ขณะที่เซิ่งจวินต้องการแบกฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งขึ้นหลัง รอบข้างมีคนสองถึงสามคนล้มลงไปหนึ่งในนั้น ยังเป็นคนของนักการแห่งศาลาว่าการแม้คนอื่นยังไม่ล้มลงไป แต่ร่างกายที่กำลังโงนเงนกลับทนต่อไปได้อีกไม่นานแล้วทันใดนั้นทุกคนต่างก็กระวนกระวายอยู่บ้าง“พวกเราโดนพิษแล้วหรือไม่ เหตุใดข้าคิดว่าหลังเข้าป่านี้แล้ว หายใจก็ลำบาก ยิ่งอยู่นานยิ่งเวียนหัว”“ทำอย่างไรดี พวกเราจะตายที่นี่หรือไม่?”“ข้าไม่อยากตายนะ...”เสียงตื่นกลัวของคนรอบกายพลันดังขึ้นมา ทันใดนั้นทุกคนถูกบรรยากาศตึงเครียดล้อมไว้“หุบปากให้หมด พูดส่งเดชอันใด รีบลุกขึ้นมาเดินทาง!”ซุนอู่ตะโกนเสียงดังสีหน้าเย็นชา ลองระงับคำพูดชวนให้คนว้าวุ่นใจเหล่านี้ จากนั้นตัวเขาเองก็รู้สึกไม่สบายเฉกเดียวกันจางเอ้อร์กระซิบข้างหูเขาอย่างตื่นตระหนก “หัวหน้า ท่านเห็นหมอกขาวเหล่านั้นที่ปกคลุมบนต้นไม้ในป่าหรือไม่ เกรงว่าพวกเราเผชิญกับไอพิษในตำนานแล้ว”ไอพิษ?แม้ทุกคนไม่เคยพบไอพิษมาก่อน แต่มากน้อยอย่างไรก็เคยได้ยินมาบ้าง หากหลงเข้าไปในป่าไอพิษ สามารถกลับออกมาได้น้อยมาก กึ่งหนึ่งล้วนโดนพิษตายอยู่ในนั้นบัดนี้สีหน้าทุกคนซีดเผือดหัวใจซุนอู่หนักอึ้งลง
“มา ทุกคนมารับน้ำแกงยาคนละถ้วย ดื่มแล้วค่อยออกเดินทาง”กู้หว่านเยว่ถือกระบวย แจกจ่ายน้ำแกงยาให้ทุกคนนักการแห่งศาลาว่าการย่อมถูกจัดอยู่หัวแถว รอจนกระทั่งแจกจ่ายให้นักการแห่งศาลาว่าการทั้งหมดแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เลือกแจกจ่ายหลายตระกูลที่มีไมตรีอันดีต่อกัน ยกตัวอย่างเช่นสกุลเหยียน สกุลหลี่และสกุลเซิ่งจากนั้นจึงมอบให้ตระกูลอื่น ส่วนสกุลซูกลับถูกนางมองข้ามโดยตรงนางเฉียนถือถ้วยเปล่าจับจ้องกู้หว่านเยว่สาดน้ำแกงที่เหลือทิ้งแต่ไม่มอบให้พวกเขา สบถด่าอย่างอดไม่ได้“กู้หว่านเยว่ เจ้าเป็นคนอกตัญญูใช่หรือไม่ ดีร้ายอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายินดีช่วยคนนอก แต่ไม่ช่วยคนของตน?!”กู้หว่านเยว่ยักไหล่ทั้งสองข้าง “ตัดญาติแล้ว”“เจ้า!”บัดนี้หลายบ้านนั้นนึกเสียใจภายหลังอย่างมากเริ่มแรกกลัวบ้านสามเป็นภาระ จึงตัดญาติกับพวกเขาอย่างอดรนทนแทบไม่ไหวใครจะรู้กู้หว่านเยว่ยังเป็นวิชาแพทย์ ระหว่างทางนำของกินอย่างดีมาให้บ้านสามบัดนี้คิดดูแล้ว ก็มีเพียงหนึ่งคำ เสียดาย!ทว่าน่าเสียดายบนหนังสือตัดญาติล้วนเขียนไว้แล้ว เสียดายภายหลังก็ไม่มีประโยชน์คนบ้านเดิมสกุลซูที่กำลังเวียนหัวทำได้เพียงไปฟ้
ทว่ายามมองเงาด้านหลังของกู้หว่านเยว่ ซูจิ่งสิงไม่รู้เพราะเหตุใดกลับยิ่งเจ็บปวดหัวใจทางด้านนี้หลี่ซือซือรีบเก็บยาสมุนไพร เลียนแบบกู้หว่านเยว่ต้มยาสมุนไพรแจกจ่ายให้ทุกคนกินอาจได้ผลทางจิตใจ ทุกคนดื่มน้ำแกงยาเข้าไปแล้วก็สดชื่นขึ้นไม่น้อยแม้แต่นางเฉียนก็เห็นหลี่ซือซือเข้าตามากขึ้นเพียงแต่ยามเมื่อพวกเขาตามคาราวานออกเดินทางไปพร้อมกัน ก็รู้สึกผิดปกติท้องร้องโครกครากไม่หยุด ถัดมาก็รู้สึกปวดอยู่พักหนึ่งซูอวี่เป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว “ข้าปวดท้องยิ่งนัก อยากไปปลดทุกข์...”คนอื่นเองก็ขมวดคิ้วแน่น “ข้าเองก็ปวดท้องมาก อยากผายลมยิ่งนัก!”“อย่าผายลมเป็นอันขาด อย่าเชื่อว่าปวดท้องต้องผายลม พวกเราไปขอให้ท่านนักการหยุดพักสักครู่เถอะ” ซูหัวหลินรีบพูดทางด้านหน้า ซุนอู่กำลังถือคบเพลิงเพื่อบุกเบิกเส้นทาง ออกจากป่าไอพิษให้ได้โดยเร็วป่าไอพิษนี้ยิ่งอยู่นานเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น เขาย่อมไม่มีวันหยุดพักเพียงเพราะบ้านเก่าสกุลซูปวดท้อง“ปวดท้องหรือ? อดทนเสีย”“ท่านนักการ ทนไม่ไหวแล้ว!” หลายคนจับก้นแน่น ใบหน้าเขียวคล้ำ“ทนไม่ไหวก็ต้องทน หาไม่แล้วก็ถ่ายใส่กางเกงไปเถอะ!”นักการแห่งศาลาว่าการพูดจบก็
เพียงพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนคล้ายเข้าใจแล้ว สายตาตำหนิระคนขุ่นเคืองของแต่ละคนถลึงมองทางหลี่ซือซือหลี่ซือซือกุมอกหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไร้กำลัง หมาป่าตาขาวกลุ่มนี้ นางเก็บยาสมุนไพรก็เพื่อพวกเขานะ ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็โดนพิษเฉกเช่นเดียวกัน เหตุใดไม่มีใครห่วงใยนาง ตรงกันข้ามล้วนตำหนินาง?ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้นางเองก็หมดหนทางแล้ว บนตัวนางไม่มีเงินเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำระหว่างเดินทางถูกเนรเทศ หากออกห่างจากคนของบ้านเก่าสกุลซู นางคงมีชีวิตรอดไม่เกินสองวันดังนั้นระหว่างเดินทาง คนของบ้านเก่าสกุลซูจึงสบถด่าหลี่ซือซืออย่างแสบทรวงเลยทีเดียวเดิมทีซูจิ่นเอ๋อร์ไม่อยากสนใจหลี่ซือซือ แต่ได้ยินคำพูดโหดเหี้ยมเหล่านั้นก็มิอาจอดทนไหวแล้ว“พวกเขาทำเกินไปแล้วหรือไม่ เดิมทีหลี่ซือซือก็หวังดีอยากช่วยพวกเขา ก็แค่เก็บยาสมุนไพรมาผิด นี่ด่าหยาบคายเกินไปแล้วกระมัง”กู้หว่านเยว่กลับไม่แปลกใจ “เจ้ามิได้เห็นปากของพวกเขาเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ยามมีผลประโยชน์ พวกเขาก็ยกยอเจ้า ไม่มีประโยชน์แล้ว ก็ถีบเจ้าไปที่ฝั่งหนึ่ง”พูดจบก็ครุ่นคิดพลางหันมองซูจิ่งสิงมุมปากซูจิ่งสิงกระตุกขึ้น เหตุใดรู้สึกว่านางกำลังว่าตนเองก
ฉูโจวเจริญรุ่งเรือง ร้านรวงบนถนนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเหมือนกับครั้งก่อน พวกเขาเหล่านักโทษไม่สามารถอาศัยที่ศาลาพักม้าได้เพียงเข้าเมือง ซุนอู่ก็พาทุกคนไปยังโรงเตี๊ยมราคาถูกแห่งหนึ่ง จากนั้นจัดแจงฟูกนอนรวมให้พวกนักโทษหนึ่งห้องครั้งนี้ ทุกคนมิได้เข้าไปแย่งกันนอน แต่กลับเลือกตำแหน่งดีที่สุดไว้ให้พวกกู้หว่านเยว่“แม่นางกู้ เตียงเตาที่อยู่ข้างในนี้ยกให้พวกเจ้านอนก็แล้วกัน”“ใช่แล้ว เตียงเตาข้างในสะอาดที่สุด นอนหลับก็เงียบสงบ ให้พวกเจ้านอนเถอะ”ทุกคนต่างพากันพูดกู้หว่านเยว่ “เช่นนี้เกรงใจ...”“มีอันใดให้เกรงใจกัน หากมิใช่เพราะแม่นางกู้ช่วยพวกเราเอาไว้ พวกเราก็ตายอยู่ในป่าไอพิษตั้งแต่แรกแล้ว”“ใช่แล้วๆ แม่นางกู้อย่าปฏิเสธเลย ไปนอนกับครอบครัวของเจ้าที่ภายในเถอะ”ทุกคนพูดอย่างจริงใจกู้หว่านเยว่มองสถานการณ์ก็ไม่เกรงใจแล้ว มีสถานที่เงียบสงบให้พักผ่อนแห่งหนึ่ง อีกเดี๋ยวสกุลหลินมาก็พูดง่ายแล้ว“ขอบคุณทุกท่านมาก!” กู้หว่านเยว่พูดขอบคุณทุกคน จากนั้นช่วยพวกนางหยางขนของจากเกวียนไปที่เตียงเตาด้านในสุดส่วนทางฝั่งบ้านเก่าสกุลซู พวกเขาเข้ามาเลือกเตียงเตาไม่ทันเสียด้วยซ้ำทันทีที่เข้ามาถึงโ
หลินหรูไห่พูดอย่างรู้สึกผิด “น้าไม่มีความสามารถ หากสามารถเป็นขุนนางคนหนึ่งได้ ก็สามารถดูแลเจ้าระหว่างเดินทางเนรเทศได้”สกุลหลินทำการค้ามาหลายชั่วอายุคน ในมือมีเงินแต่ไร้อำนาจ มีฐานะต่ำที่สุดของสังคมเพราะเหตุนี้ แรกเริ่มสกุลหลินถึงส่งลูกสาวไปแต่งงานที่จวนโหว ปรารถนาเพียงให้นางหลุดพ้นจากชีวิตลำเค็ญ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารหรือเสื้อผ้าอีกใครจะคาดคิด...ชายหลายใจคนนั้นของจวนโหว ถึงขั้นทรมานมารดาของกู้หว่านเยว่จนตายกู้หว่านเยว่รีบปลอบทุกคน“ท่านน้าอย่าโทษตัวเองเลย ยิ่งไปกว่านั้นข้าเพียงถูกเนรเทศ มิใช่ไปตายเสียหน่อยรอไปถึงหนิงกู่ถ่าอย่างปลอดภัยแล้ว ข้าจะต้องเขียนจดหมายถึงพวกท่าน หากภายภาคหน้ามีโอกาสก็สามารถกลับมาพบหน้ากันได้ ข้าจะกตัญญูต่อพวกท่านอย่างแน่นอน”คำพูดรู้ความถูกเปล่งออกมา ทำให้คนเหล่านั้นขอบตาร้อนผ่าว ร้องไห้สะอึกสะอื้นหากเป็นไปได้ พวกเขาอยากรั้งกู้หว่านเยว่ไว้ มิให้นางไปตกระกำลำบากที่หนิงกู่ถ่ากู้หว่านเยว่เห็นพวกเขาร้องไห้โอดครวญยกใหญ่ รู้สึกทุกข์ภายในใจแต่นางไม่มีเวลาเสียใจมากมายนัก ต้องคิดหาทางเล่าเรื่องสกุลหลินถูกโจรปล้น ถึงจะสามารถยับยั้งโศกนาฏกรรมเอาไว้ได้ค
บังเอิญนายท่านผู้เฒ่าหลินเองก็อยากสนทนากับซูจิ่งสิงพอดีอย่างไรเสียกู้หว่านเยว่ก็คือหลานสาวสุดที่รักของพวกเขา ส่วนซูจิ่งสิงเป็นหลานเขยของพวกเขา เป็นคนที่กู้หว่านเยว่ต้องพึ่งพาอาศัยทั้งชีวิตนายท่านผู้เฒ่าหลินมาที่เตียงเตา เพ่งพิศซูจิ่งสิงซูจิ่งสิงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ทำความเคารพเขาในฐานะผู้น้อยทีหนึ่งจากนั้นสุขุมหนักแน่นดุจภูเขาไท่ซาน ตั้งแต่เริ่มจนจบยิ้มน้อยๆ อย่างมีมารยาท ปล่อยให้นายท่านผู้เฒ่าหลินสำรวจตนเองอย่างอิสระอันที่จริง นายท่านผู้เฒ่าหลินไม่ค่อยพอใจซูจิ่งสิงอยู่ภายในใจหลานสาวเพิ่งแต่งงานเข้าไปก็ต้องเดือดร้อนถูกเนรเทศไปด้วยกัน ยังกลายเป็นคนพิการอีก มีครอบครัวญาติที่ใดจะชมชอบแต่สบมองสีหน้าสุขุมหนักแน่นของซูจิ่งสิง นายท่านผู้เฒ่าหลินเองจะไม่ยอมรับคงไม่ได้ ว่าเด็กคนนี้มีรัศมีไม่ธรรมดาเขาเป็นฝ่ายนั่งลงพูดคุยกับซูจิ่งสิงก่อนกู้หว่านเยว่มองอยู่ที่ฝั่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าซูจิ่งสิงพูดอะไรกับท่านตามองเห็นท่านตาเผยสีหน้าใคร่ครวญหนักใจเป็นอย่างแรก ต่อมาค่อยๆ เผยสีหน้าเลื่อมใสในที่สุดทั้งสองสนทนากันราวสิบกว่านาที ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนแม้กู้หว่านเยว่แปลกใจ แต่กลัวทำให้แผน
“ครอบครัวพวกเขาอยู่อย่างถ่อมตน ไม่เคยมีปัญหากับผู้อื่น ที่เหลือก็มีเพียงศัตรูทางการค้าแล้วส่วนที่สามารถทำเรื่องฆ่าล้างตระกูลพรรค์นี้ได้ จะต้องหาคนชั่วเสียยิ่งกว่าชั่วในยุทธภพ คนเช่นนี้จ้างวานยากนักดังนั้น ข้าจึงถามว่าช่วงนี้มีโจรนักฆ่าหนีมายังฉูโจวหรือไม่”กู้หว่านเยว่ฟังการวิเคราะห์โดยละเอียดของซูจิ่งสิงแล้ว สายตาชื่นชมอย่างอดไม่ได้สมองของชายคนนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง เวลาสั้นๆ ถึงขั้นวิเคราะห์ออกมาได้มากเพียงนี้“ถ้าอย่างนั้นท่านตาสามารถสืบหาคนอยู่เบื้องหลังได้หรือไม่?”“ย่อมได้ เจ้าวางใจ คนมีความคิดลึกซึ้งเพียงนี้มีไม่กี่คน ท่านตาของเจ้าตั้งข้อสันนิษฐานดูสักหน่อยก็เดาออกแล้ว”ซูจิ่งสิงพูดจบ ครู่ต่อมาลูบผมนางเป็นการปลอบนี่เป็นเพราะเรื่องของสกุลหลินทั้งคู่จึงคืนดีกันชั่วคราว ลูบผมแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องอึดอัดใจต่อกัน ถัดมาหันมองอีกฝ่ายสายตาสอดประสานกัน พลันเกิดความรู้สึกประหม่า เบือนหน้าหนีเร็วรี่กู้หว่านเยว่รีบลุกขึ้น พูดอย่างประหม่า “เอ่อ ขอบคุณท่าน...”แววตาซูจิ่งสิงหม่นลง “ครอบครัวของเจ้าก็คือครอบครัวของข้า ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”อะไรเรียกว่าครอบครัวของ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้