ชิงเหลียนพอจะจำคนผู้นี้ได้ “ก็คือผู้ว่าการอำเภอเซียงหยางที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งคนนั้น ได้ยินมาว่าเขาอายุสามสิบแล้วแต่ยังไม่แต่งงานเลย แต่ว่าวันที่ข้าไปรับเอกสารราชการก็เหลือบมองแวบหนึ่ง หน้าตาก็ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่เริ่มสนใจขึ้นมา “คนผู้นี้ชื่ออะไรหรือ?”“ดูเหมือนจะสกุลก่วนเจ้าค่ะ”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเรียบ “ก่วนเหยียน เป็นทั่นฮวาในสมัยที่มู่หรงถิงยังดำรงตำแหน่ง คนผู้นี้เป็นคนซื่อตรง เกลียดชังพวกประจบสอพลอผู้มีอำนาจที่สุด จึงได้ล่วงเกินคนในแวดวงขุนนางไปไม่น้อย แม้จะมีความสามารถ แต่ก็ไม่ได้รับการส่งเสริม ตอนนี้จึงยังเป็นได้เพียงผู้ว่าการอำเภอ”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “มิน่าเล่า เขาถึงได้รังเกียจการติดสินบนของจูจิ้งเหวิน”ขณะที่สองสามีภรรยากำลังคุยเรื่องซุบซิบกันเพลิน ๆ พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า หลังจากที่พวกเขาจากมาได้ไม่นาน จูจิ้งเหวินก็ได้ไปหาห่าวเจินเจินถึงที่จริง ๆ “เจินเจิน ถือว่าเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยาของเราเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ข้ามันหน้ามืดตามัวเอง นับจากนี้ไป เจ้ากับข้าจะกลับมาคืนดีกัน ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้าเสียใจอีก จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”เพียงไม่กี่วันที่ไ
กู้หว่านเยว่เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของซูจิ่งสิง ก็รู้ได้ทันทีว่าในจดหมายลับต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างเป็นแน่“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับด่านเซียวหรือ?”“อีกสิบวัน พวกเขาจะรวมตัวกันนอกเมืองด่านเซียว เพื่อสังหารหมู่ชาวบ้าน”ซูจิ่งสิงยื่นจดหมายลับให้กู้หว่านเยว่“พวกเขาไม่ใช่คนต่างเผ่า แต่เป็นพรรคพวกที่ยังหลงเหลืออยู่ของมู่หรงถิง”กู้หว่านเยว่พลันเข้าใจในทันที มิน่าเล่าทางชายแดนถึงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ที่แท้ก็เป็นพรรคพวกของมู่หรงถิง“มู่หรงถิงนั่งอยู่บนบัลลังก์มานานกว่ายี่สิบปีแม้ว่าเขาจะถูกลงโทษไปแล้ว แต่การที่ยังมีกลุ่มผู้ติดตามหลงเหลืออยู่ก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เผาจดหมายลับทิ้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เหลือร่องรอยใด ๆ “ท่านพี่ ท่านคิดจะทำอย่างไร?”มู่หรงถิงคือศัตรูผู้สังหารบิดามารดาของซูจิ่งสิง ซูจิ่งสิงจึงเกลียดชังมู่หรงถิงเข้ากระดูกดำ แต่สำหรับพรรคพวกที่หลงเหลืออยู่นั้น เขากลับใช้วิธีลงโทษสถานเบาชีวิตผู้คนบริสุทธิ์ เขาก็ไม่ต้องการที่จะฆ่าล้างบางน่าเสียดายที่พรรคพวกเหล่านี้กลับไม่ใช่คนฉลาด ไม่รู้จักล่าถอยไปใช้ชีวิตอย่างสงบสันโดษในป่าเขา แต่กลับมารวมตัวกันเพื่อก่อกบฏอย่าง
ซูจิ่งสิงพยักหน้าจดหมายลับฉบับนี้เพิ่งถูกส่งมาจากชายแดน องครักษ์ลับไปดักชิงมาจากกองโจรพเนจรได้ แต่น่าเสียดายที่ตัวอักษรบนนั้นไม่ใช่อักษรของต้าฉี เมื่อครู่ทั้งสองคนจึงกำลังศึกษาเนื้อหาในจดหมายลับอยู่“จดหมายฉบับนี้ก็ใกล้จะแปลเสร็จแล้ว ส่วนที่เหลือข้าจัดการต่อเอง”ซูจิ่งสิงกำชับประโยคหนึ่ง“รีบไปรีบกลับเถิด”กู้หว่านเยว่พยักหน้า แล้วรีบเดินออกไปจากประตูรถม้าของซูจิ่นเอ๋อร์จอดรออยู่ด้านนอก พอขึ้นไปบนรถม้า ก็เห็นสีหน้าที่ดูไม่สบายใจเล็กน้อยของซูจิ่นเอ๋อร์“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านมาพอดีเลย ข้ามีความลับอย่างหนึ่งจะบอกท่าน”“ความลับอะไรหรือ?”กู้หว่านเยว่นั่งลงแล้วจิบชา เด็กคนนี้เรียกนางออกมาอย่างร้อนรน คงจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างจริง ๆ ซูจิ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าลำบากใจเรื่องนี้เป็นสิ่งที่นางบังเอิญไปค้นพบเข้า เดิมทีนางไม่อยากบอกใคร แต่การเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจเพียงลำพังมันช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน คิดไปคิดมาจึงตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ใหญ่ บางทีพี่สะใภ้ใหญ่อาจจะชี้แนะแนวทางให้นางได้“พี่สะใภ้ใหญ่ ฟู่หลานเหิงไม่ใช่บุตรชายแท้ ๆ ของแม่สามีของข้า”กู้หว่านเยว่ถึงกับนึกว่าตนเองหูฝ
ฮูหยินผู้เฒ่าจูตกใจไม่น้อย “ลูกแม่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดทางการถึงได้ถอดถอนตำแหน่งของเจ้าไปอย่างกะทันหัน?”จูตั่วก็หน้าเศร้าสลด พลางโวยวายขึ้น “พี่ใหญ่ ข้าบอกทุกคนไปหมดแล้วว่า ข้ากำลังจะได้เป็นน้องสาวของขุนนางในราชสำนัก แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แล้วข้าจะออกไปเจอหน้าผู้คนได้อย่างไร?”นางเขย่าแขนเสื้อของจูจิ้งเหวิน จูจิ้งเหวินเองก็ร้อนใจราวกับมดบนกระทะร้อนอยู่แล้ว ด้วยความร้อนรน จึงสะบัดมือตบจูตั่วฉาดใหญ่“ไสหัวไป ตอนนี้ข้ากำลังกลุ้มใจอยู่ เจ้ายังจะมาก่อเรื่องวุ่นวายอีก!”“พี่ใหญ่ ท่านตบข้าหรือ?” จูตั่วกุมใบหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ มุมปากของนางบวมเป่งขึ้นมาทันที“ท่านกล้าตบข้า ขนาดท่านแม่ยังไม่เคยตบข้าเลย ท่าน...”ขณะที่จูตั่วกำลังจะอาละวาดต่อ จูจิ้งเหวินก็ถลึงตาใส่นางอย่างดุร้าย ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจูตกใจจนสงบสติอารมณ์ลงไปมาก “โตวเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน!”“ท่านแม่!”“ออกไป! กลับห้องไปหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิด อย่ามาก่อความวุ่นวายที่นี่”ฮูหยินผู้เฒ่าจูกล่าวเสียงเข้ม พร้อมกับขยิบตาให้จูตั่วอย่ามองว่าปกติแล้วจูจิ้งเหวินจะเป็นบัณฑิตผู้สุภาพ แต่เมื่อใดที่ล้ำเส้น
ไม่สู้ซ่อมแซมเรือน แล้วย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ จ้างคนรับใช้อีกสักสองสามคน วันข้างหน้าจะได้มีที่หลบหลบฝนด้วยหลังจากซ่อมแซมเรือนเสร็จแล้ว ห่าวเจินเจินยังได้ตั้งใจไปหากู้หว่านเยว่ เชิญพวกเขามาเป็นแขกที่บ้านอีกด้วยกู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงก็ยังพักอยู่ในโรงเตี๊ยมพอดี กำลังรอข่าวจากทางชายแดน และยังไม่มีแผนที่จะออกเดินทาง จึงย้ายไปพักที่จวนสกุลห่าวตามคำเชิญสองสามวัน“แม้ฮูหยินห่าวอายุยังน้อย กลับเก่งเรื่องการค้าขาย บริหารร้านค้าที่อยู่ในมือได้ดีมาก”กู้หว่านเยว่เปิดดูสมุดบัญชีเหล่านี้ ในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมห่าวเจินเจินยิ้มอย่างถ่อมตน “ฮูหยินไม่รู้หรอก ข้าเกิดในตระกูลพ่อค้า ครอบครัวของข้าทำการค้าขายตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ และซึมซับจากท่านพ่อตั้งแต่เด็ก ย่อมคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้เป็นพิเศษ”สองวันมานี้ นางก็ได้วางแผนทิศทางชีวิตของตัวเองแล้ว“ต่อไปนี้ ข้าว่าจะทำเกี่ยวกับการค้าขาย และข้าตั้งใจจะรับเลี้ยงเด็กสักคน แล้วถ่ายทอดเคล็ดลับการค้าให้กับนาง”การหย่าร้างไม่ได้แปลว่าชีวิตจะไปต่อไม่ได้แล้วขอแค่นางมีเงินมากพอ และมีเรื่องที่ตัวเองอยากทำ ชีวิตก็ยังสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคงห่า
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าส่งเงินไปขอให้ทางด้านทางการช่วยเหลือแล้ว จะต้องหาตำแหน่งดีๆ ให้ลูกแน่นอน”จูจิ้งเหวินมั่นใจในตัวเองมากฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็มีสาวใช้เดินเข้ามาจากด้านนอก “คุณชายใหญ่ เส้าฮูหยินเชิญท่านไปหาเจ้าค่ะ”จูจิ้งเหวินพยักหน้า รีบกล่าวตอบทันที “เจ้ากลับไปบอกฮูหยิน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”สาวใช้หมุนกายเดินออกไปจูจิ้งเหวินลุกขึ้นประสานมือกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าจู “ท่านแม่พักผ่อนเถอะ ลูกไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อน”บนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าจูฉายแววไม่พอใจเสี้ยวหนึ่ง “ข้ายังพูดไม่จบเลย เจ้าก็จะไปแล้ว ไปช้าหน่อยจะเป็นอะไรผู้หญิงที่เคยเรียนหนังสือนี่มันเรื่องมากจริงๆ ข้าเห็นเจ้าไปอยู่กับนางแทบตลอดเวลา นางพูดอะไรก็เชื่อฟังลูกแม่ เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะ เจ้าเป็นผู้ชาย ต้องทำตัวให้สมกับเป็นผู้ชายหน่อย”ตอนที่ซ่งอวิ้นยังไม่แต่งเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า ไม่เพียงมีความรู้ แถมยังสอบติดอันดับ พูดออกไปมีหน้ามีตาเพียงใดแต่หลังจากซ่งอวิ้นแต่งเข้ามา ในใจฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มเกิดความไม่พอใจตั้งแต่ลูกสะใภ้คนนี้แต่งเข้ามา ก็ไม่เคยมาปรนนิบ