"หานซูอวี้... อ๋อ! เธอคือลูกสาวของน้าหลิวซินที่แม่ฉันเล่าให้ฟังนี่เอง!" หวงจิงยิ้มกว้าง
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะชู้ตบาสเก่งขนาดนี้! มาเล่นด้วยกันสิ!"
คำชวนอย่างเป็นมิตรของหวงจิงทำให้เด็กคนอื่นส่งเสียงเชียร์สนับสนุน หานซูอวี้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและ แววตาท้าทายอย่างเป็นมิตรของพวกเขา มุมปากของเธอพลันยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
"ก็ได้"
เกมเริ่มต้นอีกครั้ง แต่คราวนี้บรรยากาศในสนามเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เด็กชายทุกคนต่างจับจ้องมาที่สมาชิกใหม่ของทีมอย่างหานซูอวี้ และเธอก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง
แม้จะอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุสิบสามปีที่ดูภายนอกผอมบาง แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเธอกลับคล่องแคล่วและว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ
การเลี้ยงลูกบาสของเธอติดหนึบกับมือราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย การส่งลูกที่แม่นยำราวกับจับวาง และการป้องกันที่อ่านเกมได้อย่างเฉียบขาด
ทั้งหมดนี้คือทักษะที่มาจากประสบการณ์และสมองของหญิงสาววัยสามสิบสองปี ผนวกเข้ากับพละกำลังและความเร็วที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายนี้โดยที่เธอเองก็ยังไม่รู้ตัว
"เฮ้! พวกทางนี้!" หวงจิงร้องเรียก
หานซูอวี้เหลือบมองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะส่งลูกบาส กระดอนพื้นลอดหว่างขาของผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามไปให้หวงจิงได้ อย่างพอเหมาะพอเจาะจนเขาสามารถทำแต้มไปได้อย่างง่ายดาย
"สุดยอดไปเลย!" หวงจิงตะโกนลั่นอย่างดีใจ
ไม่เพียงแต่เล่นเก่งเท่านั้น หานซูอวี้ยังคอยให้คำแนะนำเพื่อนร่วมทีมอีกด้วย "นายลองย่อตัวลงอีกนิดตอนตั้งรับ จะทรงตัวได้ดีกว่า" เธอหันไปบอกเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังหอบแฮ่ก "แล้วนาย...ลองส่งไปทางนั้นดู มีช่องว่างอยู่"
ในเวลานี้เด็ก ๆ ทุกคนในสนามต่างทึ่งในความสามารถและสายตาที่เฉียบคมของเธอ จากตอนแรกที่แค่อยากจะลองดีกับเด็กใหม่ ตอนนี้กลับกลายเป็นความยอมรับอย่างเต็มใจ
ในจังหวะหนึ่งที่ทีมกำลังจะบุกขึ้นไปทำแต้ม เด็กหนุ่มคนหนึ่งส่งลูกมาให้เธอพร้อมตะโกนขึ้นว่า
"พี่ใหญ่! ชู้ตเลย!"
คำว่า "พี่ใหญ่" ซึ่งเป็นคำที่ปกติแล้วจะใช้เรียกผู้นำกลุ่มที่เป็นผู้ชายทำให้ทุกคนในสนามชะงักไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นท่าทีที่เป็นธรรมชาติและฝีมือที่น่าทึ่งของหานซูอวี้แล้ว ทุกคนต่างก็พยักหน้ายอมรับอย่างพร้อมเพรียงกัน และนับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็พร้อมใจกันเรียกเธอว่า "พี่ใหญ่" อย่างเต็มปากเต็มคำ
ที่สำคัญคือเมื่อมองไปยังเด็กหญิงผมสั้นในชุดลำลองที่ดูคล่องตัวคนนี้ ไม่มีใครในสนามรู้สึกว่าเธอดูบอบบางหรือเป็นเด็กผู้หญิงนุ่มนิ่มที่ต้องคอยออมแรงให้แม้แต่น้อย ในสายตาของพวกเขา เธอคือ "พี่ใหญ่" ผู้นำทีมที่น่าเกรงขามและพึ่งพาได้คนหนึ่ง
พวกเขาเล่นกันจนเหงื่อท่วมตัวและพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง เมื่อทุกคนต่างหมดแรงและตัดสินใจแยกย้าย หวงจิงก็เดินเข้ามาหาเธอ
"วันนี้สนุกมากเลยพี่ใหญ่! พรุ่งนี้มาเล่นด้วยกันอีกนะ" เขายิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร "ไปพี่ใหญ่ พวกเรากลับบ้านกัน"
"อืม" หานซูอวี้พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินนำหวงจิงกลับไปยังบ้านพักของครอบครัวหวง บรรยากาศระหว่างทางเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานของหวงจิงที่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในหมู่บ้านทหารให้เธอฟัง ทำให้หานซูอวี้รู้สึกว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่หนานจิงแห่งนี้...อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เธอเคยหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
หลายปีผ่านไป...หลังจากที่เปลวไฟแห่งโศกนาฏกรรมได้มอดดับลง และบาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยาด้วยกาลเวลาและมิตรภาพภายในเรือนสี่ประสานในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนจะสงบสุข... เสียงหัวเราะของเด็กแฝดชายหญิงที่ได้เติบโตขึ้นมากกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน...คือบทเพลงที่ไพเราะที่สุดของบ้านหลังนี้และในวันนั้น...ก็ได้มีแขกคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยม หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีของสถาบัน PUMC ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสุภาพกับกางเกงแสล็คสีดำที่ดูสะอาดสะอ้าน...เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อบุญธรรมทั้งสองคนของเขา ซึ่งก็คือหวังเฉียงและจ้าวลี่ที่ในอ้อมแขนได้อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมาด้วย และเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เขาก็คือหลิวเหว่ย ลูกชายเพียงคนเดียวของผู้กองหลิว...บัดนี้จากเด็กชายวัยสิบสามปีได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน...สมกับเป็นลูกช
"ทุกคน! สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ! ห้ามถอดออกเด็ดขาด!" เสียงที่เด็ดขาดของเกาซูอวี้ดังขึ้นเป็นคำสั่งแรก...เธอรู้ดีว่าควันที่มองเห็นตรงหน้านั้น...เต็มไปด้วยสารเคมีอันตราย ทีมแพทย์ภาคสนามทั้งหมดรีบสวมหน้ากากป้องกันอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความโกลาหลเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยภาพของเปลวเพลิงที่ลุกโชน และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะ...ผสมผสานกับเสียงร้องครวญครางของผู้บาดเจ็บทั้งหมดตรงนี้คือความเป็นจริงที่โหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หวงจิง...ในฐานะศัลยแพทย์ทั่วไป...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลไฟไหม้รุนแรง อู๋ถิง...ในฐานะศัลยแพทย์ระบบประสาท...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ศีรษะจากการระเบิด ส่วนเกาซูอวี้...เธอคือศูนย์บัญชาการของทีมแพทย์ภา
กลางดึกสงัดของกรุงปักกิ่ง...ท่ามกลางการหลับใหลของผู้คน ฉับพลันในวินาทีนั้นได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดดังขึ้นกึกก้อง...ทำลายความเงียบของสถานีดับเพลิงในเขตชานเมือง หวังเฉียงกับจ้าวลี่...สองสหายนักดับเพลิง...กระโจนออกจากเตียงพักผ่อน...แล้วรูดเสาลงมายังชั้นล่างด้วยความเร็วสูงสุดพวกเขาและเพื่อนร่วมทีมต่างรีบสวมชุดป้องกันไฟที่หนักอึ้งอย่างคล่องแคล่ว...ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียด...เพราะสัญญาณเตือนภัยระดับนี้...ย่อมหมายถึงหายนะ ภายในเวลาเดียวกันนั้น...ที่สถานีตำรวจกลางประจำเมือง หลี่หู่กำลังจะปิดแฟ้มสุดท้ายของวัน...แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ได้ดังขึ้น... "ประกาศถึงทุกหน่วย...เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่โกดังเก็บสารเคมี เขตอุตสาหกรรมไป๋หยาง...ขอให้ทุกหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงรีบไปยังที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์และอพยพประชาชนโดยด่ว
คำเรียกขานในอดีต...ได้ทำลายกำแพงที่แข็งกร้าวของดาราสาวจอมวีนลงอย่างสิ้นเชิง...หลินซินซินมองใบหน้าที่สงบนิ่งของนายแพทย์หนุ่มตรงหน้าซ้อนทับกับภาพของเสี่ยวเทียน...เด็กชายขี้อายข้างบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยรอยยิ้ม "คุณ...ออกไปก่อนได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉัน...อยากจะคุยกับคุณหมอเป็นการส่วนตัว" เมื่อภายในห้อง VIP เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน...หยางเทียนก็กลับเข้าสู่โหมดแพทย์ "ผมขออนุญาตนะครับ" เขาพูดพลางเดินเข้าไปใกล้เธอและยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผลที่ศีรษะของเธอที่ได้รับการทำแผลขั้นต้นมาแล้ว สัมผัสที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพของหยางเทียนขณะที่กำลังตรวจบาดแผลที่ศีรษะ...ได้ทำลายกำแพงทั้งหมดในใจของหลินซินซินลง... หลังจาก
อีกสองปีต่อมา...หลังจากที่เหล่าแพทย์ยุคใหม่ได้สร้างตำนานบทแรกของตนเอง...โจวเทา...แพทย์หนุ่มผู้ขยันขันแข็งแห่งแผนกศัลยกรรมกระดูกได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง...ในประเทศเยอรมนี และในวันนี้...คือวันแห่งการจากลา...ภายในสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง...ทีมพี่ใหญ่ทั้งหมด...ได้มารวมตัวกันเพื่อส่งเพื่อนคนสำคัญของพวกเขา "นายต้องตั้งใจให้มากนะ" เกาซูอวี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหายเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเธอกล่าวจบก็มาถึงคราวของซ่งอวิ๋นเซิงสามีสุดที่รักของเธอบ้าง "เทคนิคที่เยอรมนีล้ำหน้ามาก...เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด...แล้วนำมันกลับมาพัฒนาบ้านเรา" ชายหนุ่มลูกสองกล่าวแนะนำในฐานะอาจารย์&
ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องของฤดูหนาว...ที่ปีนี้มีประกาศว่าอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อู๋ถิงที่กำลังเดินทางอยู่บนรถประจำทางไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังจะต้องได้เข้าร่วมกับอุบัติเหตุหมู่ครั้งใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่เขากำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกของรถโดยสารคันใหญ่ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น รถโดยสาร ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ได้แล่นไปทับแผ่นน้ำแข็งสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หิมะเบาบางบนท้องถนน เอี๊ยด! เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นน้ำแข็งอย่างรุนแรงดังขึ้น...ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสาร และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างพลันหมุนคว้างร่วมกับเสียงกรีดร้อง อีกทั้งเสียงโลหะดังสนั่นรวมถึงเสียงกระจกที่แตกละเอียดดังผสมปนเปกันไปหมด...&nbs