ณ สำนักงานกิจการพลเรือน (หน่วยงานทะเบียนราษฎร)
บรรยากาศภายในสำนักงานราชการในตอนบ่ายค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมเพดานที่หมุนดังเอื่อย ๆ กับเสียงเจ้าหน้าที่พลิกกระดาษเป็นครั้งคราว
หลิวซินนั่งกุมมือลูกสาวอยู่บนม้านั่งไม้ยาว สายตาของเธอจ้องมองพื้นอย่างใช้ความคิด ในขณะที่หานซูอวี้คอยบีบมือให้กำลังใจอยู่เงียบ ๆ
ไม่นานนักร่างสูงโปร่งแต่ค่อนซูบของหานจินก็เดินเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีหงุดหงิด เขาเหลือบมองสองแม่ลูกด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่โดยไม่พูดอะไรสักคำ
กระบวนการหย่าร้างในยุคนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันมาแล้ว เจ้าหน้าที่เพียงสอบถามยืนยันความสมัครใจของคนทั้งคู่สองสามประโยคก่อนจะยื่นเอกสารให้ลงนาม
"เงินล่ะ?" หลิวซินเอ่ยถามเสียงเรียบหลังจากที่ปากกาในมือของเธอจรดลงบนกระดาษเป็นที่เรียบร้อย
หานจินแค่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในควักปึกธนบัตรที่มัดไว้อย่างดีออกมาวางบนโต๊ะตรงหน้าอย่างกระแทกกระทั้น
"หนึ่งพันหยวน! ครบ! ต่อไปนี้เราขาดกัน!"
เขามองหน้าหลิวซินเป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากสำนักงานไปอย่างไม่ไยดีราวกับว่าผู้หญิงและเด็กที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตนมาก่อน
หลิวซินมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับสายตา น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นน้ำตาของการปลดปล่อยจากพันธนาการที่ผูกมัดเธอมาเนิ่นนาน
"ไปกันเถอะค่ะแม่" หานซูอวี้เอ่ยขึ้นพลางช่วยแม่เก็บเงินปึกนั้นใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง "ชีวิตใหม่ของเรารออยู่ที่หนานจิงนะคะ"
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย สองแม่ลูกก็พากันมายังท่ารถโดยสารเพื่อหารถเดินทางไปยังหนานจิง พวกเธอไม่ได้ขึ้นรถประจำทางที่แออัดยัดเยียดเพราะด้วยเงินทุนก้อนแรกที่ได้มา
หานซูอวี้ตัดสินใจเรียกรถว่าจ้างซึ่งเป็นรถจี๊ปรุ่นเก่าคันหนึ่งที่รับจ้างเดินทางระหว่างเมืองโดยเฉพาะ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางพร้อมกับสัมภาระซึ่งมีจักรเย็บผ้าอันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญรวมอยู่ด้วย
เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากเมืองจวี้หรงที่คุ้นเคย ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนจากบ้านเรือนที่แออัดเป็นทุ่งนาและชนบท
หลิวซินเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างในใจยังคงรู้สึกโหวงเหวงและไม่แน่ใจกับอนาคตที่มองไม่เห็น แต่เมื่อเธอมองมายังลูกสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างและเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและไม่หวาดหวั่นของหานซูอวี้ ความกลัวเหล่านั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความหวัง
หานซูอวี้เองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน นี่คือการเดินทางเพื่อลิขิตชีวิตใหม่อย่างแท้จริง เธอจะไม่ยอมให้ความผิดพลาดในอดีตชาติมาซ้ำเติมแม่อีกแล้ว ที่หนานจิงพวกเธอจะมีชีวิตที่ดีขึ้นเธอจะทำให้มันเป็นจริงให้ได้!
รถจี๊ปวิ่งอยู่บนถนนนานหลายชั่วโมง จนในที่สุดภาพเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาคารและผู้คนก็ปรากฏขึ้นแก่สายตา หนานจิง...เมืองหลวงเก่าแก่ที่บัดนี้กำลังจะกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกเธอ
คนขับรถพาพวกเธอมาส่งยังจุดหมายปลายทางตามที่บอกไว้ นั่นคือหมู่บ้านของกองทัพซึ่งเป็นเขตที่พักอาศัยสำหรับครอบครัวของนายทหารโดยเฉพาะ บรรยากาศที่นี่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน และให้ความรู้สึกปลอดภัย แตกต่างจากสภาพแวดล้อมเดิมของพวกเธออย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่รถจอดสนิทหานซูอวี้ก็เห็นร่างของหญิงสาวท่าทางใจดีคนหนึ่งยืนรอพวกเธออยู่หน้าอาคารหลังหนึ่ง พร้อมกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยืนเกาะขาเธออยู่...นั่นต้องเป็นคุณน้าเฉินลี่ฮวาหรือแม่บุญธรรมของเธออย่างแน่นอน
"ซินซิน! ซูอวี้! ทางนี้จ้ะ!" เสียงร้องทักทายอย่างอบอุ่นและดีใจนั้นทำให้ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางของสองแม่ลูกมลายหายไปสิ้น...และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นใหม่ของเธอทั้งสองคนแม่ลูก
"หานซูอวี้... อ๋อ! เธอคือลูกสาวของน้าหลิวซินที่แม่ฉันเล่าให้ฟังนี่เอง!" หวงจิงยิ้มกว้าง "ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะชู้ตบาสเก่งขนาดนี้! มาเล่นด้วยกันสิ!" คำชวนอย่างเป็นมิตรของหวงจิงทำให้เด็กคนอื่นส่งเสียงเชียร์สนับสนุน หานซูอวี้มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและ แววตาท้าทายอย่างเป็นมิตรของพวกเขา มุมปากของเธอพลันยกขึ้นสูงก่อนจะพยักหน้าตอบรับ "ก็ได้" เกมเริ่มต้นอีกครั้ง แต่คราวนี้บรรยากาศในสนามเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เด็กชายทุกคนต่างจับจ้องมาที่สมาชิกใหม่ของทีมอย่างหานซูอวี้ และเธอก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง แม้จะอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุสิบสามปีที่ดูภายนอกผอมบาง แต่ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเธอกลับคล่องแคล่ว
ยังไม่ทันที่พวกเธอจะก้าวลงจากรถดีประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง ชายร่างสูงในชุดลำลองแต่ยังคงท่วงท่าสง่างามแบบทหารเดินออกมายิ้มต้อนรับ "ซินซิน ในที่สุดเธอก็มาถึงเสียทีนะ!" เฉินลี่ฮวารีบเข้ามาสวมกอดเพื่อนรักของเธอด้วยความดีใจ "ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะ ต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านของเธอ" จากนั้นเธอก็หันมาแนะนำครอบครัว "นี่คุณเจิ้งหรง สามีของฉัน ส่วนนี่ก็หวงเหม่ย ลูกสาวคนเล็กจ้ะ ฉันยังมีลูกชายอีกคนหนึ่งตอนนี้เขาออกไปเล่นกับเพื่อนอายุน่าจะพอ ๆ กับซูอวี้นี่แหละ หากแม่บุญธรรมจำไม่ผิดหนูน่าจะเกิดเดือนสี่ใช่ไหม จิงจิงของแม่เกิดเดือนหก ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นน้องของหนูสองเดือน" ความเป็นกันเองของแม่บุญธรรมที่หานซูอวี้จำได้เลือนรางเมื่อครั้งยังเด็กทำให้เธอผ่อนคลายลง "สวัสดีค่ะแม่บุญธรรม พ่อบุญธรรม" หานซูอวี้โค้งคำนับให้คนทั้งคู่อย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปทักทายเด็กหญิงตัวน้อยอายุรา
ณ สำนักงานกิจการพลเรือน (หน่วยงานทะเบียนราษฎร) บรรยากาศภายในสำนักงานราชการในตอนบ่ายค่อนข้างเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมเพดานที่หมุนดังเอื่อย ๆ กับเสียงเจ้าหน้าที่พลิกกระดาษเป็นครั้งคราว หลิวซินนั่งกุมมือลูกสาวอยู่บนม้านั่งไม้ยาว สายตาของเธอจ้องมองพื้นอย่างใช้ความคิด ในขณะที่หานซูอวี้คอยบีบมือให้กำลังใจอยู่เงียบ ๆ ไม่นานนักร่างสูงโปร่งแต่ค่อนซูบของหานจินก็เดินเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีหงุดหงิด เขาเหลือบมองสองแม่ลูกด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่โดยไม่พูดอะไรสักคำ กระบวนการหย่าร้างในยุคนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันมาแล้ว เจ้าหน้าที่เพียงสอบถามยืนยันความสมัครใจของคนทั้งคู่สองสามประโยคก่อนจะยื่นเอกสารให้ลงนาม
เสียงปิดประตูดังปัง! สะท้อนถึงอารมณ์เดือดดาลของหานจินที่เพิ่งผลุนผลันออกไปจากบ้าน ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่หนักอึ้งและบรรยากาศอึดอัดที่ยังคงอบอวลอยู่ภายในบ้านพักคนงานแสนซอมซ่อ หลิวซินยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากความตึงเครียดที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่แววตาของเธอกลับไม่ได้มีแต่ความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว มันฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวและความหวังที่เพิ่งจะถูกจุดขึ้นมา หานซูอวี้เดินเข้ามาจับมือมารดาอย่างแผ่วเบา "แม่คะ..." หลิวซินหันมามองหน้าลูกสาว ก่อนจะพยักหน้าให้เธอ "เรา...ไปกันเถอะลูก" ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อีก สองแม่ลูกต่างก็รู้ดีว่าพวกเธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งคู่ต่างเริ่มเก็บข้าวของที่เป็นของตนเองอย่างรวดเร็ว&n
"ถ้าคุณยังปากแข็งไม่ยอมหย่ากับฉันดี ๆ และไม่ยอมจ่ายเงินชดเชยหนึ่งพันหยวนให้เราสองแม่ลูกภายในวันนี้ล่ะก็..." หลิวซินเว้นจังหวะเล็กน้อยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ตื่นตระหนกของหานจิน "หลักฐานทั้งหมดนี้จะถูกส่งไปถึงหัวหน้าหน่วยงานของคุณ และกระจายออกไปให้ชาวบ้านรับรู้กันถ้วนหน้าอย่างแน่นอน! ถึงตอนนั้นคุณก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าชีวิตของคุณจะเป็นยังไง!" คำขู่สุดท้ายของหลิวซินเด็ดขาดและทรงพลังจนหานจินถึงกับชาวาบไปทั้งตัว เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นตามไรผม การถูกเปิดโปงเรื่องชู้สาวในยุคสมัยที่ศีลธรรมยังคงเข้มข้นเช่นนี้มันหมายถึงหายนะอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เขาจะถูกประณามจากเพื่อนบ้านและคนรู้จัก แต่อาจจะถูกลงโทษจากหน่วยงานที่ทำงานจนถึงขั้นตกงานได้ แล้วถงเหม่ยลี่...ยอดรักของเขาจะยังต้องการผู้ชายที่มีมลทินติดตัวอย่างเขาอีกหรือ? ภาพอนาคตอันมืดมนถาโถมเข้ามาในหัวของหานจิน เขาเหลือบมองใบ
"คุณต้องตัดความสัมพันธ์กับลูกหลังเราหย่ากัน เรื่องของซูอวี้ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของฉันคนเดียวไม่เกี่ยวกับคุณอีก" น้ำเสียงของหลิวซินเต็มไปด้วยความหนักแน่นจนหานจินรู้สึกได้ว่าหล่อนอาจจะเอาจริง กระนั้นเขาก็ยังคงนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนตามเดิม "แล้วก็อีกเรื่อง คุณต้องจ่ายเงินชดเชยให้เราแม่ลูกหนึ่งพันหยวน!" หานจินอ้าปากค้างมองหน้าหลิวซินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา จากท่าทีที่พยายามทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเมื่อครู่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด "หนึ่งพัน! แกจะบ้าเหรอ ฉันจะไปมีเงินมากขนาดนั้นได้ยังไง" เขาตอบโต้คอเป็นเอ็น แม้ว่าเขาอยากจะได้ใบหย่าเพื่อไปจดทะเบียนกับยอดรักถงเหม่ยลี่ใจแทบขาดก็ตาม แต่ถ้าหากเขายอมควักเงินออกมาง่าย ๆ นี่ไม่เท่ากับว่าจะเป็นการเปิดโปงตัวเองหรอกหรือที่คนงานขับรถ