สิ้นเสียงปิดประตูดังปัง! ร่างอวบอ้วนของหลิวซินก็ทรุดฮวบนั่งลงไปกองกับพื้นทันที มีดปังตอในมือหล่นกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อกาฬแตกพลั่ก หัวเข่าอ่อนเปลี้ยจนแทบยืนไม่อยู่
ไม่ใช่ว่าเธอไม่หวาดกลัวคมมีดหรือท่าทีคุกคามของสามี แต่สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่ต้องการปกป้องลูกสาวสุดที่รัก ทำให้เธอต้องฝืนทำใจกล้าลุกขึ้นสู้
"แม่คะ!" หานซูอวี้รีบถลาเข้าไปประคองร่างของมารดา สัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทาไปทั้งตัวของผู้เป็นแม่ "แม่ไม่เป็นไรแล้วนะคะ พ่อไปแล้ว" เธอพูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้หนักแน่นที่สุดเท่าที่เด็กวัยสิบสามจะทำได้
พลางออกแรงพยุงร่างท้วมของมารดาให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ซึ่งน่าแปลกที่ตัวเธอเองกลับรู้สึกว่าไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงมากอย่างที่คิด เด็กหญิงช่วยประคองมารดาเข้าไปในห้องนอนขนาดเล็กเท่าแมวดิ้นตายของตน
ซึ่งเป็นหนึ่งในสองห้องนอนของบ้านหลังนี้ บ้านที่ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำหรือห้องอาบน้ำในตัว เวลาจะปลดทุกข์หรือชำระร่างกายพวกเธอต้องเดินออกไปใช้ห้องสุขาและห้องอาบน้ำรวมที่ทางการจัดสรรไว้ให้ในอีกมุมหนึ่งของชุมชน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของบ้านเรือนส่วนใหญ่ในยุคนี้
ภายในห้องแคบ ๆ มีเพียงเตียงไม้แทบจะผุพังกับโต๊ะตัวเล็กที่ใช้วางหนังสือ หานซูอวี้ค่อย ๆ ให้แม่นั่งลงบนเตียงแล้วรีบรินน้ำเปล่าในแก้วที่พอจะหาได้ส่งให้
"ดื่มน้ำก่อนนะคะแม่ เดี๋ยวหนูไปปิดประตูบ้านก่อน"
เมื่อเห็นว่าแม่เริ่มสงบลงบ้างแล้วและยอมเอนตัวลงนอนพักผ่อนตามคำเกลี้ยกล่อมของตน หานซูอวี้จึงค่อย ๆ ถอยออกมาปล่อยให้มารดาได้พักจากความตึงเครียดที่เพิ่งผ่านพ้นไป
ทันทีที่อยู่ตามลำพังโลกในหัวของหานซูอวี้ก็หมุนวนกลับไปสู่ภาพแปลกประหลาดที่เธอเห็นตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพโครงสร้างสามมิติ แสงหลากสีมากมาย รวมถึงข้อมูลจำนวนมากที่ไหลผ่านเข้ามาในสมองราวกับคลื่นยักษ์ ความปวดหัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เริ่มทุเลาลงแต่ความสับสนยังคงอยู่
ขอยินดีต้อนรับสหายเหอซูอวี้เข้าสู่โลกแห่งระบบการแพทย์ล้ำหน้าและการช่วยเหลือฉุกเฉิน กระผม ซูเซิน หรือสหายจะเรียกว่าเทพซูก็ได้ เพราะผมเป็นเอไออัจฉริยะ ยินดีที่ได้รู้จัก
น้ำเสียงใสแจ๋วคล้ายเด็กที่เธอได้ยินก่อนหน้านี้ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง คราวนี้มันทั้งชัดเจนและเป็นมิตรแฝงความเย่อหยิ่งหน่อย ๆ
"ซูเซิน...เทพซู..." หานซูอวี้ทวนชื่อที่ปรากฏขึ้นในหัวซ้ำ ๆ พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตาของเด็กหญิงเบิกกว้างขึ้นมองไปยังผนังห้องที่ว่างเปล่าราวกับกำลังมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? หลังจากที่เธอถูกรถชน...แล้วตื่นขึ้นมาในร่างตัวเองตอนเด็ก...ตอนนี้ยังมีเสียงเด็กผู้ชายที่อ้างตัวว่าเป็นระบบ AI อัจฉริยะดังอยู่ในหัวอีก หรือว่า...อาการปวดหัวอย่างรุนแรงเมื่อครู่ได้ทำลายสมองของเธอไปแล้ว?
"นี่ฉัน...ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?" หานซูอวี้ลองหยิกแขนตัวเอง ความเจ็บแปลบจากแขนยืนยันว่าเธอยังคงตื่นอยู่ และเสียงนั้นก็ยังคงชัดเจนในโสตประสาท
ฝัน? ไม่ใช่แน่นอนครับ สหายหานซูอวี้ น้ำเสียงใสแจ๋ว ทว่าแฝงความมั่นใจของซูเซินตอบกลับ
ทุกเรื่องที่สหายเจออยู่ตอนนี้เป็นความจริงล้วน ๆ และผมก็คือระบบช่วยเหลือทางการแพทย์ที่มีความล้ำหน้ามากที่สุดจากอนาคต ที่ถูกส่งมาเพื่อสนับสนุนสหายในการลิขิตชีวิตใหม่ครั้งนี้โดยเฉพาะ พูดง่าย ๆ ก็คือ สหายโชคดีมากที่ได้เจอกับผม ประโยคท้ายของเจ้าตัวเจือความภาคภูมิใจอย่างปิดไม่มิด
หานซูอวี้กลืนน้ำลายฝืดลงคอ ย้อนในสิ่งที่ได้ยิน ระบบ...ช่วยเหลือทางการแพทย์? หมายความว่ายังไง? แล้ว...แล้วคุณ...เธอ...นาย...เข้ามาอยู่ในหัวของฉันได้ยังไง? เด็กหญิงพยายามเรียบเรียงคำพูดสรรพนามที่ใช้เรียกสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ช่างสับสนเหลือเกิน
"อย่างที่ผมแนะนำตัวไปแล้ว สหายจะเรียกผมว่าซูเซินหรือเทพซูก็ได้ แล้วแต่สะดวก" ซูเซินกล่าว
ก่อนจะอธิบายที่มาที่ไปของตน สำหรับการที่ผมเข้ามาอยู่ในจิตสำนึกของสหายนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากพลังงานมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาในวินาทีที่จิตวิญญาณเดิมของสหายกำลังจะแตกดับ ผนวกกับความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตทำให้เกิดการเชื่อมต่อข้ามมิติและดึงดูดกระผมซึ่งเป็นระบบทดลองที่กำลังล่องลอยอยู่ในห้วงมิติพลังงานให้เข้ามาผสานกับจิตใต้สำนึกของสหายในอดีต...อธิบายแบบนี้สหายพอจะเข้าใจไหมครับ?
หานซูอวี้กะพริบตาปริบ ๆ ถึงจะฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์หลุดโลกแต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เธอเพิ่งย้อนเวลากลับมาได้ การมี AI ในหัวก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว...กระมัง?
"แล้ว...ที่คุณบอกว่าสนับสนุนฉัน...หมายความว่ายังไง" หานซูอวี้ยังคงถามต่อเพื่อความกระจ่าง
กระผมสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลทางการแพทย์ทั้งหมดในอนาคตที่สหายจากมาได้ รวมอีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์อาการผู้ป่วย สร้างแบบจำลองสามมิติของอวัยวะภายใน แสดงผลการวินิจฉัย คำนวณปริมาณยาที่เหมาะสม หรือแม้แต่จำลองขั้นตอนการผ่าตัดที่ซับซ้อนให้สหายได้ฝึกฝนในมโนภาพได้อย่างสมจริง ลองดูตัวอย่างนี้นะครับ หากว่าคุณไม่เชื่อ ซูเซิน ขายตัวเองอย่างเต็มที่
สิ้นเสียงของซูเซิน ทันใดนั้นเองภาพสามมิติของโครงกระดูกมนุษย์ขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นในห้วงมโนภาพของเธอ มันหมุนได้รอบทิศทาง
และเมื่อซูเซินสั่ง โครงกระดูกนั้นก็ซูมเข้าไปยังส่วนของกระดูกสันหลังแสดงให้เห็นถึงความโค้งงอที่ผิดปกติเล็กน้อย พร้อมกับมีตัวอักษรและข้อมูลทางการแพทย์ประกอบปรากฏขึ้นเป็นภาษาที่เธออ่านเข้าใจ
นี่คือ...ภาพจำลองสามมิติของสภาวะกระดูกสันหลังคดในระยะเริ่มต้น กระผมสามารถแสดงผลแบบนี้กับอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย รวมถึงจำลองการไหลเวียนของเลือด หรือการทำงานของระบบประสาทได้ด้วยนะครับสหาย คุณเห็นหรือยังว่าผมเทพมากแค่ไหน ซูเซินอธิบายด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจในความสามารถของตน
หานซูอวี้จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง นี่มัน...ล้ำหน้าเกินไปแล้ว! ถ้าเธอมีสิ่งนี้อยู่ในหัวจริง ๆ...ชีวิตใหม่ของเธอ...การช่วยเหลือแม่...การเป็นแพทย์อย่างที่เคยนึกฝัน...ทุกอย่างอาจจะไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป!
ในระหว่างที่เธอกำลังเรียนรู้อยู่กับระบบ เด็กหญิงก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากห้องนอนของตัวเอง
แม่น่าจะตื่นแล้ว เทพซูเอาไว้พวกเราค่อยคุยกันใหม่นะ
ได้เลยครับ เสียงของเทพซูกล่าว ก่อนจะตัดจบลง
และเมื่อหานซูอวี้เปิดประตูเข้าไปในห้องของเธอ เด็กหญิงมองร่างของแม่ที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่ข้างเตียงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจ โหยหา และคิดถึง
หานซูอวี้ไม่รอช้า เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปกอดร่างอวบอิ่มของมารดาไว้เนิ่นนาน ปล่อยให้ความรู้สึกโหยหาและคิดถึงที่อัดอั้นอยู่เต็มอกได้ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ น้ำตาอุ่น ๆ ไหลซึมอาบแก้มอย่างสุดจะกลั้น แต่ถึงอย่างนั้นแววตาของเธอกลับฉายประกายมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"เกิดอะไรขึ้น ใครรังแกลูกหรือว่าไอ้เลวนั้นกลับมาตีลูกกัน" หลิวซินถามขึ้นด้วยความตกใจ และกล่าวโทษตัวเองที่ไม่น่าแต่งงานกับคนแบบนี้ หล่อนไม่น่าหลงเชื่อคำพูดของแม่สื่อคนนั้นเลยจริง ๆ
"ไม่มีอะไรค่ะแม่ หนูแค่คิดถึงแม่เท่านั้นเอง" น้ำเสียงเจือเสียงสะอื้นของลูกสาวทำให้หลิวซินรู้สึกมึนงง
"คิดถึงอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเราก็อยู่ด้วยกันทุกวันหรอกหรือ" คนเป็นแม่ตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
หานซูอวี้เงยหน้ามองใบหน้าที่คล้ำแดดจากการทำงานหนักด้วยดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่ต้องทำให้ผู้ให้กำเนิดต้องตกใจออกมาอีกคำรบ
"แม่คะ...ฟังหนูนะ" น้ำเสียงของเธอจริงจังเกินวัย "เราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วค่ะ...แม่ต้องหย่ากับพ่อนะคะ"
"ซู...ซูอวี้? ลู...ลูกพูดอะไรน่ะ หย่าหรือ? ทำไม...พ่อเขาแค่...แค่โมโหไปหน่อยเท่านั้นเอง เดี๋ยวเขาก็หาย" น้ำเสียงของหลิวซินสั่นเครือ
หล่อนพยายามหาเหตุผลเข้าข้างสามีอย่างที่เคยทำมาตลอดชีวิต เนื่องจากเธอเองก็รู้ดีว่าการเป็นแม่หม้ายในยุคสมัยนี้จะมีแต่คำครหา อีกทั้งลูกสาวของเธอล่ะจะเป็นอย่างไร
"ไม่ค่ะแม่!" หานซูอวี้ส่ายหน้าจนผมของเธอไหวสั่น แววตาของเธอฉายชัดถึงความเจ็บปวดที่เคยประสบพบเจอมาในอดีตชาติ
"พ่อเขาไม่ได้แค่โมโหค่ะแม่ ที่ผ่านมาแม่ยังเจ็บปวดไม่พออีกหรือคะ? ที่พ่อเขาทำร้ายแม่ ด่าทอแม่เหมือนไม่ใช่คน...มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยนะคะ!"
หลิวซินน้ำตาคลอหน่วย "แต่...แต่ถ้าเราหย่ากัน...แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะลูก? แม่...แม่จะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงหนู..." ความกังวลฉายชัดในแววตาของผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยชินกับการพึ่งพาสามีมาตลอด แม้ว่าการพึ่งพานั้นจะแลกมาด้วยความทุกข์ทรมานก็ตาม
"พ่อเขา...เขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นก็ได้นะลูก บางที...ถ้าแม่พยายามอีกหน่อย..."
"แม่คะ!" หานซูอวี้จับมือที่เย็นชืดของมารดามากุมไว้แน่น "แม่ยังไม่เข้าใจอีกหรือคะ? ที่พ่อทำกับเราแบบนี้...ที่เขาโทษแม่ทุกอย่าง...ก็เพราะเขามีคนอื่น! เขามีผู้หญิงคนใหม่ของเขาแล้วค่ะแม่!"
"ไม่จริง!" หลิวซินร้องออกมาเสียงหลง "พ่อเขาไม่ทำแบบนั้นหรอก! เขา...เขารักแม่กับลูกนะ"
"รักหรือคะแม่?" หานซูอวี้เค้นเสียงถามดวงตาแดงก่ำ "รักแบบไหนที่วัน ๆ เอาแต่กินเหล้า เล่นการพนัน ไม่เคยดูแลครอบครัว แถมยังโทษว่าแม่ผิดที่ไม่มีลูกชายให้เขา! แม่รู้ไหมคะว่านั่นคือเหตุผลที่เขาอ้างเพื่อไปมีคนอื่น! ผู้หญิงคนนั้น...หนูรู้ว่าเขาซ่อนผู้หญิงคนนั้นไว้ที่ไหน"
คำพูดของลูกสาวเหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจของหลิวซิน เธอส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ลึก ๆ แล้ว...บางทีเธออาจจะเคยระแคะระคายมาบ้าง เพียงแต่ไม่กล้ายอมรับความจริง
หานซูอวี้เห็นแม่ยังคงลังเลและสับสน เธอจึงตัดสินใจใช้ไพ่ใบสุดท้าย แม้รู้ว่ามันอาจจะทำให้แม่ตกใจและยากจะทำใจก็ตาม
"แม่คะ...ฟังหนูให้ดีนะ...ถ้าแม่ยังทนอยู่กับพ่อต่อไป...ชีวิตของแม่จะยิ่งเลวร้ายกว่านี้อีก หนูรู้...หนูเห็นมันมาแล้ว..." น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น
"อีกไม่นาน...ประมาณปีหน้า...แม่จะป่วยหนักเพราะท้องนอกมดลูกจากการทำงานหนักและความเครียดสะสม แล้วพ่อ...พ่อเขาก็จะทุบตีแม่จนปางตาย...หนูจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับแม่อีกเด็ดขาด! ไม่ยอมเด็ดขาด!"
เด็กหญิงวัยสิบสามปีประกาศกร้าว ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความเจ็บปวดจากอดีตชาติที่ฉายชัดออกมาจนหลิวซินสัมผัสได้ถึงความจริงจังและความตั้งใจอันแรงกล้าของลูกสาวคนนี้...ลูกสาวที่ดูเหมือนจะเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปจนเธอแทบจำไม่ได้ภายในชั่วเวลาไม่นาน
(นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน) หลิวซินถามตัวเองอย่างไม่อาจหาคำตอบได้
"หานซูอวี้... อ๋อ! เธอคือลูกสาวของน้าหลิวซินที่แม่ฉันเล่าให้ฟังนี่เอง!" หวงจิงยิ้มกว้าง "ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะชู้ตบาสเก่งขนาดนี้! มาเล่นด้วยกันสิ!" คำชวนอย่างเป็นมิตรของหวงจิงทำให้เด็กคนอื่นส่งเสียงเชียร์สนับสนุน หานซูอวี้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและ แววตาท้าทายอย่างเป็นมิตรของพวกเขา มุมปากของเธอพลันยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้าตอบรับ "ก็ได้" เกมเริ่มต้นอีกครั้ง แต่คราวนี้บรรยากาศในสนามเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เด็กชายทุกคนต่างจับจ้องมาที่สมาชิกใหม่ของทีมอย่างหานซูอวี้ และเธอก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง แม้จะอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุสิบสามปีที่ดูภายนอกผอมบาง แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเธอกลับคล่องแคล่ว
ยังไม่ทันที่พวกเธอจะก้าวลงจากรถดีประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง ชายร่างสูงในชุดลำลองแต่ยังคงท่วงท่าสง่างามแบบทหารเดินออกมายิ้มต้อนรับ "ซินซิน ในที่สุดเธอก็มาถึงเสียทีนะ!" เฉินลี่ฮวารีบเข้ามาสวมกอดเพื่อนรักของเธอด้วยความดีใจ "ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะ ต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านของเธอ" จากนั้นเธอก็หันมาแนะนำครอบครัว "นี่คุณเจิ้งหรง สามีของฉัน ส่วนนี่ก็หวงเหม่ย ลูกสาวคนเล็กจ้ะ ฉันยังมีลูกชายอีกคนหนึ่งตอนนี้เขาออกไปเล่นกับเพื่อนอายุน่าจะพอ ๆ กับซูอวี้นี่แหละ หากแม่บุญธรรมจำไม่ผิดหนูน่าจะเกิดเดือนสี่ใช่ไหม จิงจิงของแม่เกิดเดือนหก ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นน้องของหนูสองเดือน" ความเป็นกันเองของแม่บุญธรรมที่หานซูอวี้จำได้เลือนรางเมื่อครั้งยังเด็กทำให้เธอผ่อนคลายลง "สวัสดีค่ะแม่บุญธรรม พ่อบุญธรรม" หานซูอวี้โค้งคำนับให้คนทั้งคู่อย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปทักทายเด็กหญิงตัวน้อยอายุรา
ณ สำนักงานกิจการพลเรือน (หน่วยงานทะเบียนราษฎร) บรรยากาศภายในสำนักงานราชการในตอนบ่ายค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมเพดานที่หมุนดังเอื่อย ๆ กับเสียงเจ้าหน้าที่พลิกกระดาษเป็นครั้งคราว หลิวซินนั่งกุมมือลูกสาวอยู่บนม้านั่งไม้ยาว สายตาของเธอจ้องมองพื้นอย่างใช้ความคิด ในขณะที่หานซูอวี้คอยบีบมือให้กำลังใจอยู่เงียบ ๆ ไม่นานนักร่างสูงโปร่งแต่ค่อนซูบของหานจินก็เดินเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีหงุดหงิด เขาเหลือบมองสองแม่ลูกด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่โดยไม่พูดอะไรสักคำ กระบวนการหย่าร้างในยุคนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันมาแล้ว เจ้าหน้าที่เพียงสอบถามยืนยันความสมัครใจของคนทั้งคู่สองสามประโยคก่อนจะยื่นเอกสารให้ลงนาม
เสียงปิดประตูดังปัง! สะท้อนถึงอารมณ์เดือดดาลของหานจินที่เพิ่งผลุนผลันออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่หนักอึ้งและบรรยากาศอึดอัดที่ยังคงอบอวลอยู่ภายในบ้านพักคนงานแสนซอมซ่อ หลิวซินยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากความตึงเครียดที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่แววตาของเธอกลับไม่ได้มีแต่ความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว มันฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวและความหวังที่เพิ่งจะถูกจุดขึ้นมา หานซูอวี้เดินเข้ามาจับมือมารดาอย่างแผ่วเบา "แม่คะ..." หลิวซินหันมามองหน้าลูกสาว ก่อนจะพยักหน้าให้เธอ "เรา...ไปกันเถอะลูก" ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อีก สองแม่ลูกต่างก็รู้ดีว่าพวกเธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งคู่ต่างเริ่มเก็บข้าวของที่เป็นของตนเองอย่างรวดเร็ว&n
"ถ้าคุณยังปากแข็งไม่ยอมหย่ากับฉันดี ๆ และไม่ยอมจ่ายเงินชดเชยหนึ่งพันหยวนให้เราสองแม่ลูกภายในวันนี้ล่ะก็..." หลิวซินเว้นจังหวะเล็กน้อยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ตื่นตระหนกของหานจิน "หลักฐานทั้งหมดนี้จะถูกส่งไปถึงหัวหน้าหน่วยงานของคุณ และกระจายออกไปให้ชาวบ้านรับรู้กันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน! ถึงตอนนั้นคุณก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าชีวิตของคุณจะเป็นยังไง!" คำขู่สุดท้ายของหลิวซินเด็ดขาดและทรงพลังจนหานจินถึงกับชาวาบไปทั้งตัว เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นตามไรผม การถูกเปิดโปงเรื่องชู้สาวในยุคสมัยที่ศีลธรรมยังคงเข้มข้นเช่นนี้มันหมายถึงหายนะอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาจะถูกประณามจากเพื่อนบ้านและคนรู้จัก แต่อาจจะถูกลงโทษจากหน่วยงานที่ทำงานจนถึงขั้นตกงานได้ แล้วถงเหม่ยลี่...ยอดรักของเขาจะยังต้องการผู้ชายที่มีมลทินติดตัวอย่างเขาอีกหรือ? ภาพอนาคตอันมืดมนถาโถมเข้ามาในหัวของหานจิน เขาเหลือบมองใบ
"คุณต้องตัดความสัมพันธ์กับลูกหลังเราหย่ากัน เรื่องของซูอวี้ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของฉันคนเดียวไม่เกี่ยวกับคุณอีก" น้ำเสียงของหลิวซินเต็มไปด้วยความหนักแน่นจนหานจินรู้สึกได้ว่าหล่อนอาจจะเอาจริง กระนั้นเขาก็ยังคงนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนตามเดิม "แล้วก็อีกเรื่อง คุณต้องจ่ายเงินชดเชยให้เราแม่ลูกหนึ่งพันหยวน!" หานจินอ้าปากค้างมองหน้าหลิวซินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา จากท่าทีที่พยายามทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเมื่อครู่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด "หนึ่งพัน! แกจะบ้าเหรอ ฉันจะไปมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง" เขาตอบโต้คอเป็นเอ็น แม้ว่าเขาอยากจะได้ใบหย่าเพื่อไปจดทะเบียนกับยอดรักถงเหม่ยลี่ใจแทบขาดก็ตาม แต่ถ้าหากเขายอมควักเงินออกมาง่าย ๆ นี่ไม่เท่ากับว่าจะเป็นการเปิดโปงตัวเองหรอกหรือที่คนงานขับรถ