คุณชายอายุเกือบยี่สิบห้าแล้ว ไม่เด็กแล้ว กว่าจะชอบใครสักคนก็ไม่ง่ายเลยเขาที่เป็นบ่าวรับใช้ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ไม่จำเป็น” จินโหย่วเฉียนพูดอย่างเปิดเผย “สุภาพบุรุษไม่ควรฉวยโอกาสในยามที่ผู้อื่นอ่อนแอ”พูดจบ ก็พาบ่าวรับใช้ขี่รถจากไปด้านนี้ หลังจากที่ซูจิ่นเอ๋อร์ถูกฟู่หลานเหิงปฏิเสธ นางก็กลับเข้าไปในห้องร้องไห้อยู่หนึ่งชั่วยามจนกระทั่งนางหยางเรียกให้นางไปทานข้าวเย็น นางถึงได้หยุดส่องกระจก แล้วมองดวงตาบวมแดงในกระจกซูจิ่นเอ๋อร์ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ จึงแสร้งบอกว่าตัวเองไม่สบายเพราะตกน้ำ อยากจะนอนพัก“หรือว่าจะเป็นหวัด? แม่จะให้พี่สะใภ้ใหญ่มาดูอาการให้เจ้า”นางหยางเป็นห่วงลูกสาวมาก จึงจะรีบไปตามกู้หว่านเยว่ซูจิ่นเอ๋อร์รีบเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรท่านแม่ ข้าแค่ตกน้ำ รู้สึกง่วงนิดหน่อยนอนหลับสักพักก็หายแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่กำลังตั้งครรภ์ อย่าไปรบกวนนางเลย”นางหยางได้ยินเสียงขึ้นจมูกของซูจิ่นเอ๋อร์ก็รู้ทันที จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ เดี๋ยวแม่ช่วยยกข้าวเย็นมาให้เจ้า ถ้าเจ้าอยากกินก็กินสักหน่อย ถ้ากินไม่ลงก็วางไว้ก่อน”พูดจบก็จากไปอย่างเข้าใจสถานการณ์กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงรู้ว
แต่หากใช้กฎนี้ไปเรื่อย ๆ แม้ว่าจะมีคนคิดอยากจะแหกกฎนี้ คนในกลุ่มของพวกเขาก็จะช่วยกันปราบปรามเองเมื่อเห็นว่าผู้อพยพจากตงโจวสงบลงแล้ว ฟู่หลานเหิงก็รีบสั่งให้คนส่งข่าวนี้ไปให้กู้หว่านเยว่โดยเร็วกู้หว่านเยว่รู้ข่าวก็ดีใจมาก“น้องหญิงเจ้าฉลาดจริง ๆ ยิ่งอยู่กับเจ้า ก็ยิ่งพบว่าเจ้ามีข้อดีมากมายจนนับไม่ถ้วน”ซูจิ่งสิงยิ้มเล็กน้อย มองภรรยาของตัวเองด้วยความชื่นชม“ข้าได้ยินรายงานสถานการณ์จากทางนั้นมาว่า เหล่าทหารทั้งสามกองทัพต่างยอมรับในตัวเจ้า แค่เจ้าพูดคำเดียว ก็สามารถยุติสงครามได้”กู้หว่านเยว่ทำหน้าเขินอาย “วิเศษขนาดนั้นเลยหรือ?”นางมองซูจิ่งสิง “คนอื่นไม่รู้ แต่ท่านจะไม่รู้เลยหรือ? วิธีนั้นไม่ใช่ข้าคิดคนเดียว ท่านเป็นคนที่คอยเตือนให้ข้าคิดได้”ซูจิ่งสิงสมกับเป็นคนที่รับมือกับพวกทูเจวี๋ยมาเป็นเวลานาน รู้ดีว่าควรจะรับมือกับเรื่องแบบนี้อย่างไรดังนั้น ตอนที่นางจนปัญญา อีกฝ่ายก็ช่วยชี้แนะ และก็เป็นเพราะว่ากู้หว่านเยว่ฉลาด แค่ฟังประโยคเดียวก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป“พวกเราสองคนต่างเกื้อหนุนกันและกัน ไม่แบ่งแยกเจ้ากับข้า”ซูจิ่งสิงกลับรู้สึกเฉย ๆ เขาไม่เคยสนใจชื่อเสียง เงินทอง หร
“ฝ่าบาท เรื่องที่ผู้ถูกเนรเทศก่อความวุ่นวายแนวป้องกันชายแดนเมื่อไม่กี่วันมานี้ ได้มีจดหมายส่งเข้ามาแล้ว”ชิงเยี่ยนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “นายคนใหม่ของเจดีย์หนิงกู่สามารถปราบปรามผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเปลืองแรงเลย”จงหลี่เผยความประหลาดใจออกมา เขาก็รู้ด้วยว่าผู้ถูกเนรเทศเหล่านี้อาศัยอยู่ในป่าที่ตะวันไม่ตกดิน จึงสามารถหาเลี้ยงชีพได้ด้วยการล่าสัตว์เท่านั้นดังนั้นเนื่องจากขาดแคลนอาหารอย่างต่อเนื่อง จึงมักมาก่อความวุ่นวายที่เจดีย์หนิงกู่เมืองตงโจวครุ่นคิดหาวิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย“ผู้ใดกันที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้?”“เป็นสตรีนางหนึ่ง ได้ยินมาว่านางเป็นชายาของเจิ้นเป่ยอ๋อง” ในจดหมายมีคำพูดนิดเดียวเพียงสามประโยค ชิงเยี่ยนไม่ค่อยเข้าใจนักจงหลี่พูดอย่างเฉยเมย “สตรีผู้ดีเลิศ ไม่ควรถูกตีตราไว้ว่าเป็นภรรยาของผู้อื่น”เขานึกถึงวันที่อยู่ในเมืองอวี้ขึ้นมาในหัวได้โดยพลัน พลางสบตากับกู้หว่านเยว่ใช่นางหรือ?“วันหลัง ไปเยี่ยมเจดีย์หนิงกู่สักหน่อยสินายใหม่”จงหลี่คิดว่า อาจจะมอบภาพเหมือนให้อีกฝ่าย ให้พวกเขาช่วยตามหาน้องสาวกู้หว่
“มีเรื่องอะไรกันเสียงดังเอะอะถึงเพียงนี้?”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วถาม ฉู่เฟิงเมียงมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ“ดูเหมือนว่ามีคนกำลังโต้เถียงกันอยู่นอกศูนย์พักพิง”“โต้เถียงอะไรกัน?”ศูนย์พักพิงมีทหารคอยเฝ้าอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ถูกเนรเทศก่อความวุ่นวายในเมื่อเกิดการโต้เถียงขึ้น ทำไมทหารที่เฝ้าอยู่ถึงไม่เข้ามาห้าม?ความสงสัยมากมายเกิดขึ้นในหัวของกู้หว่านเยว่ “ฉู่เฟิง เราไปดูกันเถอะ”“ขอรับ”เนื่องจากภายนอกเกิดความวุ่นวายมากเหลือเกิน หากลงจากรถม้าก็มีโอกาสเกิดเรื่องไม่คาดคิดสูงดังนั้นซูจิ่งสิงจึงยืนกรานปฏิเสธไม่ให้กู้หว่านเยว่ลงจากรถ แค่เปิดหน้าต่างรถเพียงบานเดียวสังเกตการณ์อยู่ภายในรถ“ข้าบอกแล้วว่าครอบครัวนี้ติดเชื้อกาฬโรค พวกท่านก็ไม่เชื่อ”ชายร่างใหญ่คนหนึ่งชี้ครอบครัวสามคนที่นอนอยู่บนพื้นแล้วพูดว่า “ปีนั้นบ้านเกิดของข้าเคยเกิดกาฬโรคมาก่อน ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะอยู่รอดมาได้ ก็เลยเข้าใจอาการของกาฬโรคเป็นอย่างดี พวกเขาต้องติดเชื้อกาฬโรคแน่นอน”“การแพร่เชื้อของกาฬโรคนั้นรุนแรงมาก รีบขับไล่พวกเขาออกไปซะ ถ้าไม่ไล่ออกไป พวกเราที่นี่ทุกคนจะพบกับความหายนะกันหมด”เขาพูดพลางหยิบผ้าออก
“ในเมื่อพวกเขาติดเชื้อกาฬโรคแล้ว พวกเราก็ไม่รอดหรอก”ชายร่างใหญ่พูดด้วยความตื่นตระหนก“ศูนย์พักพิงแห่งนี้อันตรายเกินไปจริง ๆ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ!”“ใช่แล้ว ใช่แล้ว กาฬโรคน่ากลัวมาก พวกเรารีบไปกันเถอะ”“ใจเย็น ทุกคนอยู่ในความสงบ!”นายทหารที่เป็นหัวหน้าตะโกนดังลั่น “พวกเขาจะเป็นกาฬโรคหรือไม่ยังไม่รู้ ต้องรอให้หมอตรวจดูก่อนถึงจะได้คำอธิบาย”“รอให้หมอตรวจเสร็จ พวกเราทุกคนไม่ติดเชื้อกันหมดแล้วหรือ?”ชายร่างใหญ่หาโอกาสสร้างความโกลาหลอยู่เสมอ “ชีวิตของผู้ถูกเนรเทศก็คือชีวิตเหมือนกัน!”เขาหันไปมองทุกคน “พวกเราหนีกันเถอะ!”เดิมทีผู้ถูกเนรเทศกลุ่มนี้ก็ต้องทรมานทนหิวทนหนาวอยู่แล้ว ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้ ถึงได้มาที่นี่ไม่นึกว่าที่นี่จะมีเชื้อกาฬโรค เวลานี้ใครยังกล้าอยู่ที่นี่อีก ต้องการหลบหนีออกไปไว ๆ ใจจะขาดในศูนย์พักพิงแห่งนี้มีผู้คนอยู่สองสามร้อยคนเป็นอย่างน้อย เมื่อเกิดความวุ่นวายใด ๆ ก็ไม่ควรประมาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรื่องนี้แพร่กระจายไปยังศูนย์พักพิงอื่น ๆ แล้วใครยังกล้าที่จะอยู่อย่างสงบสุขภายในศูนย์พักพิงอีก?กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วแน่น มองไปที่ชายร่างใหญ่“ชายร่างใหญ่ผู้นี้ไ
“เช่นนั้นข้าก็เคยเห็นคนตายมาก่อน ข้าจะพูดโดยไม่รู้สาเหตุว่าเจ้าตายไปแล้วได้งั้นหรือ?”หลี่ชิวเตี๋ยเท้าเอวยิ้มเยาะ มองชายร่างใหญ่ตรงหน้าอย่างเย็นชา มองไปมองมา“ในเมื่อเจ้าไม่ใช่หมอ แต่มาพูดลอย ๆ ใส่ร้ายคนอื่นว่าติดเชื้อกาฬโรค ซ้ำยังก่อความวุ่นวายที่นี่อีก เจ้ามีเจตนาอะไร?”“ข้าน้อยเปล่า...” เห็นชัดเจนว่าชายร่างใหญ่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคนที่พูดจาเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรในเวลานี้แววตาของเขาวิบวับ จ้องมองไปที่ทางเดินว่างเปล่าข้าง ๆ อย่างฉับพลัน อยากจะหันหลังหนีจากไป“จับเขาไว้”กู้หว่านเยว่ที่คอยดูอยู่ข้าง ๆ ด้วยสายตาเย็นชาอยู่นาน เพลานี้จึงเอ่ยปากขึ้นมาในที่สุด ฉู่เฟิงที่อยู่บนรถม้าได้เหาะเหินออกไป ถีบชายร่างใหญ่ล้มคว่ำลงกับพื้นด้วยขาข้างเดียว“โอ๊ย!” ชายร่างใหญ่ร้องออกมา ยังไม่ทันได้อ้าปาก ก็ถูกฉู่เฟิงเหยียบลงบนร่างกายอย่างโหดร้าย“ขอเตือนเจ้าว่า อย่าพูดอะไรที่ไม่สมควรพูด มิฉะนั้นจะไม่รับประกันชีวิตของเจ้า”ฉู่เฟิงจะไม่อ่อนโยนกับฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครู่ที่เขาเฝ้าดูอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าชายร่างใหญ่ผู้นี้ต้องการปลุกปั่นผู้คนเมื่อเห็นฉู่เฟิง ห
“ฮูหยิน ลูกสาวของข้ายังเล็กนัก” หญิงผู้เป็นแม่อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน พูดอย่างอ่อนแรง “ต่อให้ต้องเผาให้ตาย ก็ปล่อยลูกสาวของข้าไปเถอะ”“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าไม่อยากให้พวกท่านตาย...” เด็กหญิงตัวน้อยน้ำตานองหน้าครอบครัวสามคนก็นึกไม่ถึง อุตส่าห์หนีร้อนมาพึ่งเย็นแท้ ๆ เหตุใดถึงหนีมาเจอทางตันได้“เจ้าชื่ออะไร?”กู้หว่านเยว่จ้องมองเด็กหญิงคนนั้น รู้สึกว่านางดูคุ้นตานัก“ข้าชื่อเฉียวโต้ว” เด็กหญิงตัวน้อยมองกู้หว่านเยว่อย่างขลาดกลัวน่าจะเป็นเพราะมีครรภ์แล้ว กู้หว่านเยว่จึงไม่อาจต้านทานเด็กที่ว่านอนสอนง่าย น้ำเสียงอ่อนลงทันที“เฉียวโต้วอย่าร้องไห้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง”“นายท่านซู ซูฮูหยิน!” นายทหารจำทั้งสองได้ รีบเข้ามาทำความเคารพกู้หว่านเยว่โบกมือ “ก่อนอื่นให้คนนำเชือกป่านและเสาหินเข้ามา ล้อมรอบที่นี่ให้เป็นวงล้อม”นางนำเครื่องขยายเสียงออกมาง่าย ๆ เพียงพลิกฝ่ามือ “ประชาชนทุกท่าน ตอนนี้ยังมั่นใจไม่ได้ว่าครอบครัวนี้ติดเชื้อกาฬโรคหรือไม่ พวกข้าจะหาหมอที่เก่งที่สุดในเมืองมาตรวจ ทุกท่านโปรดสงบสติอารมณ์ก่อน”นางเร่งเสียงขึ้น “ถ้าครอบครัวสามคนนี้ติดเชื้อกาฬโรคจริง ๆ ก็ส่งพวกเขาไปกัก
คนผู้นี้จงใจก่อกวนศูนย์พักพิง แน่นอนว่าไม่ใช่ความคิดของเขาคนเดียวแน่ อาจมีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยฉู่เฟิงรีบจับกุมเขาไว้“เจ้าชื่ออะไร?” กู้หว่านเยว่มองไปทางนายทหารผู้นั้น“ข้าน้อยชื่อหนิวลี่” นายทหารเห็นฮูหยินที่เป็นดั่งเทพธิดาพูดคุยกับเขาก็หน้าแดง“ลำบากเจ้าแล้ว เดี๋ยวไปรับเงินรางวัลที่จวนกู้นะ”คนทำผิดต้องถูกลงโทษ คนทำดีก็ต้องได้รางวัลเช่นกันกู้หว่านเยว่เห็นว่าถึงแม้ครอบครัวนี้จะไม่ได้ติดเชื้อกาฬโรค แต่ก็ถูกทรมานจนเกือบตายเช่นกัน“พาพวกเขากลับไป รักษาให้เต็มที่ แล้วก็จ่ายค่าตรวจรักษาให้หมอทั้งสามด้วย”หมอทั้งสามได้ยินว่ามีเชื้อกาฬโรค ก็กลัวว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นในเมืองอวี้เวลานี้เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงความสับสนไปเอง ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หมอโจวยังใจดีเขียนใบสั่งยาให้กับครอบครัวนั้นโดยไม่คิดค่าตรวจรักษา“ข้าขอตัวก่อน” พูดจบก็เดินจากไปพร้อมกับหมอหนุ่มสองคนกู้หว่านเยว่รู้สึกประทับใจหมอจากเมืองอวี้ในทันที เมื่อเห็นฝูงชนรอบตัวแยกย้ายกันไปมากแล้ว นางจึงหันไปพูดกับผู้ถูกเนรเทศเหล่านั้น“ในเมื่อเจดีย์หนิงกู่ได้สร้างศูนย์พักพิงแล้ว ก็ต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกท่านอย่างเต็
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป