“โฮก โฮก!”อินทรีสิงโตดีใจอย่างยิ่ง หรี่ตาลงอย่างมีความสุขผลไม้สีแดงลูกนี้ก็คือผลมังกรไฟที่กู้หว่านเยว่เคยช่วยกลุ่มทหารรับจ้างตามหาในตอนนั้น คราวนั้น นางเก็บผลไม้มาสองลูก ลูกหนึ่งมอบให้กลุ่มทหารรับจ้าง อีกลูกหนึ่งย้ายไปปลูกไว้ในมิติเวลาผ่านไปไม่นาน ต้นกล้าของผลมังกรไฟในมิติก็ได้เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้เล็ก ๆ ที่ออกผลดกเต็มต้นอาหารโปรดที่สุดของอินทรีสิงโตก็คือผลมังกรไฟ ทุกครั้งมันจึงมักจะมาขออาหารจากกู้หว่านเยว่เสมอซูจิ่งสิงส่ายหน้าแล้วหัวเราะอยู่ข้าง ๆ “หากพวกคุณหนูที่ตามหาผลมังกรไฟรู้ว่าเจ้านำผลมังกรไฟล้ำค่าเช่นนี้ มาเลี้ยงอินทรีสิงโตตัวหนึ่ง เกรงว่าคงจะโมโหจนกระทืบเท้าเป็นแน่”“เจ้าอินทรีสิงโตน้อยเป็นลูกน้องของข้านะ ก็ต้องดีกับมันเป็นธรรมดา” กู้หว่านเยว่ตบหัวของอินทรีสิงโตเบา ๆ ด้วยสีหน้าเอ็นดู “พวกเรามาถึงแล้ว เจ้าไปก่อนเถอะ รอให้ถึงเวลาที่ต้องการข้าจะเรียกเจ้ากลับมาเอง”อินทรีสิงโตตัวนี้ฉลาดขึ้นทุกวันมันกระพือปีกแล้วบินจากไปในขณะนั้น ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากข้าง ๆ “ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีใครอยู่หรือไม่ ช่วยพวกเราด้วย!”กู้หว่านเยว่ถูกดึงความสนใจไป “มีคนกำลังร้องขอความช่วยเหล
อีกด้านหนึ่ง จงหลี่ให้คนรับใช้เตรียมรถม้าชิงเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “องค์ชายจะส่งคนไปจริง ๆ หรือ?”ครั้งก่อนองค์ชายก็ส่งแม่นางเฟิงไปแล้ว แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเล่า สุดท้ายก็ยังปล่อยวางเรื่องความปลอดภัยของนางไม่ได้อยู่ดี“มิสู้องค์ชายจัดให้แม่นางเฟิงพักอยู่ในวังเสียเลย อย่างไรเสียนางก็สูญเสียความทรงจำแล้ว คงจะจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้อีก ในวังย่อมปลอดภัยกว่านอกวัง”จงหลี่ส่ายหน้า “ทำตามที่ข้าบอก ส่งนางไปเถอะ”เขาได้จัดเตรียมสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่งไว้ให้เฟิงเพียนอวิ๋นแล้วในตำหนักนอกวังของเขา ที่นั่นตัดขาดจากโลกภายนอก เป็นสถานที่พักฟื้นชั้นเลิศ อีกทั้งยังมีคนคอยดูแลโดยเฉพาะ อยู่ข้างในนั้นปลอดภัยอย่างยิ่งรอจนถึงวันที่นางฟื้นความทรงจำขึ้นมา ก็สามารถจากไปได้ทันทีการฉวยโอกาสตอนที่ผู้อื่นกำลังลำบาก เขาทำไม่ลง“องค์ชาย แย่แล้วเพคะ” ทันใดนั้นนางกำนัลคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาจากนอกประตู“เกิดอะไรขึ้น?”นางกำนัลผู้นี้คือคนที่คอยดูแลเฟิงเพียนอวิ๋น นางรู้ท่าทีขององค์ชายดี ดังนั้นหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นั่นก็ไม่กล้าปิดบัง รีบวิ่งมารายงานในทันที“แม่นางเฟิงรู้ว่านางจะ
“ข้าตั้งใจจะสร้างถนนสายหนึ่ง ตัดผ่านป่าซิงโต้ว”กู้หว่านเยว่กล่าวถึงความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ของนาง “เช่นนี้แล้ว ต้าฉีกับที่ราบแห่งความโกลาหลก็จะสามารถไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนกันได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วขัดขวางความคิดของนาง“ป่าซิงโต้วมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เกรงว่าสามปีห้าปีก็ยังไม่สามารถสร้างถนนสายหนึ่งออกมาได้”“สามปีห้าปีไม่ได้ เช่นนั้นก็ใช้เวลาแปดปีสิบปีท หากยังไม่ได้อีก ก็สร้างมันยี่สิบปีไปเลย”กู้หว่านเยว่ไม่ใช่คนที่พอเจอความยากลำบากแล้วจะถอดใจ“ผู้เฒ่าโง่ย้ายภูเขา จิงเว่ยถมทะเล หว่านเยว่บุกเบิกเส้นทาง ก็คงจะเป็นเรื่องเล่าที่ดีงามเช่นกัน”ซูจิ่งสิงหัวเราะเบา ๆ พลางใช้นิ้วจิ้มจมูกของนางอย่างเอ็นดูทำเอากู้หว่านเยว่หน้าแดงระเรื่อ“หว่านเยว่บุกเบิกเส้นทางอะไรกัน ท่านพี่ ท่านก็เอาแต่ล้อข้า!”ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกันตลอดทางที่กลับตำหนักบรรทมวันรุ่งขึ้น กู้หว่านเยว่นำเรื่องที่จะบุกเบิกเส้นทางไปบอกจงหลี่เรื่องนี้ได้ปรึกษากับจงหลี่มานานแล้ว แม้ว่าตอนนี้จงหลี่จะยังคงดำรงตำแหน่งหลี่อ๋องอยู่ แต่อำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่ก็ได้ถูกส่งมอบให้กู้หว่านเยว่แล้ว“น้องหญิง หากเ
เป็นจังหวะพอดีกับที่จงเอ้ากำลังสืบสวนอยู่ว่าเหตุใดท่านอาถึงได้กลับมา กู้หว่านเยว่จึงรีบนำเรื่องที่จงเถียนเล่าไปบอกเขาทันที“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าจงเถียนไม่น่าจะโกหกนะเพคะ”กู้หว่านเยว่กล่าวการวิเคราะห์ของตนเองออกไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก“ยังดีที่เขาเป็นแค่คนขี้ขลาดกลัวตาย ยังไม่ถึงกับเลวร้ายจนสิ้นสติ”มองออกได้ว่า จงเอ้าเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องราวต้องดำเนินไปจนถึงขั้นฆ่าล้างบางเช่นกันหากหากฉงอ๋องกลับมาพร้อมกับแผนการร้ายใด ๆ ก็คงยากที่จะรอดพ้นจากความตาย แต่ตอนนี้ เขาเพียงแค่หนีเอาชีวิตรอดกลับมาจริง ๆ บางทีอาจจะพอไว้ชีวิตเขาสักครั้งได้หลังจากที่จงเอ้าถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองกู้หว่านเยว่พลางยิ้ม “เยว่เอ๋อร์ เจ้ารู้สึกว่าพ่ออ่อนแอเกินไปหรือไม่?”เขาจูงมือกู้หว่านเยว่ไปนั่งลงข้าง ๆ “ตอนนั้น ตอนที่แม่ของเจ้าเพิ่งคลอดเจ้าออกมา พี่ใหญ่ของเจ้าอุ้มเจ้าไปขอให้พวกเขาช่วยรับเลี้ยง แต่เขากลับใจร้ายไม่สนใจไยดี”กู้หว่านเยว่มองริ้วรอยที่หางตาของจงเอ้าแล้วส่ายหน้า “ลูกไม่เคยรู้สึกว่าเสด็จพ่ออ่อนแอเลยแม้แต่น้อย”เรื่องในครอบครัวเป็นเรื่องที่ตัดสินได้
“เสด็จพ่อจนปัญญา ทำได้เพียงพาพวกเราหนี”“คนที่ไล่ล่าพวกเรา ก็คือคนในค่ายโจร”หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่ซับซ้อนนี้ กู้หว่านเยว่ถึงกับตกตะลึงนางพิจารณาหญิงสาวผู้อ่อนแอตรงหน้าใหม่อีกครั้ง“เจ้าฆ่าหัวหน้าโจรหรือ?”นี่เป็นคนโหดเหี้ยมจริง ๆ แต่เมื่อกู้หว่านเยว่ลองคิดดูให้ดีแล้ว หากเปลี่ยนเป็นนางที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน นางก็คงจะฆ่าหัวหน้าโจรคนนั้นเช่นกัน ไม่มีทางยอมจำนนต่อโชคชะตาเด็ดขาดจงเถียนกัดฟัน “สิ่งที่ข้าอยากจะพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว นี่คือความจริงว่าเหตุใดพวกเราถึงได้หนีกลับมา”“ข้าไม่ขอที่จะได้กลับไปเป็นคนในราชวงศ์อีก ขอเพียงพวกท่านไว้ชีวิตข้ากับอี๋เหนียงของข้า ให้พวกเราออกจากวังไปเป็นสามัญชนธรรมดา ได้โปรดเถอะ!”อาจจะเป็นเพราะนางมองออกว่าอำนาจของกู้หว่านเยว่ในวังแห่งนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าจงหลี่เลยแม้แต่น้อยเยว่อ๋องผู้นี้มีอำนาจที่แท้จริง จงเถียนจึงเอาแต่โขกศีรษะขอความเมตตาจากกู้หว่านเยว่อย่างสุดชีวิต“เยว่อ๋อง ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ข้ายินดีจะเป็นวัวเป็นม้าคอยรับใช้ท่านเพื่อตอบแทนท่าน”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบรับในทันทีนางกำลังคิดว่า แม้คำพูดของจงเ
กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “อย่ามาอ้างความเป็นญาติส่งเดช ตามหลักแล้ว เสด็จพ่อของเจ้าได้ทรยศต่อตงโจวไปแล้ว ไม่ใช่คนในราชวงศ์อีกต่อไป”จงเถียนกัดฟันอย่างไม่ยอมแพ้ “นั่นเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อของข้าทำ ไม่เกี่ยวกับข้า ตอนนั้นข้าเองก็ไม่อยากจากไป แต่ในฐานะลูกสาวของเขา ข้าจะทำอะไรได้เล่า? พวกท่านจะมาโทษข้าไม่ได้นะ” “เท้าก็อยู่บนตัวของเจ้าเอง หากเจ้าไม่เต็มใจ ใครจะบังคับให้เจ้าจากไปได้?” กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย ทิ่มแทงอย่างไม่เกรงใจนางทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความโกรธแทนพี่ใหญ่เมื่อนึกถึงตอนที่พี่ใหญ่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง นางก็รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเลยเหตุใดตอนที่ศัตรูจากภายนอกบุกเข้ามา พวกเขาถึงได้ทิ้งให้พี่ใหญ่ต่อสู้อย่างยากลำบากเพียงลำพัง ส่วนตัวเองกลับไปหลบซ่อนกินหรูอยู่สบายพอตงโจวแข็งแกร่งขึ้น ก็กลับมาขอความคุ้มครอง ใต้หล้านี้จะมีเรื่องง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร“ข้า...” จงเถียนอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออกจริง ๆ กู้หว่านเยว่กล่าวต่อ “องครักษ์ได้กักบริเวณเจ้าไว้ที่ตำหนักข้างฝั่งตะวันตกแล้ว เจ้าออกมาได้อย่างไร?”ดวงตาของจงเถียนสั่นไหว ทำให้กู้หว่านเยว่ที่กำลังมองสีแ