรินออกมา“ท่านแม่ ในสกุลฟู่มีท่านพี่เป็นบุรุษเพียงคนเดียว จะสิ้นทายาทไม่ได้เด็ดขาด คราวนี้ที่ข้ากลับมาเมืองหลวง ก็เพื่อตั้งใจจะหาอนุภรรยาให้ท่านพี่เจ้าค่ะ”หัวใจของนางเจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงก็สั่นเครือเมื่อเห็นว่าจ้านจ้านยังคงเล่นอยู่กับสัตว์กินเหล็กตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ นางจึงแข็งใจอดกลั้นไว้ ไม่ยอมให้เด็กมาเห็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะนายหญิงซูตกตะลึง ซูจิ่นเอ๋อร์เป็นคน
“อย่าอุ้มข้า!”นายหญิงซูรีบกล่าวพลางยิ้ม “เด็กคนนี้ไม่ชอบให้ใครอุ้ม จ้านจ้าน มาหาย่าตรงนี้เร็ว”จ้านจ้านเหลือบมองอาหญิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปทำความเคารพนายหญิงซู “หลานคารวะท่านย่าขอรับ”ทุกคำพูดทุกการกระทำ ล้วนดูสง่างามเป็นอย่างยิ่งซูจิ่นเอ๋อร์รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เด็กคนนี้โตแล้ว ไม่น่ารักเลย สู้ตอนที่ยังนอนอยู่ในเปลไม่ได้ ตอนนั้นยังน่ารักกว่าไม่สิ ตอนนอนอยู่ในเปลก็ไม่น่ารัก นางยังจำได้ว่าตอนที่จ้านจ้านอยู่ในเปล ไม่ว่านางจะหยอกล้ออย่างไรเขาก็ไม่ยิ้มพอหยอกล้อนานเข้า ยังจะกลอกตาใส่นางอีกเจ้าเด็กนี่ ไม่ถูกกับนางเอาเสียเลย!เมื่อคนในครอบครัวได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา ก็อยากจะพูดคุยกันบ้าง ซูจิ่นเอ๋อร์จึงโบกมือ ให้เหล่าภรรยาขุนนางพากันไปชมดอกไม้ในสวน“จ้านจ้าน อามีของเล่นสนุก ๆ มาให้เจ้าด้วยนะ อยากจะดูหรือไม่?”ซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยขึ้น สัตว์กินเหล็กตัวหนึ่งก็มุดออกมาจากใต้กระโปรงของนาง คลานต้วมเตี้ยมเข้าไปหาจ้านจ้านดวงตาของจ้านจ้านเป็นประกายขึ้นมา “นี่คืออะไรหรือ?”“สัตว์กินเหล็กตัวน้อย” ซูจิ่นเอ๋อร์หยิกแก้มของหลานชาย ในที่สุดก็มีของบางอย่างที่เจ้าเด็กคนนี้สนใจเสียทีนายหญิงซู
เด็กคนนี้น่าสงสารนักหลังจากที่จี้ฮูหยินและนายท่านจี้จากไป นางก็ถูกส่งไปเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านของท่านลุงได้ยินมาว่าบ้านของพวกเขามีลูกหลายคน คนในครอบครัวจึงไม่ใส่ใจจี้เยว่เลยประกอบกับเด็กคนนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก จึงถูกทิ้งไว้ที่เรือนหลัง ไม่มีใครสนใจใยดีวันนี้ องค์หญิงใหญ่เสด็จกลับมาจากเจดีย์หนิงกู่ จึงได้จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ในครอบครัวขึ้น เชิญเหล่าภรรยาขุนนางเข้ามาในวังมากมาย คาดว่าเด็กคนนี้คงจะเข้ามาในวังพร้อมกับคนในครอบครัว แล้วก็เกิดพลัดหลงขึ้นมาช่างน่าสงสารเสียจริง พลัดหลงไปนานถึงเพียงนี้ ก็ยังไม่มีใครมาตามหา เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นที่โปรดปรานชิงเหลียนลูบศีรษะเล็ก ๆ ของจี้เยว่เด็กคนนี้หน้าตาจิ้มลิ้มอ้วนท้วน ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก“บ่าวจะนำเด็กไปส่งคืนให้คนของสกุลซุนเองเจ้าค่ะ นายน้อยทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง”ชิงเหลียนกล่าวจบ ก็หันไปพูดกับจ้านจ้าน“องค์ชายน้อย องค์หญิงใหญ่เสด็จมาแล้ว บอกว่านำของขวัญมาฝากพระองค์ด้วย ตามบ่าวไปดูกันเถิดเจ้าค่ะ”“ได้”จ้านจ้านพยักหน้าอย่างสุขุมราวกับผู้ใหญ่ในความทรงจำของเขามีอาหญิงคนหนึ่ง ตอนเด็ก ๆ อยู่ที่เจดีย์หนิงกู่ก็ยังเคยเล่นกับเขาบ่อย ๆ ทั้งยั
“เจ้าชื่ออะไร?” เว่ยเสียวฉู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเด็กหญิงเบะปากเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างกวาดมองไปรอบ ๆ ท่าทางที่ไม่ค่อยจะฉลาดนักทำให้เว่ยเสียวฉู่รู้สึกสงสัย“เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร หรือว่าจะเป็นเด็กโง่กันนะ”เหยียนซือหยวนแสดงท่าทีเห็นด้วย “ดูเหมือนจะใช่นะขอรับ”ระหว่างทางเขาก็ถามเด็กหญิงคนนี้แล้วว่าชื่ออะไร แต่นางกลับทำหน้าซื่อบื้อ ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวรอบข้างมีคนอยู่มากมายขนาดนี้ เด็กหญิงตัวน้อยจึงรู้สึกกลัวอยู่บ้าง นางเหมือนกระต่ายขาวตัวน้อย ๆ ขยับขาสั้น ๆ ของตนหลบไปอยู่หลังก้อนหิน แล้วแอบมองพวกเขาเว่ยเสียวฉู่จึงเลิกสนใจนางไปเสียดื้อ ๆ แล้วสั่งให้นางกำนัลคอยดูนางไว้ อย่าให้ตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งที่เจาะรู จากนั้นก็เรียกเหยียนซือหยวนมากินปลา“ปลาในทะเลสาบหลวง กินได้ด้วยหรือ?”“ให้เจ้ากินก็กินไปเถอะ!”ดังนั้นทั้งสามคนจึงนั่งล้อมวงกัน เริ่มกินปลาย่างชิ้นใหญ่กันอย่างเอร็ดอร่อยณ มุมหนึ่ง เด็กหญิงตัวน้อยจ้องมองพวกเขา น้ำลายไหลยืดจนถึงคางเพียงครู่เดียว นางก็ทนต่อสิ่งยั่วยวนไม่ไหว แอบย่องเข้าไปด้านหลังของทั้งสามคน ดวงตาจับจ้องไปที่ปลาย่างบนส้อมอย่างไม่วางตาเว่ย
เหล่าปลาใต้ทะเลสาบน้ำแข็งต่างตัวสั่นงันงก ให้องค์ชายน้อยผู้นี้รีบจากไปได้หรือไม่? ด้วยบารมีของโอรสแห่งสวรรค์ที่คุ้มครองกาย พวกมันควบคุมตัวเองไม่ให้ไปติดเบ็ดไม่ได้เลย! “แปลกจริง!”เว่ยเสียวฉู่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ“เด็กน้อยอย่างเจ้า เหตุใดจึงตกปลาได้อีกแล้ว?”เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนี้ครู่เดียว จ้านจ้านก็สะบัดคันเบ็ดตกปลาขึ้นมาได้ถึงสี่ตัวแล้วส่วนนาง ยังไม่ได้อะไรเลย!จ้านจ้านกะพริบตาโตที่น่ารักน่าเอ็นดูของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”“เจ้า!” เว่ยเสียวฉู่รู้สึกหงุดหงิด นางมองแก้มยุ้ย ๆ ของจ้านจ้าน แล้วยื่นมือไปแกล้งหยิกแรง ๆ “ท่องหนังสือก็สู้เจ้าไม่ได้ ตกปลาก็ยังสู้เจ้าไม่ได้”เหล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ มองดูอยู่ แต่ไม่กล้าเอ่ยปากห้ามคุณหนูเว่ยเป็นบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดี ทั้งยังเป็นศิษย์รักของฮองเฮานางเฝ้ามององค์ชายน้อยเติบโตมาหลังจากที่ฮองเฮาและฮ่องเต้เสด็จจากไป ทุกครั้งที่องค์ชายน้อยร้องไห้งอแง ก็มีเพียงนางที่คอยปลอบอยู่ข้าง ๆ กล่าวอย่างไม่เกินจริงเลยก็คือ ในพระราชวังแห่งนี้ นอกจากองค์ชายน้อยแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าแสดงความไม่พอใจต่อ