กู้หว่านเยว่ทำได้เพียงหันกลับมากำชับหลี่เฉินอัน “เจ้าก็อยู่ห่างพวกเขาหน่อย อย่าเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด”“ข้ารู้แล้ว” หลี่เฉินอันกล่าวด้วยแววตาหม่นหมองไม่ว่าจะเกลียดชังเพียงใด ก็ต้องอดทนไปจนถึงเจดีย์หนิงกู่รอบตัวของสวีหลานเต็มไปด้วยนักฆ่าและองครักษ์ หากพวกเขาเจอกัน ชีวิตของเขาก็คงจบสิ้น“ไปหาที่พักก่อนเถอะ”ซุนอู่เจรจากับนักพรตอยู่ในอารามเต๋าพักใหญ่ จนได้ห้องนอนรวมหนึ่งห้องกลุ่มคนทยอยกันเข้าไปจับจองเตียงภายในห้อง แต่เรื่องที่ทำให้กู้หว่านเยว่ต้องตกตะลึงก็คือการที่พวกเขาเจอกับนักโทษอีกกลุ่มหนึ่งที่นี่พวกเขาอยู่ห้องนอนรวมถัดจากห้องของพวกนาง“ฮ่องเต้น้อยชอบเนรเทศคนจริง ๆ สินะ”กู้หว่านเยว่กลับไม่ได้ประหลาดใจ ทันทีที่เดินทางมาถึงเจดีย์หนิงกู่ กลุ่มนักโทษจากทั่วสารทิศต่างค่อย ๆ มารวมตัวกันที่นี่“พวกเขาน่าเวทนายิ่งนัก....”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าวกระซิบเสียงเบานักโทษที่อยู่ในห้องนอนรวมถัดจากพวกนางต่างมีร่างกายซูบผอม ไร้เรี่ยวแรงเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณเทียบกับพวกเขาแล้ว นับว่าพวกเขาโชคดีกว่ามาก“อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น” ซูจิ่งสิงกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเย็นชาเห็นได้ชัดว่าระหว่างทางนักโทษกล
นางมักจะรู้สึกว่าซูหรานหร่านไม่มีวันหนีไปเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่เรื่องเป็นมาอย่างไรนั้นนางเองก็ไม่รู้เมื่อเห็นนักการออกตามหานาง กู้หว่านเยว่จึงให้ซูจิ่นเอ๋อร์เก็บไส้กรอกนั้นไว้“ทำไมที่นี่ถึงได้เสียงดังเช่นนี้?”หวังปี้เดินเข้ามา และเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้กู้หว่านเยว่คิดว่าเขาคงจะรู้จักซูหรานหร่าน จึงไม่ได้ปิดบังอะไร“ซูหรานหร่านหายตัวไป”“หายตัวไป? อยู่ดี ๆ ทำไมนางถึงหายตัวไปล่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์กล่าว “ก็บ้านสกุลซูบอกว่านางหนีไปแล้ว”หวังปี้แปลกใจ ดูจากท่าทีที่อ่อนโยนและเข้มแข็งของแม่นางซูแล้วไม่เหมือนกับคนที่คิดหนีเลยสักนิด หรือว่าจะมีการเข้าใจผิด?“จริงสิ ยาแก้ปวดของท่านอ๋องหมดแล้ว แม่นางกู้พอจะมีเวลาไปดูให้หน่อยได้หรือไม่”ยาแก้พิษยังไม่ได้รับการวิจัยออกมา ดังนั้นหลายวันมานี้ หนานหยางอ๋องจึงยังคงคอยตามพวกเขากู้หว่านเยว่ลุกขึ้นไปหยิบกล่องยา “มาแล้ว”“ข้าจะไปกับท่าน”ซูจิ่งสิงได้ยินดังนั้นก็รีบเก็บธนูแขนเสื้อที่ใช้เวลาในการวิจัยมาหนึ่งวันเต็ม เขาขยี้ตาที่แดงก่ำเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและตามพวกนางออกไปหนานหยางอ๋องพักอยู่โรงเตี๊ยมด้านหน้า หวังปี้ถือโคมไฟเดินนำทางอยู่ด้านห
กู้หว่านเยว่พยายามอดกลั้นอาการคลื่นไส้ ก่อนจะหาวิธีทำให้ทั้งสองแม่ลูกหมดสติ นางกล่าวกับหวังปี้ว่า“ตามคนเหล่านี้ แล้วส่งตัวให้กับท่านอ๋องอาวุโส”นักโทษสามคนนี้สมควรตาย“แม่นางซูทำอย่างไรดี?” หวังปี้มองดูซูหรานหร่านที่นอนอยู่บนพื้น ก่อนจะเอ่ยถามอย่างกังวลทางฝั่งของซูจิ่งสิงได้นำตัวทั้งสามคนมามัดไว้ด้วยกัน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็จนปัญญาเช่นกัน“ข้าต้องจัดการกับครอบครัวนี้” ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มีวันได้ออกไปลักพาตัวหญิงสาวคนอื่นอีก“ดูท่าทางคงต้องขอร้องพี่ใหญ่หวังเสียแล้ว”กู้หว่านเยว่เขย่ากล่องยาในมือหวังปี้พยักหน้า เขาไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เวลานี้เขามัวแต่กลัวว่าคนเหล่านั้นจะทำลายความบริสุทธิ์ของซูหรานหร่านแต่แล้วเขาก็ฉุกคิดได้ ตอนที่เขาเร่ร่อนอยู่ด้านนอก เขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดมากเขาโน้มตัวลงและทำการแบกคนเหล่านั้น“พาตัวนางไปไว้ในเรือนรับแขกก่อน หากพานางกลับไปยังเตียงนอนรวมคงได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอย่างแน่นอน”เห็นได้ชัดว่าซูหรานหร่านอยู่ในอาการตื่นตระหนก หากนางกลับไปมีหวังคงถูกคนในสกุลซูด่ากราด สู้ให้นางพักอยู่ด้านนอกก่อน“ได้ เช่นนั้นข้าจะพาน
หนานหยางอ๋องยังไม่ทันได้สติ “เหลาหลี่ เสี่ยวอู่เป็นอะไร?”ท่านแม่ทัพหลี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“หลายวันมานี้ ข้าเห็นพ่อหนุ่มคนนี้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ก็เลยจับตาดูเขาอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งข้าเห็นเขาเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอก และยังแอบปล่อยนกพิราบส่งข่าวออกไปหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าส่งจดหมายรายงานนายท่านคนไหน!”ใบหน้าของเสี่ยวอู่ปูดบวม ไม่กล้าสบตากับหนานหยางอ๋อง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างหดหู่ใจหนานหยางอ๋องได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่าง สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมลง“เสี่ยวอู่ เจ้าจะทำอะไร?”เสี่ยวอู่ไม่กล้าเอ่ย ในใจของเขาทราบดีว่าตัวเองจบสิ้นแล้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ท่านแม่ทัพหลี่ยกเท้าเตะเขาอย่างไม่สบอารมณ์“เจ้ามันคนขี้ขลาด กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ? เจ้าเองก็รู้ว่าข้าคือคนช่วยชีวิตเจ้า เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ? โชคดีที่ข้าสกัดกั้นเส้นทางการบินของนกพิราบส่งข่าวเอาไว้ได้ ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป!”ท่านแม่ทัพหลี่หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา บนปีกของนกตัวนั้นเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เท้าของมันถูกมัดด้วยกระดาษม้วนหนึ่ง“หยิบมาให้ข้า”หนานหยางอ๋องยื่นมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่อ่านไม่นานตัวของเขาก็สั่นเท
พิษที่กินเข้าไปเป็นพิษร้ายแรงถึงขั้นคร่าชีวิต“เสี่ยวอู่ตายแล้ว เบาะแสสำคัญก็จบสิ้น”ท่านแม่ทัพหลี่พึมพำเบา ๆ แต่ทุกคนรู้แก่ใจดี คนที่วางยาพิษ มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นฮ่องเต้น้อยถึงอย่างไรนอกจากเขาแล้ว จะยังมีใครที่กล้าลงมือในราชวงศ์เช่นนี้กู้หว่านเยว่มองหนานหยางอ๋องด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋อง ต่อไปท่านจะทำอย่างไร?”กู้หว่านเยว่คิดว่าอีกฝ่ายจะต้องวางแผนเอาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นก็อาจจะมีจุดจบแบบเดียวกับซูจิ่งสิงหนานหยางอ๋องกลับจมอยู่ในความคิดก่อนจะรีบส่ายหน้า“เรื่องนี้ ยังตัดสินว่าเป็นฝีมือของใครไม่ได้ ไว้ข้ากลับไป ข้าจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”หากเป็นฝีมือของฮ่องเต้จริง ๆ .... หนานหยางอ๋องคงเจ็บปวดไม่น้อยดั่งคำกล่าวที่ว่า ฮ่องเต้สั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตายหนานหยางอ๋องคือขุนนางอาวุโส และมีความจงรักภักดีมากแทนที่จะบอกว่าเขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ สู้บอกว่าเขาจงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าฉีดีกว่า“ตราบใดที่ประชาชนของลั่วอันอยู่กันอย่างสงบสุข ข้าจะยอมกล้ำกลืนฝืนทนลืมสิ้นความแค้น”หนานหยางอ๋องกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม กู้หว่านเยว่อดมองอีกฝ่ายไม่ได้คนคนนี้ใส่ใจประชาชนอย่างมากเ
“อย่ากังวล พวกเขาไม่เป็นอะไร”กู้หว่านเยว่ไม่มีทางพูดหรอกว่าคนเหล่านั้นถูกทุบตี ในสายตาของนาง กลุ่มคนสกุลซูนั่นไม่มีค่าอะไร ซูหรานหร่านไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาอีกต่อไปหลายคนเดินกลับไปด้วยกัน สุดท้ายก็พบซุนอู่ที่ออกมาตามหาคนพอดี“เกิดอะไรขึ้น?” ซุนอู่เดินขึ้นหน้ามาด้วยสีหน้าเย็นชาซูหรานหร่านตกใจกับความดุดันของซุนอู่ รีบบอกว่า “ท่านนักการซุน ข้าไม่ได้หนี ข้า...”“ถ้าเจ้าไม่ได้หนีเหตุใดกลางดึกถึงไม่เห็นแม้เงา?!”“พี่ใหญ่ซุน ใจเย็นก่อน”กู้หว่านเยว่ดึงเขาไปทางด้านหนึ่ง แล้วอธิบายความเป็นมาเป็นไปภายในภูเขาจำลองโดยละเอียดซุนอู่ฟังจบก็ขนหัวลุกไปเลย “เจ้าพูดจริงหรือ?”“เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ยังโกหกได้อีกหรือ? คนคนนั้นได้ถูกส่งมอบให้หนานหยางอ๋องไปจัดการแล้ว”ซุนอู่รู้เช่นกันว่ากู้หว่านเยว่จิตใจสูงส่ง ไม่อาจโกหกเพื่อช่วยซูหรานหร่านให้พ้นผิด เขาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที“บ้าบอชะมัด โหดเหี้ยมกันทั้งกลุ่ม!”กู้หว่านเยว่ช่วยอธิบาย “โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร ซูหรานหร่านก็ไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวครั้งนี้อย่าตำหนินางอีกเลย”ซุนอู่พยักหน้า แสร้งทำเป็นโกรธพร้อมกับเอ่ยปากเตือนสองสามประโยค“ในเมื่อแ
ซูหัวหยางบ่นพึมพำกลับไป นางจินต้องการดูแลซูหรานหร่าน แต่กลับถูกซูหัวหยางดุด่าเป็นชุด จึงปาดน้ำตาจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ส่วนซู่เช่อก็ถอนหายใจพลางเหลือบมองซูหรานหร่าน ก่อนออกไปเช่นกันท่าทีเย็นชาของคนในครอบครัว ทำให้ซูหรานหร่านรู้สึกใจหายจริง ๆ“ขุนพลหวัง ขอบคุณท่านที่พูดแทนข้าเมื่อครู่”“ไม่เป็นไร สมควรแล้ว ข้าเป็นคนเถรตรง เจ้าไม่หาว่าข้ายุ่มย่ามก็ดีแล้ว”หวังปี้มองหญิงสาวบอบบางตรงหน้า ความสงสารผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจซูหรานหร่านปาดน้ำตา พลางหันไปฉีกยิ้มให้กู้หว่านเยว่ ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเวลาร้องไห้เสียอีก“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ากลับก่อนล่ะ”พูดจบ ก็เดินไปที่ข้างเตียงของตัวเอง หยิบเสื้อนวมขึ้นมาเย็บเงียบ ๆเมื่อเห็นซูจิ่นเอ๋อร์แอบสะกิดข้างตัวซูหรานหร่าน กู้หว่านเยว่ก็ไม่ได้เข้าไปปลอบใจ พลางหันไปพูดกับหวังปี้“นักโทษเนรเทศข้างบ้านกลุ่มนั้น รบกวนท่านช่วยไปเคาะเรียกสักหน่อย”“เรื่องเล็กน้อย”หวังปี้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจทางด้านนี้หลังจากกู้หว่านเยว่เข้ามาในเรือน ก็หาสถานที่สำหรับปรุงยาถอนพิษ ใช้เวลาไปหลายชั่วยามจนในที่สุดก็ปรุงยาออกมาได้สำเร็จก่อนอื่นก็เข้าไปในมิติ โยนเข้าไปในหอแ
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเหาะหนี ประตูเรือนก็เปิดออกในทันใด คนชุดดำสองคนลากหลี่เฉินอันที่ถูกมัดแขนไพล่หลังออกมาเมื่อเห็นหลี่เฉินอันถูกปิดปาก พยายามดิ้นรนไม่หยุด กู้หว่านเยว่ก็กุมขมับ“อย่าเพิ่งไปช่วยเขา ให้เขาได้รับบทเรียนเสียบ้าง”“อืม”ซูจิ่งสิงก็พยักหน้าเช่นกัน เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้ กล้าที่จะบุกเดี่ยวไปแก้แค้น“จะจัดการเขายังไงดี?” คนชุดดำคนหนึ่งในเรือนถามด้วยเสียงแหบพร่า“ฮูหยินใหญ่นับถือพุทธ อย่าฆ่าคนในวัด”“หลังเขามีทะเลสาบน้ำแข็งอยู่ โยนลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งเถอะ”อีกคนกล่าวขึ้น ทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน ก่อนจะเหาะไปทางหลังเขาเมื่อมาถึงทะเลสาบน้ำแข็ง คนชุดดำคนหนึ่งก็มัดหลี่เฉินอันไว้กับก้อนหิน จากนั้นก็ผลักเขาลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งพร้อมกับก้อนหิน“จุ๊ ๆ คราวที่แล้วปล่อยเด็กอย่างเจ้าให้หนีไป ยังจะกลับมาติดกับดักเอง รนหาที่ตายจริง ๆ”คนชุดดำทอดถอนใจออกมาอีกหลายคำ ดวงตาของหลี่เฉินโกรธแค้น ดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็ถูกน้ำหนักของหินดึงลงไปใต้น้ำเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรอด คนชุดดำทั้งสองก็หันหลังเดินจากไปทันทีที่หันไป ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังพว
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้