เมื่อทั้งสองคนเดินกลับมาถึงบ้านพักของครอบครัวหวงพร้อมกัน ภาพที่เด็กสองคนเดินหัวเราะต่อกระซิกกันมาอย่างสนิทสนมก็ทำให้เหล่าผู้ใหญ่ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกถึงกับแปลกใจไปตาม ๆ กัน
"อ้าว! พวกลูกไปรู้จักกันตอนไหนเนี่ย" เฉินลี่ฮวาเอ่ยทักด้วยความประหลาดใจ
"เมื่อกี้นี้เองครับแม่!" หวงจิงตอบรับเสียงดังฟังชัดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง "แม่รู้ไหมว่าพี่ใหญ่ซูอวี้สุดยอดขนาดไหน!"
จากนั้นหวงจิงก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่สนามบาสให้ผู้ใหญ่ทั้งสามฟังอย่างออกรสชาติ ทั้งเรื่องที่หานซูอวี้รับลูกบาสได้ เรื่องที่เธอชู้ตจากระยะไกลลงห่วงอย่างแม่นยำ และเรื่องที่เธอเล่นเก่งจนทุกคนในสนามพร้อมใจกันเรียกเธอว่า "พี่ใหญ่"
หลิวซินฟังเรื่องราวของลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทึ่งระคนภูมิใจ ในขณะที่เฉินลี่ฮวาและหวงเจิ้งหรงก็มองมาที่หานซูอวี้ด้วยสายตาชื่นชม
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำวันนั้นจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ เป็นความรู้สึกที่หานซูอวี้และแม่ของเธอไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อย หวงเจิ้งหรงผู้เป็นเสาหลักของบ้านก็เอ่ยขึ้น
"อีกไม่กี่สัปดาห์โรงเรียนมัธยมต้นก็จะเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่แล้วนะซูอวี้ หนูต้องเตรียมตัวสอบเข้า"
"ให้พี่ใหญ่ไปสอบที่เดียวกับผมสิครับพ่อ!" หวงจิงรีบเสนอขึ้นทันที "ไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมสาธิตฯ ด้วยกันนะพี่ใหญ่ ที่นั่นดีที่สุดในเมืองเลย!"
เฉินลี่ฮวากับสามีพยักหน้าเห็นด้วย "นั่นเป็นความคิดที่ดีเลยจ้ะซินซิน ให้เด็ก ๆ เขาเรียนที่เดียวกันจะได้ช่วยเหลือดูแลกันได้" สองสามีภรรยาต่างรีบสนับสนุนความคิดของบุตรชาย
รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวซินแต่แล้วก็หุบลงอย่างรวดเร็ว แววตาของเธอฉายความกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด
"ได้สิ...ว่าแต่...ค่าเรียนประมาณเท่าไหร่อย่างนั้นเหรอ" เธอเอ่ยถามเสียงแผ่วกลัวเหลือเกินว่าเงินหนึ่งพันหยวนที่ได้มาหลังจากหาค่าเช่ารถแล้วจะไม่เพียงพอ และเธออาจจะต้องทำให้ลูกสาวต้องผิดหวัง
หวงเจิ้งหรงผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ถ้าเป็นโรงเรียนรัฐบาลค่าเล่าเรียนต่อเทอมก็ไม่ได้แพงมากนักหรอก น่าจะอยู่ที่ประมาณสิบห้าถึงยี่สิบหยวน บวกกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกเล็กน้อย"
แม้จะเป็นจำนวนเงินที่ไม่สูงนักสำหรับครอบครัวหวงแต่สำหรับหลิวซินที่ตอนนี้ไม่มีรายได้ มันคือรายจ่ายก้อนโตที่ต้องเผชิญไปอีกหลายปี สีหน้าของเธอจึงหมองลง
เฉินลี่ฮวาเห็นท่าทีของเพื่อนรักก็รีบพูดเสริมขึ้นทันที "เธออย่าเพิ่งกังวลไปเลยซินซิน โรงเรียนมัธยมสาธิตฯ เขามีทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่เรียนดี สอบได้อันดับต้น ๆ ของชั้นด้วยนะ" เธอบอกพลางหันมายิ้มให้หานซูอวี้อย่างให้กำลังใจ
"ฉันได้ยินมาว่าซูอวี้ของพวกเราเรียนเก่งมากไม่ใช่เหรอจ๊ะ"
หลิวซินเหลือบมองลูกสาว ในใจยังคงกังวลอยู่ลึก ๆ จริงอยู่ที่ซูอวี้เรียนดีมาตลอด แต่โรงเรียนที่จากมาก็เป็นเพียงโรงเรียนธรรมดาในอำเภอเล็กจะไปสู้กับเด็กในเมืองใหญ่อย่างหนานจิงได้อย่างไร
แต่เมื่อเธอเห็นแววตาที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของหานซูอวี้ ความวิตกเหล่านั้นก็พลันคลายลงไปได้อย่างน่าประหลาด ราวกับว่าลูกสาวคนนี้กำลังบอกเธอว่า ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูทำได้
"แล้วก็อีกเรื่องนะซินซิน" เฉินลี่ฮวาจับมือเพื่อนรักเอาไว้แน่น "เรื่องงาน...เธอไม่ต้องเป็นห่วงเลยนะ"
"คุณเจิ้งหรงเขาช่วยดูทางไว้ให้แล้ว ที่โรงพยาบาลทหารที่เขาทำงานอยู่ ฝ่ายธุรการกำลังจะเปิดรับสมัครเจ้าหน้าที่ธุรการคนใหม่พอดี ถึงจะไม่ใช่งานใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นงานที่มั่นคงและมีสวัสดิการดีเลยละ รวมถึงยังจะมีบ้านพักในนี้ให้ด้วยนะ"
หลิวซินเบิกตากว้างด้วยความดีใจระคนตื้นตัน "จริงเหรอจ๊ะลี่ฮวา"
"จริงสิ" เฉินลี่ฮวาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "เพียงแต่...การจะเข้าไปทำงานได้มันอาจจะต้องผ่านการสอบคัดเลือก ในระหว่างนี้เธอก็แค่ต้องรื้อฟื้นวิชาความรู้ที่เคยเรียนมาตอนมัธยมปลายสักหน่อย ฉันเชื่อว่าเธอทำได้แน่นอน
หลายปีผ่านไป...หลังจากที่เปลวไฟแห่งโศกนาฏกรรมได้มอดดับลง และบาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยาด้วยกาลเวลาและมิตรภาพภายในเรือนสี่ประสานในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนจะสงบสุข... เสียงหัวเราะของเด็กแฝดชายหญิงที่ได้เติบโตขึ้นมากกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน...คือบทเพลงที่ไพเราะที่สุดของบ้านหลังนี้และในวันนั้น...ก็ได้มีแขกคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยม หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีของสถาบัน PUMC ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสุภาพกับกางเกงแสล็คสีดำที่ดูสะอาดสะอ้าน...เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อบุญธรรมทั้งสองคนของเขา ซึ่งก็คือหวังเฉียงและจ้าวลี่ที่ในอ้อมแขนได้อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมาด้วย และเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เขาก็คือหลิวเหว่ย ลูกชายเพียงคนเดียวของผู้กองหลิว...บัดนี้จากเด็กชายวัยสิบสามปีได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน...สมกับเป็นลูกช
"ทุกคน! สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ! ห้ามถอดออกเด็ดขาด!" เสียงที่เด็ดขาดของเกาซูอวี้ดังขึ้นเป็นคำสั่งแรก...เธอรู้ดีว่าควันที่มองเห็นตรงหน้านั้น...เต็มไปด้วยสารเคมีอันตราย ทีมแพทย์ภาคสนามทั้งหมดรีบสวมหน้ากากป้องกันอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความโกลาหลเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยภาพของเปลวเพลิงที่ลุกโชน และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะ...ผสมผสานกับเสียงร้องครวญครางของผู้บาดเจ็บทั้งหมดตรงนี้คือความเป็นจริงที่โหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หวงจิง...ในฐานะศัลยแพทย์ทั่วไป...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลไฟไหม้รุนแรง อู๋ถิง...ในฐานะศัลยแพทย์ระบบประสาท...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ศีรษะจากการระเบิด ส่วนเกาซูอวี้...เธอคือศูนย์บัญชาการของทีมแพทย์ภา
กลางดึกสงัดของกรุงปักกิ่ง...ท่ามกลางการหลับใหลของผู้คน ฉับพลันในวินาทีนั้นได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดดังขึ้นกึกก้อง...ทำลายความเงียบของสถานีดับเพลิงในเขตชานเมือง หวังเฉียงกับจ้าวลี่...สองสหายนักดับเพลิง...กระโจนออกจากเตียงพักผ่อน...แล้วรูดเสาลงมายังชั้นล่างด้วยความเร็วสูงสุดพวกเขาและเพื่อนร่วมทีมต่างรีบสวมชุดป้องกันไฟที่หนักอึ้งอย่างคล่องแคล่ว...ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียด...เพราะสัญญาณเตือนภัยระดับนี้...ย่อมหมายถึงหายนะ ภายในเวลาเดียวกันนั้น...ที่สถานีตำรวจกลางประจำเมือง หลี่หู่กำลังจะปิดแฟ้มสุดท้ายของวัน...แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ได้ดังขึ้น... "ประกาศถึงทุกหน่วย...เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่โกดังเก็บสารเคมี เขตอุตสาหกรรมไป๋หยาง...ขอให้ทุกหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงรีบไปยังที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์และอพยพประชาชนโดยด่ว
คำเรียกขานในอดีต...ได้ทำลายกำแพงที่แข็งกร้าวของดาราสาวจอมวีนลงอย่างสิ้นเชิง...หลินซินซินมองใบหน้าที่สงบนิ่งของนายแพทย์หนุ่มตรงหน้าซ้อนทับกับภาพของเสี่ยวเทียน...เด็กชายขี้อายข้างบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยรอยยิ้ม "คุณ...ออกไปก่อนได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉัน...อยากจะคุยกับคุณหมอเป็นการส่วนตัว" เมื่อภายในห้อง VIP เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน...หยางเทียนก็กลับเข้าสู่โหมดแพทย์ "ผมขออนุญาตนะครับ" เขาพูดพลางเดินเข้าไปใกล้เธอและยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผลที่ศีรษะของเธอที่ได้รับการทำแผลขั้นต้นมาแล้ว สัมผัสที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพของหยางเทียนขณะที่กำลังตรวจบาดแผลที่ศีรษะ...ได้ทำลายกำแพงทั้งหมดในใจของหลินซินซินลง... หลังจาก
อีกสองปีต่อมา...หลังจากที่เหล่าแพทย์ยุคใหม่ได้สร้างตำนานบทแรกของตนเอง...โจวเทา...แพทย์หนุ่มผู้ขยันขันแข็งแห่งแผนกศัลยกรรมกระดูกได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง...ในประเทศเยอรมนี และในวันนี้...คือวันแห่งการจากลา...ภายในสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง...ทีมพี่ใหญ่ทั้งหมด...ได้มารวมตัวกันเพื่อส่งเพื่อนคนสำคัญของพวกเขา "นายต้องตั้งใจให้มากนะ" เกาซูอวี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหายเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเธอกล่าวจบก็มาถึงคราวของซ่งอวิ๋นเซิงสามีสุดที่รักของเธอบ้าง "เทคนิคที่เยอรมนีล้ำหน้ามาก...เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด...แล้วนำมันกลับมาพัฒนาบ้านเรา" ชายหนุ่มลูกสองกล่าวแนะนำในฐานะอาจารย์&
ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องของฤดูหนาว...ที่ปีนี้มีประกาศว่าอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อู๋ถิงที่กำลังเดินทางอยู่บนรถประจำทางไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังจะต้องได้เข้าร่วมกับอุบัติเหตุหมู่ครั้งใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่เขากำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกของรถโดยสารคันใหญ่ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น รถโดยสาร ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ได้แล่นไปทับแผ่นน้ำแข็งสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หิมะเบาบางบนท้องถนน เอี๊ยด! เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นน้ำแข็งอย่างรุนแรงดังขึ้น...ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสาร และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างพลันหมุนคว้างร่วมกับเสียงกรีดร้อง อีกทั้งเสียงโลหะดังสนั่นรวมถึงเสียงกระจกที่แตกละเอียดดังผสมปนเปกันไปหมด...&nbs