ท่ามกลางไอเย็นระลอกแรกของฤดูหนาวที่คืบคลานเข้าปกคลุมมหานครปักกิ่ง ท้องถนนยามค่ำคืนกลับคึกคักมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด แสงไฟนีออนหลากสีจากร้านรวง สาดส่องตัดกับความมืดมิดของรัตติกาล
ทั่วทุกหนทุกแห่งล้วนมีเสียงพูดคุยจอแจและเสียงหัวเราะของฝูงชน ทั้งหนุ่มสาวในวัยนักศึกษา คนทำงานในชุด สูทเรียบร้อย หรือแม้แต่ครอบครัวที่จูงมือกันออกมาเดินเล่น
พวกเขาหรือเธอเหล่านี้ต่างมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสใจกลางเมือง ที่ซึ่งแสงไฟจากต้นคริสต์มาสขนาดมหึมากำลังส่องประกายระยิบระยับเชื้อเชิญผู้คนให้มาชื่นชมเทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาเยือนในอีกไม่กี่อึดใจ
หานซูอวี้ที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากประตูโรงแรมหรู สถานที่จัดงานเลี้ยงหลังการประชุมวิชาการทางการแพทย์ประจำปีหยุดยืนนิ่งอยู่ริมทางเท้าปล่อยให้สายลมเย็นเฉียบปะทะใบหน้า
ดวงตาคู่สวยทอดมองภาพผู้คนเหล่านั้นด้วยแววตาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ในใจพลันรู้สึกถึงความอ้างว้างที่จับขั้วหัวใจ แม้รอบกายจะเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองก็ตาม
ความเย็นยะเยือกเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนเธอต้องกระชับเสื้อโค้ทตัวหนาให้แน่นขึ้น ทันใดนั้นเองเกล็ดสีขาวละเอียดอ่อนก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีน้ำหมึกที่แผ่กว้างอยู่เบื้องบน
"หิมะแรกของปี" เธอพึมพำเสียงเบาก่อนจะยื่นฝ่ามือขาวซีดที่มองเห็นร่องรอยความหยาบกร้านจากการทำงานหนักตั้งแต่ยังเด็กก่อนจะได้มาเป็นแพทย์เทคนิคในโรงพยาบาลซือฝู่ออกไปรองรับปุยหิมะอย่างเผลอไผล
สัมผัสเย็นเยียบที่แตะลงบนผิวทำให้ความคิดของหานซูอวี้ล่องลอยไปไกล...หวนระลึกถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของมารดาผู้ล่วงลับ
"ถ้าอธิษฐานกับหิมะแรก...มันจะเป็นจริงได้ไหมนะ" เสียงแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากบาง หญิงสาวในวัยสามสิบสองปีที่ยังคงสถานะโสดหลับตาลงปล่อยให้ความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ลึกสุดใจเอ่อล้นออกมา
"หากเรื่องย้อนเวลามีอยู่จริงบนโลกใบนี้...ฉันขอโอกาสได้กลับไปได้ไหม...กลับไปในตอนที่แม่ของฉัน...ยังมีชีวิตอยู่"
แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเหลวไหลแต่เศษเสี้ยวแห่งความหวังเล็ก ๆ ก็ยังคงอยากจะลองดูสักครั้ง ในระหว่างที่เธอกำลังจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น
"เมี๊ยว..."
เสียงร้องเล็กแหลมของลูกแมวดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงจอแจรอบด้านไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่เท่าใดนัก หานซูอวี้ลืมตาขึ้นทันที สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เธอหันไปมองตามต้นเสียง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้หัวใจของเธอกระตุกวูบ!
ลูกแมวสีขาวตัวเล็กกระจ้อยร่อยกำลังยืนตัวสั่นงันงกอยู่กลางถนนใหญ่ที่พลุกพล่าน แสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งสวนไปมาสาดส่องร่างเล็ก ๆ นั้นเป็นระยะ ดวงตากลมโตของมันเบิกกว้างอย่างหวาดผวาและสิ้นหวัง
ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนรักสัตว์ชนิดที่ต้องเข้าไปคลอเคลียเล่นด้วยทุกตัว แต่ภาพลูกแมวน้อยที่กำลังจะเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายอยู่ตรงหน้าก็ทำให้หานซูอวี้ไม่อาจทนดูอยู่เฉยได้
ไวเท่าความคิด! ร่างของหญิงสาวก็ทะยานออกไปจากริมทางเท้ามุ่งตรงไปยังลูกแมวตัวนั้นทันที หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและหวาดเสียว
ทว่า...เธอกลับคำนวณความเร็วของรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงมาผิดพลาดไป! ใครเลยจะคาดคิด...แพทย์เทคนิคผู้ขยันขันแข็งจากโรงพยาบาลซือฝู่ ชีวิตของเธอกำลังจะจบสิ้นลงในสภาพเช่นนี้ แต่ในห้วงสุดท้ายของความคิด
มันก็ดีเหมือนกัน... แม่คะ...หนูกำลังจะไปหาแม่แล้วนะคะ...
เอี๊ยดดดดด! โครม!!!
เสียงเบรกแหลมยาวเสียดแทงแก้วหู ตามด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนรอบข้างดังระงม ร่างของหานซูอวี้ถูกกระแทกเข้ากับมวลแข็งกระด้างอย่างรุนแรงจนตัวลอยขึ้นจากพื้นถนน ก่อนจะร่วงหล่นลงมากระแทกซ้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง
โลกทั้งใบหมุนคว้าง ความเจ็บปวดมหาศาลแล่นปราดไปทั่วทุกเส้นประสาท ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มด้านชา...แล้วดับวูบลง...
ในขณะที่สติสัมปชัญญะกำลังจะเลือนหายไปจนหมดสิ้น ท่ามกลางเสียงหวีดร้องและโกลาหลรอบกาย หูของหญิงสาว กลับจับได้ถึงน้ำเสียงทุ้มลึกแฝงความห่วงใยสายหนึ่งที่ดังขึ้นไม่ไกล...
"คุณครับ! อย่าหลับนะครับ! อดทนไว้นะครับ!"
น้ำเสียงนั้น...มันช่างเป็นความอบอุ่นอ่อนโยนที่เธอโหยหาและไม่เคยได้รับมานานแสนนาน...นับตั้งแต่แม่ผู้เป็นที่รักจากไป...
เปลือกตาของเธอหนักอึ้งเกินกว่าจะปรือขึ้นมองเจ้าของเสียง ทว่าในใจกลับรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง...ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีเล็ก ๆ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต...ก่อนที่ม่านรัตติกาลอันมืดมิดและหนาวเหน็บ...จะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วนิรันดร์
"แก! นังอ้วน นังอัปลักษณ์! เลี้ยงลูกยังไง ฉันใช้งานนิด ๆ หน่อย ๆ ก็เป็นลม ไม่ได้เรื่องทั้งแม่ทั้งลูก" เสียงด่าทออย่างรุนแรง ดังขึ้นปลุกให้หานซูอวี้ที่กำลังปิดเปลือกตาอยู่ได้ยิน
คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันมุ่น ฉันไม่ใช่ว่าโดนรถชนหรอกหรือ แล้วทำไมถึงไม่เจ็บเลยล่ะ เอ๊ะ! ไม่สิ เสียงที่กำลังด่าทอกับเสียงร้องไห้ที่ดังอยู่ข้างหูทำไมถึงชัดเจนหนัก ในขณะที่หานซูอวี้กำลังสับสนเธอก็ได้ยินน้ำเสียงคล้ายเด็กสายหนึ่งดังขึ้นในหัว ของตน
ทำการเชื่อมต่อกับเจ้าของร่างเรียบร้อย หานซูอวี้รู้สึกมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะทันได้ถามไถ่กับเสียงที่ได้ยินหัวของเธอก็เกิดอาการปวดอย่างมาก ปวดชนิดที่ว่าเธอถึงกับลืมตาโพลงและต้องเอามือกุมมันไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับกรีดร้องออกมา
ซึ่งการกระทำของเธอได้ทำให้หญิงสาวอายุไม่น่าจะเกินสามสิบเอ็ดปี แต่ว่าด้วยรูปลักษณ์อ้วนฉุไม่ดูแลตัวเองจึงทำให้เธอดูแก่กว่าวัยเป็นอย่างมากถึงกับตกใจระคนเป็นห่วง
ส่วนผู้ชายที่กำลังด่าทอก็ชะงักการกระทำของตนไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะปาขวดเหล้าที่อยู่ในมือมาทางเธอสองแม่ลูกด้วยความเร็ว ซึ่งคนเป็นแม่กำลังเอาแขนโอบลูกสาวของตนเพื่อหวังปกป้อง
ฉับพลันในเวลาเดียวกันนั้นเอง หานซูอวี้ก็ลืมตาขึ้น เด็กหญิงยื่นมือไปจับขวดเหล้านั้นเอาไว้ได้ทันอย่างน่าเหลือเชื่อ ก่อนที่เธอจะส่งมันกลับคืนไปยังผู้เป็นเจ้าของ เสียง "เพล้ง!" ดังขึ้น เศษแก้วแตกกระจายเฉียดปลายเท้าของชายคนนั้นซึ่งเป็นพ่อของเธอไปเพียงนิดเดียว
"นังเด็กบ้า! นังเด็กอกตัญญู คอยดูฉันจะตีแกให้ตาย" ชายคนนั้นตะเบ็งเสียงดังพลางหยิบไม้กวาดแข็งพุ่งตรงมาทางเด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่ผู้ที่ยังเรียบเรียงความคิดในสิ่งที่เห็นอยู่ในหัวไม่กระจ่าง
" แม่ลุก!" เธอพูดพลางดึงแขนของมารดาให้พ้นจากด้ามไม้กวาดแข็งที่กำลังจะฟาดลงมา
วินาทีนั้นสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดจากประสบการณ์ในอดีตชาติผุดขึ้นมาในหัวของหานซูอวี้อย่างรวดเร็ว! ร่างกายเล็ก ๆ ของเด็กหญิงอายุสิบสามปีอาจจะยังอ่อนแอแต่จิตใจและความคิดของเธอคือหญิงสาววัยสามสิบสองที่ผ่านโลกมาแล้ว
"หนีเร็วค่ะแม่!" เธอตะโกนสุดเสียง มือเล็ก ๆ แต่กำแขน ผู้เป็นแม่ไว้แน่นออกแรงลากจูงร่างอวบอ้วนที่ยังคงตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกให้ถอยห่างจากรัศมีการทำร้ายของผู้เป็นพ่อ
"จะหนีไปไหน นังพวกตัวปัญหา!" เสียงหานจินตะคอกตามหลังมาอย่างเดือดดาล พร้อมกับเงื้อไม้กวาดไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
บ้านหลังเล็กแคบที่เคยเป็นเหมือนกรงขังบัดนี้กลับดูเหมือนมีทางหนีรอดน้อยเต็มที หานซูอวี้เหลือบมองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมกริบประเมินทุกสิ่งอย่างที่พอจะใช้เป็นอาวุธหรือเครื่องถ่วงเวลาได้
"ไปทางประตูหลังค่ะแม่!" เธอตัดสินใจเลือกเส้นทางที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด แม้จะต้องผ่านห้องครัวที่รกเรื้อก็ตาม
เมื่อเห็นพ่อวิ่งกระชั้นเข้ามามือของหานซูอวี้ก็คว้าได้ตะกร้าหวายใส่ผักที่วางอยู่บนโต๊ะค่อนข้างเก่าปาใส่หน้าพ่ออย่างไม่ลังเล!
"โอ๊ย! นังเด็กเปรต!" หานจินร้องลั่นเซถอยหลังไปเล็กน้อย เปิดโอกาสให้สองแม่ลูกวิ่งเข้าห้องครัวได้สำเร็จ
แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อ ก่อนจะตามเข้ามาอย่างรวดเร็วในครัวมีข้าวของวางระเกะระกะ ทั้งหม้อ ไห จาน ชาม หานซูอวี้ไม่รอช้าคว้าอะไรได้ก็ปาใส่พ่อเป็นว่าเล่น เสียงข้าวของแตกกระจายดังเพล้งพล้าง! สลับกับเสียงด่าทออย่างเกรี้ยวกราดของคนเป็นพ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อเลยสักครั้งเท่าที่เธอจำความได้
"ระวังค่ะแม่!" หานซูอวี้ทั้งปัดป้อง ทั้งผลักดันแม่ให้เคลื่อนตัวไปยังประตูหลังที่ใกล้เข้ามาทุกที หลิวซินผู้เป็นแม่ แม้จะยังหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่เมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งของลูกสาว เธอก็พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีหมายจะปกป้องลูกเช่นกัน ก่อนที่เธอจะหยิบมีดปังตออันใหญ่มาถือไว้ในมือเป็นมั่นเหมาะ
"หากวันนี้แกทำอะไรเราสองคนแม่ลูกอีกล่ะก็ อย่าหาว่าฉันไม่เตือน" น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวจน หานจินรู้สึกหนาวสันหลัง
หานจินมองมีดปังตอในมือหลิวซินสลับกับใบหน้าแน่วแน่ของภรรยาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาของเขาฉายความตื่นตะลึงระคนไม่อยากเชื่อ ผู้หญิงที่เคยยอมก้มหัวให้เขาทุกอย่าง วันนี้กลับกล้าลุกขึ้นมาต่อกร!
ชายหนุ่มทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงเข้าปะทะกับคนที่ไม่กลัวตายอีกต่อไป เขาโยนไม้กวาดในมือทิ้งอย่างกระแทกกระทั้น แล้วเดินกระทืบเท้าปึงปังออกจากบ้านไป ทิ้งท้ายด้วยคำอาฆาตที่ฟังไม่ได้ศัพท์
"หานซูอวี้... อ๋อ! เธอคือลูกสาวของน้าหลิวซินที่แม่ฉันเล่าให้ฟังนี่เอง!" หวงจิงยิ้มกว้าง "ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะชู้ตบาสเก่งขนาดนี้! มาเล่นด้วยกันสิ!" คำชวนอย่างเป็นมิตรของหวงจิงทำให้เด็กคนอื่นส่งเสียงเชียร์สนับสนุน หานซูอวี้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและ แววตาท้าทายอย่างเป็นมิตรของพวกเขา มุมปากของเธอพลันยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้าตอบรับ "ก็ได้" เกมเริ่มต้นอีกครั้ง แต่คราวนี้บรรยากาศในสนามเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เด็กชายทุกคนต่างจับจ้องมาที่สมาชิกใหม่ของทีมอย่างหานซูอวี้ และเธอก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง แม้จะอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุสิบสามปีที่ดูภายนอกผอมบาง แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเธอกลับคล่องแคล่ว
ยังไม่ทันที่พวกเธอจะก้าวลงจากรถดีประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง ชายร่างสูงในชุดลำลองแต่ยังคงท่วงท่าสง่างามแบบทหารเดินออกมายิ้มต้อนรับ "ซินซิน ในที่สุดเธอก็มาถึงเสียทีนะ!" เฉินลี่ฮวารีบเข้ามาสวมกอดเพื่อนรักของเธอด้วยความดีใจ "ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะ ต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านของเธอ" จากนั้นเธอก็หันมาแนะนำครอบครัว "นี่คุณเจิ้งหรง สามีของฉัน ส่วนนี่ก็หวงเหม่ย ลูกสาวคนเล็กจ้ะ ฉันยังมีลูกชายอีกคนหนึ่งตอนนี้เขาออกไปเล่นกับเพื่อนอายุน่าจะพอ ๆ กับซูอวี้นี่แหละ หากแม่บุญธรรมจำไม่ผิดหนูน่าจะเกิดเดือนสี่ใช่ไหม จิงจิงของแม่เกิดเดือนหก ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นน้องของหนูสองเดือน" ความเป็นกันเองของแม่บุญธรรมที่หานซูอวี้จำได้เลือนรางเมื่อครั้งยังเด็กทำให้เธอผ่อนคลายลง "สวัสดีค่ะแม่บุญธรรม พ่อบุญธรรม" หานซูอวี้โค้งคำนับให้คนทั้งคู่อย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปทักทายเด็กหญิงตัวน้อยอายุรา
ณ สำนักงานกิจการพลเรือน (หน่วยงานทะเบียนราษฎร) บรรยากาศภายในสำนักงานราชการในตอนบ่ายค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมเพดานที่หมุนดังเอื่อย ๆ กับเสียงเจ้าหน้าที่พลิกกระดาษเป็นครั้งคราว หลิวซินนั่งกุมมือลูกสาวอยู่บนม้านั่งไม้ยาว สายตาของเธอจ้องมองพื้นอย่างใช้ความคิด ในขณะที่หานซูอวี้คอยบีบมือให้กำลังใจอยู่เงียบ ๆ ไม่นานนักร่างสูงโปร่งแต่ค่อนซูบของหานจินก็เดินเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีหงุดหงิด เขาเหลือบมองสองแม่ลูกด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่โดยไม่พูดอะไรสักคำ กระบวนการหย่าร้างในยุคนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันมาแล้ว เจ้าหน้าที่เพียงสอบถามยืนยันความสมัครใจของคนทั้งคู่สองสามประโยคก่อนจะยื่นเอกสารให้ลงนาม
เสียงปิดประตูดังปัง! สะท้อนถึงอารมณ์เดือดดาลของหานจินที่เพิ่งผลุนผลันออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่หนักอึ้งและบรรยากาศอึดอัดที่ยังคงอบอวลอยู่ภายในบ้านพักคนงานแสนซอมซ่อ หลิวซินยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากความตึงเครียดที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่แววตาของเธอกลับไม่ได้มีแต่ความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว มันฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวและความหวังที่เพิ่งจะถูกจุดขึ้นมา หานซูอวี้เดินเข้ามาจับมือมารดาอย่างแผ่วเบา "แม่คะ..." หลิวซินหันมามองหน้าลูกสาว ก่อนจะพยักหน้าให้เธอ "เรา...ไปกันเถอะลูก" ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อีก สองแม่ลูกต่างก็รู้ดีว่าพวกเธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งคู่ต่างเริ่มเก็บข้าวของที่เป็นของตนเองอย่างรวดเร็ว&n
"ถ้าคุณยังปากแข็งไม่ยอมหย่ากับฉันดี ๆ และไม่ยอมจ่ายเงินชดเชยหนึ่งพันหยวนให้เราสองแม่ลูกภายในวันนี้ล่ะก็..." หลิวซินเว้นจังหวะเล็กน้อยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ตื่นตระหนกของหานจิน "หลักฐานทั้งหมดนี้จะถูกส่งไปถึงหัวหน้าหน่วยงานของคุณ และกระจายออกไปให้ชาวบ้านรับรู้กันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน! ถึงตอนนั้นคุณก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าชีวิตของคุณจะเป็นยังไง!" คำขู่สุดท้ายของหลิวซินเด็ดขาดและทรงพลังจนหานจินถึงกับชาวาบไปทั้งตัว เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นตามไรผม การถูกเปิดโปงเรื่องชู้สาวในยุคสมัยที่ศีลธรรมยังคงเข้มข้นเช่นนี้มันหมายถึงหายนะอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาจะถูกประณามจากเพื่อนบ้านและคนรู้จัก แต่อาจจะถูกลงโทษจากหน่วยงานที่ทำงานจนถึงขั้นตกงานได้ แล้วถงเหม่ยลี่...ยอดรักของเขาจะยังต้องการผู้ชายที่มีมลทินติดตัวอย่างเขาอีกหรือ? ภาพอนาคตอันมืดมนถาโถมเข้ามาในหัวของหานจิน เขาเหลือบมองใบ
"คุณต้องตัดความสัมพันธ์กับลูกหลังเราหย่ากัน เรื่องของซูอวี้ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของฉันคนเดียวไม่เกี่ยวกับคุณอีก" น้ำเสียงของหลิวซินเต็มไปด้วยความหนักแน่นจนหานจินรู้สึกได้ว่าหล่อนอาจจะเอาจริง กระนั้นเขาก็ยังคงนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนตามเดิม "แล้วก็อีกเรื่อง คุณต้องจ่ายเงินชดเชยให้เราแม่ลูกหนึ่งพันหยวน!" หานจินอ้าปากค้างมองหน้าหลิวซินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา จากท่าทีที่พยายามทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเมื่อครู่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด "หนึ่งพัน! แกจะบ้าเหรอ ฉันจะไปมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง" เขาตอบโต้คอเป็นเอ็น แม้ว่าเขาอยากจะได้ใบหย่าเพื่อไปจดทะเบียนกับยอดรักถงเหม่ยลี่ใจแทบขาดก็ตาม แต่ถ้าหากเขายอมควักเงินออกมาง่าย ๆ นี่ไม่เท่ากับว่าจะเป็นการเปิดโปงตัวเองหรอกหรือที่คนงานขับรถ