ฉินซิวเหรินพยักหน้า “เป็นคนของพรรคกบฏ ท่านย่า ข้าทำให้พวกท่านต้องเดือดร้อนแล้ว”“อย่าพูดเช่นนี้ ครั้งแรกที่รับเลี้ยงเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าฐานะของเจ้าไม่ธรรมดา อีกทั้งข้าเห็นเจ้าเป็นหลานแท้ๆ ตั้งนานแล้ว”แม่เฒ่าฉินกล่าวพลางกุมหน้าอกกะทันหัน ท่าทางดูเจ็บปวดมาก ก่อนจะหมดสติไปโดยตรง“ท่านย่า ท่านเป็นอะไร?” ฉินซิวเหรินกับอาจูตื่นตระหนกแล้ว พวกเขารีบคุกเข่าลงที่ข้างกายแม่เฒ่าฉินแล้วเรียกไม่ขาดสายอาจูน้ำตาอาบหน้า “ท่านย่า ท่านอย่าเป็นอะไรนะ”“อาซิวทำอย่างไรดี? ท่านย่ายังไม่ฟื้นเลย หรือไม่ข้าไปขอร้องคนพวกนั้น ให้พวกเขาหาหมอมาดูท่านย่าหน่อย”ฉินซิวเหรินไม่ตอบ เดิมทีคนกลุ่มนั้นก็กำลังข่มขู่เขา หากเขาไปขอร้องคนพวกนั้นในเวลานี้ ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้คนพวกนั้น มีข้ออ้างบังคับเขาให้ทำตาม แต่เขาไม่อยากถูกดึงเข้าไปในวังวนโสมมพวกนั้น! แต่ท่านย่า…ท่านย่าเลี้ยงดูเขามาตั้งหลายปี ไม่มีท่านย่าก็ไม่มีเขาในวันนี้เขาไม่อาจยืนดูท่านย่าเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตา“ข้าไปขอร้องพวกเขาเอง” ฉินซิวเหรินลุกขึ้นจะออกไป ทันใดนั้นมีเสียงสายหนึ่งดังขึ้นในลาน “เหตุใดต้องไปขอร้องคนพวกนั้น? ข้าสามารถช่วยย่าของเจ้า” กู้ห
บทสนทนาของทั้งคู่เข้าหูกู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียวพวกเขาคาดเดาไม่ผิด ‘คุณชายน้อย’ คนนี้เป็นทายาทของมู่หรงถิงจริงๆจากบทสนทนาของทั้งคู่ กู้หว่านเยว่กับซูจิ่งสิงก็วิเคราะห์ออกเช่นกัน คุณชายน้อยคนนี้ไม่อยากร่วมมือกับพวกเขา แค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแต่ว่าในเมื่อคนกลุ่มนี้มาหาเขาแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ แน่นอนเป็นไปตามคาด สีหน้าเหยาจ้าวเปลี่ยนฉับพลัน “คุณชายน้อย ข้าอุตส่าห์คุยดีกับท่านแล้ว ท่านกลับยังคงดื้อดึง เช่นนั้นจะโทษข้าไร้มารยาทไม่ได้”“เจ้าคิดจะทำอะไร?” สีหน้าฉินซิวเหรินเปลี่ยนฉับพลัน“เหตุที่คุณชายน้อยดึงดันจะอยู่ที่นี่ ไม่อยากทำงานใหญ่ร่วมกับใต้เท้า ก็เพราะถูกคนเป่าหูไม่ใช่หรือ?ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยคงต้องจับคนที่เป่าหูท่านแทน”เหยาจ้าวพูดข่มขู่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ฉินซิวเหรินกำหนัดแน่น จากสีหน้าที่นิ่งสงบเมื่อครู่ เวลานี้กลับโกรธมาก“เจ้ากล้าแตะต้องคนในครอบครัวของข้าหรือ หากเจ้ากล้าแตะต้องพวกเขาแม้แต่ขนเส้นเดียว ข้ากับเจ้าต้องตายไปครั้งหนึ่ง!”เหยาจ้าวไม่ได้เก็บเอาคำพูดของเขามาใส่ใจเลย“หากคุณชายน้อยสามารถร่วมทำงานใหญ่กับใต้เท้า ต่อใ
กู้หว่านเยว่พลันเกิดความคิดขึ้นมา “แล้วชายชราผู้นั้นกับอดีตพระชายาฟางมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?”“พระชายาฟางเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของเขา” ซูจิ่งสิงอธิบายกู้หว่านเยว่พลันเข้าใจในทันที ที่แท้ชายชราผู้นั้นก็คือแม่ทัพฟาง เป็นบิดาของพระชายาฟาง พระชายาฟางเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงพระชายาเอกของมู่หรงถิง ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่ทัพผู้เฒ่าฟางจะสามารถรวบรวมผู้ใต้บังคับบัญชาได้มากมายถึงเพียงนี้กู้หว่านเยว่ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมา “ท่านพี่ ท่านสังเกตหรือไม่ว่า เมื่อครู่พวกเขาเอ่ยถึงคุณชายน้อยด้วย”นางมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง ทำให้ซูจิ่งสิงหันมามอง“เจ้าสงสัยว่าคุณชายน้อยผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับมู่หรงถิงหรือ?”กู้หว่านเยว่พยักหน้า สมแล้วที่เป็นท่านพี่ เดาความคิดในใจของนางออกได้ในทันที“แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ดูจากน้ำเสียงของพวกเขาแล้ว คุณชายน้อยผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลสำคัญที่พวกเขาใช้ในการลงมือข้าคิดไปคิดมา คนผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับมู่หรงถิง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นบุตรชายของมู่หรงถิง”การวิ
เหยาจ้าวปิดหน้าต่างลง “ระมัดระวังไว้ก่อนย่อมเป็นเรื่องดี สองวันนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ใต้เท้าวางใจได้ ข้าน้อยจะส่งคนไปลาดตระเวนรอบ ๆ ให้มากขึ้นอย่างแน่นอน”ชายชราพยักหน้าทั้งสองคนกระซิบกระซาบกันอีกครู่หนึ่ง เนื่องจากอยู่ในมิติและมีระยะห่างพอสมควร กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจึงไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันเห็นเพียงเหยาจ้าวพยักหน้า “จริงสิใต้เท้า แล้วฮูหยินราชทูตที่จับตัวกลับมาจะจัดการอย่างไรดีขอรับ?”ชายชราลูบเคราของตน “กักบริเวณนางไว้ก่อน ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะมีประโยชน์”ในเมื่อเป็นคนที่ท่านราชทูตคนนั้นพาติดตัวมาตลอด คงจะเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าในช่วงเวลาที่สำคัญอาจจะนำออกมาใช้เพื่อควบคุมราชทูตคนนั้นได้“ใต้เท้ามิต้องกังวล ราชทูตพวกนั้นที่ทางราชสำนักส่งมาล้วนอ่อนแอไร้ความสามารถ ไม่ได้เรื่องอะไรเลย แค่พวกเราดำเนินการตามแผน ถึงเวลาที่ด่านเซียวเกิดความโกลาหล พวกเราก็ฉวยโอกาสยึดเมืองที่อยู่ใกล้เคียงสองสามแห่ง ราชทูตตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่มีองครักษ์ลับอยู่แค่ไม่กี่คน จะทำอะไรพวกเราได้?” เหยาจ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ชายชราลูบเคราของตน “ถึงอย
กู้หว่านเยว่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ดูแล้วเหมือนสตรีไร้สมองคนหนึ่ง คนชุดดำจึงไม่ใส่ใจนางอีกต่อไป ผลักนางเข้าไปขังไว้ในห้อง“เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้คนข้างในหนีไปได้” คนชุดดำสั่งการจบ ก็มีทหารยามสองคนเข้ามาล็อกประตู แล้วยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูคนละฝั่ง“ปล่อยข้าออกไปนะ ปล่อยข้าออกไป...” กู้หว่านเยว่แสร้งทำเป็นทุบประตู เมื่อเห็นว่าคนชุดดำด้านนอกเดินไปไกลแล้ว นางจึงเริ่มสำรวจห้องที่อยู่ตรงหน้าเป็นไปตามที่นางคาดไว้ สถานที่แห่งนี้เดิมทีน่าจะเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง คนต่างถิ่นกลุ่มนี้น่าจะเข้ามายึดครองหมู่บ้านนี้ แล้วใช้หมู่บ้านนี้เป็นฐานที่มั่น ดูจากร่องรอยในห้องแล้ว พวกเขาน่าจะมาถึงได้ไม่นานเพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้คนในหมู่บ้านนี้หายไปไหนกันหมด หรือว่าจะถูกคนกลุ่มนี้จัดการไปแล้ว?กู้หว่านเยว่ใช้เทเลพอร์ต ออกจากห้องมายังนอกหมู่บ้าน แล้วหยิบพลุสัญญาณที่ใช้ติดต่อกับซูจิ่งสิงออกมา ยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ซูจิ่งสิงก็ขี่ม้ามาถึง“น้องหญิง เป็นอย่างไรบ้าง?”“เจอฐานที่มั่นของพวกเขาแล้ว อยู่ในหมู่บ้านนี้เอง แต่ข้ายังไม่ได้เริ่มสำรวจ ไม่รู้ว่าทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดหรือไม่” กู้หว่านเยว่บอกตามค
เมื่อครู่ในรถม้า กู้หว่านเยว่ได้สบตากับซูจิ่งสิงแล้วการออกตามหาร่องรอยของกลุ่มกบฏเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สู้ใช้แผนซ้อนแผน แสร้งทำเป็นถูกพวกเขาจับตัวเป็นเชลย เพื่อตามหาแหล่งกบดานของพวกเขาจะดีกว่าเมื่อหาแหล่งกบดานของพวกเขาเจอแล้ว ค่อยยิงพลุสัญญาณออกไป ถึงตอนนั้นซูจิ่งสิงก็จะนำคนมาสมทบเองกู้หว่านเยว่สังเกตสถานการณ์รอบด้านไปพลาง จดจำเส้นทางไว้ในใจเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น นางจึงซ่อนตัวอยู่ในกระสอบป่าน ไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย“ระวังตัวกันหน่อย ฐานะของหญิงผู้นี้ไม่ธรรมดา พาตัวนางกลับไป ให้หัวหน้าเป็นผู้ตัดสิน”คนชุดดำที่แบกกู้หว่านเยว่อยู่เอ่ยสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“ขอรับ” คนชุดดำคนอื่น ๆ ต่างขานรับ แล้วเร่งความเร็วในการเดินทางและคำพูดของคนกลุ่มนี้ก็ทำให้กู้หว่านเยว่วางใจได้อย่างสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของนางไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว กู้หว่านเยว่รู้สึกว่านางถูกพาเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง“หมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากด่านเซียวเพียงหนึ่งวันเดินทาง ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังวางแผนการชั่วร้ายอะไรบางอย่างอยู่ในหมู่บ้านนี้”กู้หว่