ยังไม่ทันที่พวกเธอจะก้าวลงจากรถดีประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดออกอีกครั้ง ชายร่างสูงในชุดลำลองแต่ยังคงท่วงท่าสง่างามแบบทหารเดินออกมายิ้มต้อนรับ
"ซินซิน ในที่สุดเธอก็มาถึงเสียทีนะ!" เฉินลี่ฮวารีบเข้ามาสวมกอดเพื่อนรักของเธอด้วยความดีใจ "ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นนะ ต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านของเธอ"
จากนั้นเธอก็หันมาแนะนำครอบครัว "นี่คุณเจิ้งหรง สามีของฉัน ส่วนนี่ก็หวงเหม่ย ลูกสาวคนเล็กจ้ะ ฉันยังมีลูกชายอีกคนหนึ่งตอนนี้เขาออกไปเล่นกับเพื่อนอายุน่าจะพอ ๆ กับซูอวี้นี่แหละ หากแม่บุญธรรมจำไม่ผิดหนูน่าจะเกิดเดือนสี่ใช่ไหม จิงจิงของแม่เกิดเดือนหก ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นน้องของหนูสองเดือน" ความเป็นกันเองของแม่บุญธรรมที่หานซูอวี้จำได้เลือนรางเมื่อครั้งยังเด็กทำให้เธอผ่อนคลายลง
"สวัสดีค่ะแม่บุญธรรม พ่อบุญธรรม" หานซูอวี้โค้งคำนับให้คนทั้งคู่อย่างนอบน้อม ก่อนจะหันไปทักทายเด็กหญิงตัวน้อยอายุราวหกขวบที่กำลังยืนแอบอยู่ด้านหลังแม่ของตนอย่างเขินอาย
ทางด้านหวงเจิ้งหรงก็เอ่ยทักทายเด็กหญิงออกมาอย่างเป็นกันเอง "สวัสดีหนูซูอวี้ เดินทางมาเหนื่อย ๆ เข้าไปพักในบ้านก่อนเถอะ" รอยยิ้มของชายหนุ่มลูกสองเต็มไปด้วยความอบอุ่นต้อนรับสองแม่ลูกผู้พลัดถิ่น
ครอบครัวหวงช่วยกันขนสัมภาระของสองแม่ลูกเข้าไปในบ้านด้วยความเต็มใจ เฉินลี่ฮวาจัดแจงพาแม่และเธอไปยังห้องนอนที่เตรียมไว้ให้
ซึ่งเป็นห้องที่สะอาดสะอ้านและดูสบายกว่าบ้านหลังเก่าของพวกเธอมากนัก บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความอบอุ่นนี้ทำให้หลิวซินอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
หลังจากจัดของเข้าที่ได้ไม่นานหานซูอวี้ก็สังเกตเห็นว่าแม่ของเธอกับแม่บุญธรรมกำลังนั่งจับมือพูดคุยถึงเรื่องราวที่ผ่านมากันอย่างออกรส ด้วยความเข้าใจว่าผู้ใหญ่คงอยากจะมีเวลาส่วนตัว เธอจึงเอ่ยขอตัวออกมาเดินเล่นสำรวจรอบ ๆ หมู่บ้านทหารแห่งนี้ บรรยากาศในหมู่บ้านนั้นสงบและเป็นระเบียบอย่างที่คิด ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน มีต้นไม้ร่มรื่นตลอดสองข้างทาง
เธอเดินเล่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงลูกบาสกระทบพื้นดังมาแต่ไกลนำพาเธอมาจนถึงสนามบาสเกตบอล ค่อนข้างเก่าแห่งหนึ่ง ที่นั่น...มีเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันประมาณห้าหกคนกำลังวิ่งไล่ลูกบาสกันอย่างสนุกสนาน
หานซูอวี้ยืนมองพวกเขาเล่นอยู่ข้างสนามด้วยความสนใจ ในใจพลันรู้สึกถึงความสงบสุขที่ห่างหายไปนาน ทันใดนั้นเอง! ลูกบาสลูกหนึ่งก็กระดอนหลุดออกมาจากวงและพุ่งตรงมาทางที่เธอยืนอยู่พอดิบพอดี!
ตามสัญชาตญาณของคนที่ผ่านโลกมาแล้วรอบหนึ่ง หานซูอวี้ไม่ได้มีท่าทีตกใจ เธอเพียงแค่ยื่นมือออกไปข้างหน้าคว้าหมับเข้าที่ลูกหนังที่ลอยมานั้นไว้ได้อย่างพอดิบพอดีและนุ่มนวลราวกับมันเป็นเรื่องง่ายดาย
เด็กวัยเดียวกันในสนามหยุดชะงัก หันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน "เฮ้! ส่งบอลมาหน่อย!" หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น
หานซูอวี้มองแป้นบาสที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล...คะเนจากสายตาน่าจะเกินสามเมตร โดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก เธอเพียงแค่ใช้ข้อมือสะบัดส่งลูกบาสนั้นกลับคืนไปยังทิศทางของแป้น
ฟุ่บ!
ลูกบาสลอยโค้งเป็นวิถีงดงามก่อนจะร่วงลงห่วงไปอย่างแม่นยำจนเกิดเสียงตาข่ายสะบัดเบา ๆ!
เกิดความเงียบกริบขึ้นในสนามบาสแห่งนั้นชั่วขณะ เด็กชายทั้งห้าหกคนต่างอ้าปากค้างพลางมองมาที่เธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ ผู้หญิงที่ไหนกันโยนลูกจากระยะไกลขนาดนั้นลงห่วงได้อย่างง่ายดายปานนั้น!
ความตกตะลึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความทึ่งและความชื่นชม เด็ก ๆ กลุ่มนั้นพากันวิ่งกรูกันเข้ามาหาเธอ
"สุดยอด! เธอทำได้ยังไงน่ะ!" เด็กชายคนหนึ่งที่ดูสนุกสนานและเป็นมิตรที่สุดเอ่ยทักขึ้นก่อนใคร "ฉันชื่อหวงจิงนะ แล้วเธอล่ะ?"
หานซูอวี้เลิกคิ้วสูง ทวนชื่อของเขาในใจ...หวงจิง? ลูกชายของแม่บุญธรรมนี่เอง "ฉันชื่อหานซูอวี้ เพิ่งย้ายมาวันนี้"
หลายปีผ่านไป...หลังจากที่เปลวไฟแห่งโศกนาฏกรรมได้มอดดับลง และบาดแผลทั้งหมดได้รับการเยียวยาด้วยกาลเวลาและมิตรภาพภายในเรือนสี่ประสานในบ่ายวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนจะสงบสุข... เสียงหัวเราะของเด็กแฝดชายหญิงที่ได้เติบโตขึ้นมากกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน...คือบทเพลงที่ไพเราะที่สุดของบ้านหลังนี้และในวันนั้น...ก็ได้มีแขกคนสำคัญเดินทางมาเยี่ยม หนุ่มน้อยวัยสิบแปดปีของสถาบัน PUMC ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวอย่างสุภาพกับกางเกงแสล็คสีดำที่ดูสะอาดสะอ้าน...เดินเข้ามาพร้อมกับพ่อบุญธรรมทั้งสองคนของเขา ซึ่งก็คือหวังเฉียงและจ้าวลี่ที่ในอ้อมแขนได้อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งมาด้วย และเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เขาก็คือหลิวเหว่ย ลูกชายเพียงคนเดียวของผู้กองหลิว...บัดนี้จากเด็กชายวัยสิบสามปีได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอ่อนโยน...สมกับเป็นลูกช
"ทุกคน! สวมหน้ากากป้องกันสารพิษ! ห้ามถอดออกเด็ดขาด!" เสียงที่เด็ดขาดของเกาซูอวี้ดังขึ้นเป็นคำสั่งแรก...เธอรู้ดีว่าควันที่มองเห็นตรงหน้านั้น...เต็มไปด้วยสารเคมีอันตราย ทีมแพทย์ภาคสนามทั้งหมดรีบสวมหน้ากากป้องกันอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวเข้าไปในความโกลาหลเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยภาพของเปลวเพลิงที่ลุกโชน และเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะ...ผสมผสานกับเสียงร้องครวญครางของผู้บาดเจ็บทั้งหมดตรงนี้คือความเป็นจริงที่โหดร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ หวงจิง...ในฐานะศัลยแพทย์ทั่วไป...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่มีบาดแผลไฟไหม้รุนแรง อู๋ถิง...ในฐานะศัลยแพทย์ระบบประสาท...รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ศีรษะจากการระเบิด ส่วนเกาซูอวี้...เธอคือศูนย์บัญชาการของทีมแพทย์ภา
กลางดึกสงัดของกรุงปักกิ่ง...ท่ามกลางการหลับใหลของผู้คน ฉับพลันในวินาทีนั้นได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดดังขึ้นกึกก้อง...ทำลายความเงียบของสถานีดับเพลิงในเขตชานเมือง หวังเฉียงกับจ้าวลี่...สองสหายนักดับเพลิง...กระโจนออกจากเตียงพักผ่อน...แล้วรูดเสาลงมายังชั้นล่างด้วยความเร็วสูงสุดพวกเขาและเพื่อนร่วมทีมต่างรีบสวมชุดป้องกันไฟที่หนักอึ้งอย่างคล่องแคล่ว...ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตึงเครียด...เพราะสัญญาณเตือนภัยระดับนี้...ย่อมหมายถึงหายนะ ภายในเวลาเดียวกันนั้น...ที่สถานีตำรวจกลางประจำเมือง หลี่หู่กำลังจะปิดแฟ้มสุดท้ายของวัน...แต่แล้ววิทยุสื่อสารก็ได้ดังขึ้น... "ประกาศถึงทุกหน่วย...เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงที่โกดังเก็บสารเคมี เขตอุตสาหกรรมไป๋หยาง...ขอให้ทุกหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงรีบไปยังที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์และอพยพประชาชนโดยด่ว
คำเรียกขานในอดีต...ได้ทำลายกำแพงที่แข็งกร้าวของดาราสาวจอมวีนลงอย่างสิ้นเชิง...หลินซินซินมองใบหน้าที่สงบนิ่งของนายแพทย์หนุ่มตรงหน้าซ้อนทับกับภาพของเสี่ยวเทียน...เด็กชายขี้อายข้างบ้านเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วยรอยยิ้ม "คุณ...ออกไปก่อนได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกผู้จัดการส่วนตัวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ฉัน...อยากจะคุยกับคุณหมอเป็นการส่วนตัว" เมื่อภายในห้อง VIP เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคน...หยางเทียนก็กลับเข้าสู่โหมดแพทย์ "ผมขออนุญาตนะครับ" เขาพูดพลางเดินเข้าไปใกล้เธอและยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผลที่ศีรษะของเธอที่ได้รับการทำแผลขั้นต้นมาแล้ว สัมผัสที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพของหยางเทียนขณะที่กำลังตรวจบาดแผลที่ศีรษะ...ได้ทำลายกำแพงทั้งหมดในใจของหลินซินซินลง... หลังจาก
อีกสองปีต่อมา...หลังจากที่เหล่าแพทย์ยุคใหม่ได้สร้างตำนานบทแรกของตนเอง...โจวเทา...แพทย์หนุ่มผู้ขยันขันแข็งแห่งแผนกศัลยกรรมกระดูกได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อเฉพาะทางด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง...ในประเทศเยอรมนี และในวันนี้...คือวันแห่งการจากลา...ภายในสนามบินนานาชาติกรุงปักกิ่ง...ทีมพี่ใหญ่ทั้งหมด...ได้มารวมตัวกันเพื่อส่งเพื่อนคนสำคัญของพวกเขา "นายต้องตั้งใจให้มากนะ" เกาซูอวี้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะรู้สึกใจหายเล็กน้อยก็ตาม หลังจากเธอกล่าวจบก็มาถึงคราวของซ่งอวิ๋นเซิงสามีสุดที่รักของเธอบ้าง "เทคนิคที่เยอรมนีล้ำหน้ามาก...เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด...แล้วนำมันกลับมาพัฒนาบ้านเรา" ชายหนุ่มลูกสองกล่าวแนะนำในฐานะอาจารย์&
ท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องของฤดูหนาว...ที่ปีนี้มีประกาศว่าอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา อู๋ถิงที่กำลังเดินทางอยู่บนรถประจำทางไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าตัวกำลังจะต้องได้เข้าร่วมกับอุบัติเหตุหมู่ครั้งใหญ่อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่เขากำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกของรถโดยสารคันใหญ่ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น รถโดยสาร ที่กำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ได้แล่นไปทับแผ่นน้ำแข็งสีดำที่ซ่อนอยู่ภายใต้หิมะเบาบางบนท้องถนน เอี๊ยด! เสียงล้อรถที่เสียดสีกับพื้นน้ำแข็งอย่างรุนแรงดังขึ้น...ตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจของผู้โดยสาร และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างพลันหมุนคว้างร่วมกับเสียงกรีดร้อง อีกทั้งเสียงโลหะดังสนั่นรวมถึงเสียงกระจกที่แตกละเอียดดังผสมปนเปกันไปหมด...&nbs