เสียงปิดประตูดังปัง! สะท้อนถึงอารมณ์เดือดดาลของหานจินที่เพิ่งผลุนผลันออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่หนักอึ้งและบรรยากาศอึดอัดที่ยังคงอบอวลอยู่ภายในบ้านพักคนงานแสนซอมซ่อ
หลิวซินยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากความตึงเครียดที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่แววตาของเธอกลับไม่ได้มีแต่ความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว มันฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวและความหวังที่เพิ่งจะถูกจุดขึ้นมา
หานซูอวี้เดินเข้ามาจับมือมารดาอย่างแผ่วเบา "แม่คะ..."
หลิวซินหันมามองหน้าลูกสาว ก่อนจะพยักหน้าให้เธอ "เรา...ไปกันเถอะลูก"
ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อีก สองแม่ลูกต่างก็รู้ดีว่าพวกเธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งคู่ต่างเริ่มเก็บข้าวของที่เป็นของตนเองอย่างรวดเร็ว
ซึ่งของมีค่าในบ้านหลังนี้แทบจะไม่มีอยู่แล้ว มีเพียงเสื้อผ้าเก่าไม่กี่ชุด รูปถ่ายขาวดำของคุณตาคุณยาย และที่สำคัญที่สุดคือจักรเย็บผ้าคู่ใจของหลิวซินซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินเพียงชิ้นเดียวของเธอ
"แม่ติดต่อ...น้าลี่ฮวาของลูกไปแล้วนะ" หลิวซินเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังพับเสื้อผ้าใส่หีบไม้ค่อนข้างเก่า
"แม่ใช้โทรศัพท์สาธารณะที่ตลาดโทรไปหาหล่อนตามเบอร์ที่เคยให้ไว้ในจดหมายฉบับล่าสุด"
หานซูอวี้ชะงักมือหลังได้ยินคำพูดนี้ที่แม่ของเธอกล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง เด็กหญิงหันมามองมารดาด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ
"จริงเหรอคะแม่! แล้ว...แล้วแม่บุญธรรมว่ายังไงบ้างคะ?"
"หล่อนก็ดีใจมากนะสิ ที่แม่โทรไป" หลิวซินยิ้มออกมาทั้งน้ำตาเป็นครั้งแรก "พอแม่เล่าเรื่องของเราคร่าว ๆ เธอก็รีบบอกให้เราไปหาที่หนานจิงทันที พร้อมยังบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องที่พัก สามีของหล่อน...พ่อบุญธรรมของลูกน่ะเป็นหมออยู่ในกองทัพ ฐานะทางบ้านค่อนข้างดีกว่าเรามาก เขามีห้องว่างให้เราสองแม่ลูกอยู่ได้สบาย ๆ เลย แม่ก็เลยคิดว่าระยะแรกอาจจะต้องพึ่งพาครอบครัวของแม่บุญธรรมของลูกไปก่อน"
คำพูดของมารดาทำให้หานซูอวี้รู้สึกโล่งใจอย่างที่สุด ในที่สุด...พวกเธอก็มีที่ไปที่ปลอดภัยแล้ว
"ดีเลยค่ะแม่ งั้นเรารีบไปกันเถอะค่ะ"
เด็กหญิงช่วยแม่เก็บของอย่างขะมักเขม้น เมื่อถึงตอนที่จะต้องยกหีบไม้ที่ใส่เสื้อผ้าจนเต็มแน่น ซึ่งปกติแล้วหลิวซินจะต้องใช้แรงอย่างมากกว่าจะขยับมันได้ หานซูอวี้กลับพูดขึ้นว่า
"เดี๋ยวหนูช่วยยกเองค่ะแม่"
ว่าแล้วเด็กหญิงวัยสิบสามปีก็ออกแรงยกหีบไม้นั้นขึ้นมาอย่างง่ายดายจนน่าตกใจ ความหนักอึ้งที่ควรจะมีกลับรู้สึกเบาโหวงในมือของเธอ หลิวซินมองภาพนั้นด้วยความทึ่งระคนสับสน
"ซูอวี้! ลูก...ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเยอะแยะขนาดนั้น!"
หานซูอวี้เองก็ชะงักไปเช่นกัน เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองใช้แรงไปไม่มากนักแต่หีบก็ลอยขึ้นมาแล้ว "คงเพราะหนูตกใจมั้งคะแม่ เลยมีแรงเยอะเป็นพิเศษ แม่รีบเข็นจักรเย็บผ้ามาเถอะค่ะ หรือว่าจะให้หนูจัดการเองดี"
"ไม่เป็นไรลูก เรื่องจักรเดี๋ยวแม่จัดการเอง" คนเป็นแม่ปฏิเสธ หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็พากันเดินแบบไม่เหลียวหลังกลับไปมองยังบ้านพักสวัสดิการที่ไร้ซึ่งความทรงจำดี ๆ อีกเลย
"หานซูอวี้... อ๋อ! เธอคือลูกสาวของน้าหลิวซินที่แม่ฉันเล่าให้ฟังนี่เอง!" หวงจิงยิ้มกว้าง "ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะชู้ตบาสเก่งขนาดนี้! มาเล่นด้วยกันสิ!" คำชวนอย่างเป็นมิตรของหวงจิงทำให้เด็กคนอื่นส่งเสียงเชียร์สนับสนุน หานซูอวี้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและ แววตาท้าทายอย่างเป็นมิตรของพวกเขา มุมปากของเธอพลันยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้าตอบรับ "ก็ได้" เกมเริ่มต้นอีกครั้ง แต่คราวนี้บรรยากาศในสนามเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เด็กชายทุกคนต่างจับจ้องมาที่สมาชิกใหม่ของทีมอย่างหานซูอวี้ และเธอก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง แม้จะอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุสิบสามปีที่ดูภายนอกผอมบาง แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเธอกลับคล่องแคล่ว
ยังไม่ทันที่พวกเธอจะก้าวลงจากรถดีประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง ชายร่างสูงในชุดลำลองแต่ยังคงท่วงท่าสง่างามแบบทหารเดินออกมายิ้มต้อนรับ "ซินซิน ในที่สุดเธอก็มาถึงเสียทีนะ!" เฉินลี่ฮวารีบเข้ามาสวมกอดเพื่อนรักของเธอด้วยความดีใจ "ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะ ต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านของเธอ" จากนั้นเธอก็หันมาแนะนำครอบครัว "นี่คุณเจิ้งหรง สามีของฉัน ส่วนนี่ก็หวงเหม่ย ลูกสาวคนเล็กจ้ะ ฉันยังมีลูกชายอีกคนหนึ่งตอนนี้เขาออกไปเล่นกับเพื่อนอายุน่าจะพอ ๆ กับซูอวี้นี่แหละ หากแม่บุญธรรมจำไม่ผิดหนูน่าจะเกิดเดือนสี่ใช่ไหม จิงจิงของแม่เกิดเดือนหก ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นน้องของหนูสองเดือน" ความเป็นกันเองของแม่บุญธรรมที่หานซูอวี้จำได้เลือนรางเมื่อครั้งยังเด็กทำให้เธอผ่อนคลายลง "สวัสดีค่ะแม่บุญธรรม พ่อบุญธรรม" หานซูอวี้โค้งคำนับให้คนทั้งคู่อย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปทักทายเด็กหญิงตัวน้อยอายุรา
ณ สำนักงานกิจการพลเรือน (หน่วยงานทะเบียนราษฎร) บรรยากาศภายในสำนักงานราชการในตอนบ่ายค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมเพดานที่หมุนดังเอื่อย ๆ กับเสียงเจ้าหน้าที่พลิกกระดาษเป็นครั้งคราว หลิวซินนั่งกุมมือลูกสาวอยู่บนม้านั่งไม้ยาว สายตาของเธอจ้องมองพื้นอย่างใช้ความคิด ในขณะที่หานซูอวี้คอยบีบมือให้กำลังใจอยู่เงียบ ๆ ไม่นานนักร่างสูงโปร่งแต่ค่อนซูบของหานจินก็เดินเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีหงุดหงิด เขาเหลือบมองสองแม่ลูกด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่โดยไม่พูดอะไรสักคำ กระบวนการหย่าร้างในยุคนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันมาแล้ว เจ้าหน้าที่เพียงสอบถามยืนยันความสมัครใจของคนทั้งคู่สองสามประโยคก่อนจะยื่นเอกสารให้ลงนาม
เสียงปิดประตูดังปัง! สะท้อนถึงอารมณ์เดือดดาลของหานจินที่เพิ่งผลุนผลันออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่หนักอึ้งและบรรยากาศอึดอัดที่ยังคงอบอวลอยู่ภายในบ้านพักคนงานแสนซอมซ่อ หลิวซินยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากความตึงเครียดที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่แววตาของเธอกลับไม่ได้มีแต่ความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว มันฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวและความหวังที่เพิ่งจะถูกจุดขึ้นมา หานซูอวี้เดินเข้ามาจับมือมารดาอย่างแผ่วเบา "แม่คะ..." หลิวซินหันมามองหน้าลูกสาว ก่อนจะพยักหน้าให้เธอ "เรา...ไปกันเถอะลูก" ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อีก สองแม่ลูกต่างก็รู้ดีว่าพวกเธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งคู่ต่างเริ่มเก็บข้าวของที่เป็นของตนเองอย่างรวดเร็ว&n
"ถ้าคุณยังปากแข็งไม่ยอมหย่ากับฉันดี ๆ และไม่ยอมจ่ายเงินชดเชยหนึ่งพันหยวนให้เราสองแม่ลูกภายในวันนี้ล่ะก็..." หลิวซินเว้นจังหวะเล็กน้อยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ตื่นตระหนกของหานจิน "หลักฐานทั้งหมดนี้จะถูกส่งไปถึงหัวหน้าหน่วยงานของคุณ และกระจายออกไปให้ชาวบ้านรับรู้กันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน! ถึงตอนนั้นคุณก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าชีวิตของคุณจะเป็นยังไง!" คำขู่สุดท้ายของหลิวซินเด็ดขาดและทรงพลังจนหานจินถึงกับชาวาบไปทั้งตัว เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นตามไรผม การถูกเปิดโปงเรื่องชู้สาวในยุคสมัยที่ศีลธรรมยังคงเข้มข้นเช่นนี้มันหมายถึงหายนะอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาจะถูกประณามจากเพื่อนบ้านและคนรู้จัก แต่อาจจะถูกลงโทษจากหน่วยงานที่ทำงานจนถึงขั้นตกงานได้ แล้วถงเหม่ยลี่...ยอดรักของเขาจะยังต้องการผู้ชายที่มีมลทินติดตัวอย่างเขาอีกหรือ? ภาพอนาคตอันมืดมนถาโถมเข้ามาในหัวของหานจิน เขาเหลือบมองใบ
"คุณต้องตัดความสัมพันธ์กับลูกหลังเราหย่ากัน เรื่องของซูอวี้ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของฉันคนเดียวไม่เกี่ยวกับคุณอีก" น้ำเสียงของหลิวซินเต็มไปด้วยความหนักแน่นจนหานจินรู้สึกได้ว่าหล่อนอาจจะเอาจริง กระนั้นเขาก็ยังคงนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนตามเดิม "แล้วก็อีกเรื่อง คุณต้องจ่ายเงินชดเชยให้เราแม่ลูกหนึ่งพันหยวน!" หานจินอ้าปากค้างมองหน้าหลิวซินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา จากท่าทีที่พยายามทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเมื่อครู่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด "หนึ่งพัน! แกจะบ้าเหรอ ฉันจะไปมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง" เขาตอบโต้คอเป็นเอ็น แม้ว่าเขาอยากจะได้ใบหย่าเพื่อไปจดทะเบียนกับยอดรักถงเหม่ยลี่ใจแทบขาดก็ตาม แต่ถ้าหากเขายอมควักเงินออกมาง่าย ๆ นี่ไม่เท่ากับว่าจะเป็นการเปิดโปงตัวเองหรอกหรือที่คนงานขับรถ