หลังจากเปลี่ยนความคิด ชายชุดดำที่อยู่ด้านหน้าก็ตัดสินใจว่า “ฆ่าคนในบ้านก่อน”ซูจิ่งสิงรักภรรยาของเขามาก คนในบ้านคือจุดอ่อนของเขาตราบใดที่จับคนในบ้านได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรซูจิ่งสิงไม่ได้ชายชุดดำหลายสิบคนพุ่งตรงไปยังบ้านหลังนั้น ซูจิ่งสิงรีบชักดาบออกมา ยืนขวางอยู่หน้าประตู หางตาแดงก่ำ “รนหาที่ตายแล้ว!”หมอตำแยและเด็กสาวได้ยินเสียงการต่อสู้จากด้านนอก พวกนางเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่เคยมีประสบการณ์การฆ่าฟันมาก่อน ครั้นได้ยินเข่าก็แทบทรุดในทันที“เกิดอะไรขึ้นข้างนอก มีศัตรูตามล้างแค้นอย่างนั้นหรือ?” หมอตำแยมือเริ่มสั่นเด็กสาวรีบใส่กลอนประตู ก่อนจะกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “มีศัตรูตามล้างแค้นจริง ๆ เจ้าค่ะ ทุกคนถือดาบอยู่ในมือ น่ากลัวมาก”กล่าวจบก็หันไปมองกู้หว่านเยว่อีกครั้ง “แม่หนูน้อย พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ กลุ่มคนข้างนอกน่ากลัวมาก คงไม่ได้จะมาฆ่าพวกเราหรอกนะ?”ดูจากท่าทางของชายชุดดำแล้ว คงฆ่าคนไม่กะพริบตาเด็กสาวไม่ได้จะกลัว จริง ๆ แล้วนางห่วงชีวิตของนางมากกว่า นางไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้กู้หว่านเยว่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับสถานการณ์ที่มีคนตามฆ่าพวกนางเวลานี้ปากม
คนผู้นี้จริง ๆ เลย ทำไมจู่ ๆ ก็พุ่งออกมาจากทางเล็ก ๆ เช่นนี้“ให้ตายเถอะ คนผู้นี้เสียเลือดมากด้วย”“เกิดอะไรขึ้น?” จงหลี่เปิดม่าน และชะโงกหน้าออกมาดูเส้นผมยาวสีเงิน สวมชุดคลุมพระจันทร์เสี้ยวสีขาวทั้งตัว รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเทพบนสรวงสวรรค์นัยน์ตาของเถาเอ๋อร์วูบไหวเล็กน้อย นี่คือองค์ชายแห่งเมืองตงโจว“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ดูเหมือนจะเป็นจอมลวงโลก นางพุ่งเข้ามาชนม้าของเราเอง เลือดเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องของเราพ่ะย่ะค่ะ”ชิงเยี่ยนลูบศีรษะ พลางเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมเล็กสองซี่คนผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งนัก เลือดเต็มตัวเช่นนี้ไม่ยอมอยู่บ้าน ยังจะออกมาลวงโลกผู้อื่นอีก“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย พวกท่านช่วยข้าด้วย....”เถาเอ๋อร์รีบปีนขึ้นไปบนรถม้า น้ำเสียงอ่อนแอมาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิงวอนท่าทางนั้นทำให้คนที่เห็นแล้วเจ็บปวดไม่น้อยเวลานี้ตัวนางเต็มไปด้วยเลือด ทั้งยังมีรอยช้ำเลือดอยู่บนคอทันทีที่นางยกมือขึ้น จี้หยกชิ้นหนึ่งก็ร่วงตกออกมาจากแขนเสื้อ“ฝ่าบาท เราไปกันเถอะ”“ช้าก่อน” นัยน์ตาของจงหลี่วูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตามาหยุดที่จี้หยกนั้นจี้หยกอันบริสุทธิ์ สามารถมองเห็นลวดลา
ทุกคนต่างรู้ว่าตงโจวเป็นดินแดนป่าเถื่อน ชาวบ้านต่างไร้อารยธรรม แต่กลับไม่รู้ว่านั้นคือสถานที่แห่งความสุขสันต์อย่างแท้จริงเถาเอ๋อร์กระตุกมุมปาก แทบจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ นางมองไปทางจงหลี่อย่างกระตือรือร้น รอให้เขาประคองนางขึ้นรถม้า ช่วยพันแผลให้นางจงหลี่ที่อยู่บนรถม้ากลับยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น“อย่ามาเรียกข้ามาท่านพี่ น้องสาวของข้าไม่มีเจตนามุ่งร้ายเช่นเจ้า”เถาเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าจะเจอสถานการณ์นี้ จึงตะลึงงัน“แต่จี้หยกชิ้นนี้....”จงหลี่ลูบจี้หยกบนฝ่ามือ “หยกชิ้นนี้เป็นหยกของน้องสาวข้าจริง ๆ แต่เจ้ากลับไม่ใช่น้องสาวของข้า”น้องสาวของเขาเป็นคนที่ฉลาดและเย็นชามาก นัยน์ตาคู่นั้นจะเสแสร้งต่อหน้าอาณาประชาราษฎร์ ไม่ใช่ประจบประแจงเช่นนี้“บอกมา หยกชิ้นนี้ เจ้าไปเอามาจากไหน”จงหลี่จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา นัยน์ตาคมกริบดุจมีดที่เย็นยะเยือก“จี้หยกชิ้นนี้เป็นของข้า ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดสิ่งใด ตอนข้าเกิดมันก็อยู่บนคอของข้า....” เถาเอ๋อร์แถอย่างบ้าคลั่ง นางยอมรับไม่ได้ว่านางเอามาจากจวนสกุลกู้ นางไม่ยอมให้กู้หว่านเยว่ทำชุดแต่งงานนางส่ายหน้า “หยกชิ้นนี้เป็นของข้า เป็นข
“อื้อ”ซูจิ่นเอ๋อร์พยักหน้าด้วยความเป็นกังวล “ข้าฝันว่าพี่สะใภ้ตกอยู่ในอันตราย พวกเขาอยู่ในสถานที่รกร้างแถวชานเมือง กำลังถูกฝูงหมาป่าที่ดุร้ายรุมโจมตี พี่สะใภ้ใหญ่ปวดท้องมาก....”หมาป่า? ฟู่หลานเหิงตบแผ่นหลังของซูจิ่นเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน“พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ไปล้างแค้นแทนเจ้า ไม่มีทางอยู่ในที่รกร้างแถวชานเมืองแน่นอน มันก็แค่ความฝัน อย่าคิดมาก....”ต่อไปต้องจำไว้ว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจะเรียกว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ เขายังไม่ค่อยชินเท่าไหร่“ในฝันเหมือนจริงมาก ข้ากลัวว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะตกอยู่ในอันตราย”สีหน้าของซูจิ่นเอ๋อร์ซีดเซียว นางที่มักจะฝันร้ายอยู่หลายครั้ง ร่างกายเริ่มทนไม่ไหว“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่กับเจ้าตรงนี้ ไว้มีข่าวคราวของพวกเขา ข้าจะบอกเจ้าทันที”ฟู่หลานเหิงยกมือปิดปากและไอกระแอมหลายครั้ง ซูจิ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น“ให้สาวใช้อยู่กับข้าก็พอ เจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ เจ้าจะอดนอนไม่ได้”ฟู่หลานเหิงยังอยากอยู่กับนางแต่กลิ่นคาวเลือดได้บาดคอของเขา กลัวว่าจะถูกซูจิ่นเอ๋อร์จับได้ จึงรีบเรียกสาวใช้เข้ามา ส่วนตนก็ออกไป“ข้าอยู่ห้องถัดไป มีอะไรก็เรียกข้าได้ตลอด”ฟู่หลานเหิงกล
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าไปทำอะไร แค่ปลอดภัยก็พอ”นี่คือเรื่องที่นางหยางเป็นกังวล วันนี้หนังตาของนางกระตุกตลอดเวลา จึงเป็นกังวลว่าเด็กสองคนจะตกอยู่ในอันตราย“จือชิงเด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย อยู่ดี ๆ ก็วิ่งเข้าไปล่าสัตว์บนภูเขา”นางหยางกุมขมับ เพราะปวดหัว “แม่หนู ออกแรงอีกหน่อย หัวเด็กจะออกมาแล้ว”ภายในกระท่อมมุงจาก หมอตำแยกดขาทั้งสองข้างของกู้หว่านเยว่ไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ช่วยทำคลอด พลางเร่งกล่าว“ออกแรงอีกนิด เด็กออกมาแล้ว”“กรี๊ด!”กู้หว่านเยว่ต้องกรีดร้องอย่างอดไม่ได้ เจ็บปวดยิ่งนัก ความเจ็บปวดจากการแยกของหัวหน่าว ทำให้นางเหงื่อออกเต็มหน้าดูเหมือนเด็กที่อยู่ในท้องจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นมารดา จึงพยายามดันตัวเองออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน กู้หว่านเยว่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายไปหมดแล้ว จนกระทั่งภาพตรงหน้าค่อย ๆ ดับวูบ“แง๊ ๆ!” เด็กทารกส่งเสียงร้องไห้เสียงแจ้วหมอตำแยร้องตะโกนด้วยความดีใจ “เด็กออกมาแล้ว ออกมาแล้ว”“เป็นบุตรชาย” เด็กสาวอุ้มเด็กมาห่อตัวด้วยผ้าฝ้าย ก่อนจะกล่าวอย่างประหลาดใจ “แม้ว่าเด็กคนนี้จะคลอดก่อนกำหนด แต่กลับดูไม่อ่อนแอเลยสักนิด”หมอตำแยชะ
กู้หว่านเยว่เริ่มกังวล ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมความพร้อมไว้ในใจ หากคนที่เข้ามาคือคนอื่น นางจะพาสองแม่ลูกคู่นี้และลูกน้อยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้วงมิติในเมื่อพวกนางเสี่ยงชีวิตทำคลอดแล้ว คงจะปล่อยให้ความหวังดีของพวกนางสูญเปล่าแล้วจบลงด้วยการสละชีวิตไม่ได้แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดในใจของกู้หว่านเยว่ นางมักจะรู้สึกว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือซูจิ่งสิงแน่นอนเขาไม่มีทางปล่อยให้ชายชุดดำเหล่านั้นบุกเข้ามาเขาต้องปกป้องสองแม่ลูกคู่นี้ “หว่านเยว่ เจ้ายังสบายดีหรือไม่?”ซูจิ่งสิงกล่าวถามอย่างร้อนใจ น้ำเสียงยังคงเหนื่อยล้าครั้นได้ยินเสียงของเขา คนในบ้านก็โล่งใจป้องกันไว้ก่อน เด็กสาวมองผ่านช่องประตูก่อน ครั้นเห็นว่าหน้าประตูมีแค่ซูจิ่งสิงผู้เดียว จึงเปิดประตูออกไป“ท่านพี่” กู้หว่านเยว่กระตุกมุมปากนางที่เพิ่งคลอดลูกค่อนข้างอ่อนแอ แต่ไม่ถึงกับไม่มีแรงจะพูดขนาดนั้นเมื่อเห็นซูจิ่งสิง นางก็วางใจ“ไอหยา”ซูจิ่งสิงเอ่ยหนึ่งเสียง เสียงนั้นอ่อนโยนมาก อ่อนโยนคล้ายกับฟองน้ำที่บีบน้ำออกมาจากนั้นก็สาวเท้าสามขุมก้าวมายังข้างเตียง คว้ามือของกู้หว่านเยว่ ในขณะเดียวกันก็กวาดมองไปยังเด็กที่อยู่ในผ้
ครั้นเหมยจื่อเห็นรอยแผลเป็นของเจียงเฟิ่งก็ถึงกับพูดไม่ออก แม่เหมยจื่ออายุมากและมีประสบการณ์มากกว่า จึงรีบกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้ามาก พวกเจ้าค่อย ๆ ขัดนะ”เจียงเฟิ่งลูบศีรษะ ก่อนจะกลั้วหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านป้าก็เกรงใจเกินไป ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณที่พวกท่านทำคลอดให้ฮูหยิน ฮูหยินเพิ่งคลอดลูกเสร็จ ต่อไปคงต้องขอรบกวนพวกท่านอีกสองวัน”เขาหยิบเศษเงินถุงหนึ่งออกมา ครั้นเห็นว่ามีจำนวนยี่สิบเหรียญ ทั้งสองคนก็ไม่กล้ารับไว้“ท่านจอมยุทธ หนึ่งถึงสองเหรียญก็มากพอแล้ว”“ที่เหลือ รบกวนท่านนำไปซื้อแม่ไก่สดใหม่สักตัวเถอะ เอาไปตุ๋นซุปให้ฮูหยิน ให้นายท่านและพี่น้องได้กินกัน”เงินก้อนนี้เป็นเงินที่ซูจิ่งสิงให้มา เขาเลยยกให้ทั้งหมดดูออกว่าซูจิ่งสิงซาบซึ้งต่อครอบครัวนี้อย่างจริงใจเหมยจื่ออยากบอกว่าการซื้อแม่ไก่ไปทำอาหารนั้น ไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนี้ก็ได้ ครั้นเห็นมารดารับเงินเตรียมจะออกไปซื้อแม่ไก่ ก็รีบปิดปากเงียบ “ข้าจะไปทำอาหารให้พวกเจ้ากิน”นางไม่กล้าอยู่กับชายฉกรรจ์เหล่านี้นานนัก จึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวแต่ไม่นาน แม่เหมยจื่อก็ถือแม่ไก่กลับมาหนึ่งตัว ทั้งยังซื้อกับแกมกลับมาอีกบางส่วน จ
การที่คลอดลูกได้อย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณแม่ลูกคู่นี้จริง ๆ “ฮูหยิน” เหมยจื่อและเหมยจื่อเหนียงเดินเข้ามากู้หว่านเยว่มองไปทางพวกเขา ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าสองคนมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อข้าและลูก เป็นพวกเจ้าที่ช่วยชีวิตลูกของข้าไว้”ว่ากันตามจริง พวกนางก็เป็นแค่แม่ลูกชาวบ้านธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง แต่กลับเลือกที่จะอยู่ช่วยเหลือนางในยามคับขันเช่นนี้ความใจดีนี้ ทำให้กู้หว่านเยว่ยิ่งยกย่องทั้งสองคนมากขึ้นยายเฉินรีบเอ่ยขึ้น “ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ หากเปลี่ยนเป็นใคร ๆ ก็ต้องทำเช่นนี้กันทั้งนั้น พวกเราจะทนดูชีวิตทั้งสองชีวิตตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก”เหมยจื่อก็เผยรอยยิ้มใสซื่อ “ใช่แล้ว การช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง ยิ่งใหญ่กว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก”กู้หว่านเยว่ส่ายหัวพลางยิ้ม แม่ลูกคู่นี้ช่างจริงใจเสียจริง “ข้าพักฟื้นจนเกือบหายดีแล้ว อีกไม่นานก็จะจากไป พวกเจ้าสองแม่ลูกมีอะไรอยากได้ก็บอกมาได้เลย”กู้หว่านเยว่คิดว่า แม่ลูกคู่นี้ช่วยเหลือนางไว้มาก นางต้องตอบแทนบุญคุณแน่นอนแต่ในชั่วขณะหนึ่ง นางก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนพวกเขาด้วยอะไรดีให้เงินหรือ หากให้มากเกินไปก็อาจเป็นการนำ
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป