เลือดในตัวสรวิชญ์กำลังเดือด ชนิดใครอยู่ใกล้เป็นต้องรู้สึกถึงไอร้อน เข็มวินาทีบนนาฬิกาที่ติดผนังทำเอาแทบบ้า
เขาไม่น่าเชื่อคำพูดของสิริยาที่กล่อมขอมาเรียนในกรุงเทพฯเลย ดูเอาเถิด เกิดเรื่องจนได้ แล้วนี่ไอ้หนุ่มเด็กบาร์นั่นจะพาน้องเขาไปตกระกำลำบากที่ไหน แค่คิดเส้นเลือดก็ปูนเกร็งขึ้นขมับ
สรวิชญ์สมควรทำอะไรได้มากกว่าการนั่งรอ ลูกน้องเมื่อเห็นลูกพี่นิ่ง ต่างมองตากันเลิ่กลั่ก รู้ว่าเห็นเงียบแบบนี้พายุใหญ่กำลังจะมาเป็นแน่
“เมี๊ยว...”
ปุณิกาเผลอทำจานที่ตั้งใจมาปิดชามบะหมี่ระหว่างรอสุกตก เธอร้องเสียงแมวตามนิสัยปรกติ ทว่ากลับทำให้ความอดทนของใครบางคนขาดผึง เจ้าของร่างสูงผุดลุกจากโซฟารับแขก เดินดุ่มไปยังเธอที่เอาจานปิดชามบะหมี่สำเร็จแล้ว
“น้องเธอพาน้องฉันหนีไปไหนก็ยังไม่รู้ เธอเป็นพี่ประสาอะไร ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ยังห่วงกินมาม่าอยู่ได้”
เธอเห็นภาพกองไฟลุกในดวงตาสีนิล
“ก็จะให้ทำอะไรได้ล่ะ โทรไปแม้วก็ไม่รับ แถมพวกคุณยังมาเพ่นพ่านเต็มบ้าน ฉันขอแค่กินมาม่าเอง”
เขาช่างเถื่อน ไม่มีเหตุผล ไร้ระเบียบ เหมือนเคราที่ขึ้นรกเต็มใบหน้า
“น้องหายไปทั้งคน รู้จักทุกข์รู้จักร้อนเสียบ้างสิ” ปุณิกาไม่พอใจในคำกล่าวหา แต่ต้องทำละเลยเสีย คุยกับคนอารมณ์ร้อน หากยิ่งร้อนตามพานจะกลายเป็นการฟืนใส่กองไฟให้โหมกระพือวอดวายเสียทั้งสองฝ่าย
“เดี๋ยวเขาก็กลับมากันเองแหละ หน้าที่เราคือต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ใช้เหตุผลคุย”
สรวิชญ์ย่างสุขุมเข้ามาใกล้ เขาสูงจนเธอต้องมองชนิดคอแหงนตั้งบ่า
“เธอก็พูดอย่างนั้นได้นะสิ น้องเธอเป็นผู้ชาย ไม่ต้องเสียอะไรเลย”
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
เธอกอดอก แสดงอาการให้รู้ว่าไม่กลัว
“ผู้ชายกับผู้หญิง หนีไปด้วยกันมันจะเป็นไรไปได้...”
คนพูดยื่นหน้าลงมาหาเธอในลักษณะคุกคาม
“คุณคิดสกปรก น้องฉันเป็นสุภาพบุรุษพอ”
อย่างน้อยปุณณภพไม่เคยมีความประพฤติเสียหายเรื่องผู้หญิง
“อย่าคิดว่าผู้ชายทุกคนเหมือนตัวเองหมด”
น่าสงสารน้องสาวเขาเหลือเกิน ที่ตีตรายัดข้อหาว่าเสียความบริสุทธิ์จากผู้เป็นพี่
“เหมือนตัวฉันแล้วยังไง เธอเป็นใคร ทำเป็นพูดเหมือนรู้จักฉันดี”
“ฉันรู้จักคุณแน่ ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าเป็นพวกป่าเถื่อน ชอบใช้อารมณ์ ชอบใช้กำลัง”
สรวิชญ์ขบฟันแล้วหรี่ตา
“ปากดีจริงนะเธอน่ะ”
คนน่ากลัวนิ่งไปครู่ ก่อนแสยะยิ้มร้าย
“งั้นฉันจะใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน เมื่อน้องเธอเอาน้องฉันไป ฉันก็จะเอาตัวเธอไปเหมือนกัน เฮ้ย! เตรียมรถ กูจะกลับไร่”
สิ้นคำสั่งเขา ร่างอรชรก็ลอยหวือขึ้นบ่า เอวปุณิกาอยู่บนไหล่เขา สภาพเหมือนแบกถุงข้าวสาร
“ปล่อยฉันนะเว้ย! ช่วยด้วยค่ะ มีคนจะลักพาตัวฉัน”
เธอพยายามทั้งดิ้น ทั้งกำมือระดมตีแผ่นหลัง แต่คนอุ้มเธออยู่ไม่สะดุ้งสะเทือน
“เอามือถือมาด้วย เผื่อได้เด็กนั่นโทรมา”
สรวิชญ์ยังรอบคอบพอจะให้ลูกน้องเก็บเครื่องมือสื่อสาร เมื่อถึงรถตู้ ชายหนุ่มก็จับเธอยัดเข้าทันที
ปุณิกาพยายามพุ่งตัวออก ร่างใหญ่โตก็เบียดกระแซะ ถอดเข็มขัดตัวเองมามัดข้อมือเธอไว้ ท่ามกลางเสียงโวยวายของเธอ
รถตู้แล่นฝ่าการจราจรอันหนาแน่นของยามค่ำในเมืองหลวง ปุณิกาพยายามส่งเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ผูกปากตนไว้ ด้วยเสียงดังมากนักจึงถูกสรวิชญ์ใช้ผ้ามัดปาก ตอนนี้เหลือเพียงดวงตาส่งประกายแวววับ แทบเผาเขาไหม้เป็นจุณ สรวิชญ์ไม่สน นั่งกอดอกมองตรงไปทางคนขับ ออกไปสู่ถนนข้างหน้า
“อื้อ...”
เธอพยายามดันไหล่ดุนตัวเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“อยู่นิ่ง ๆ อย่าโวยวายมาก ถ้าฉันทนไม่ได้เดี๋ยวก็ฉีดยาสลบช้างให้เสียหรอก”
ปุณิกาไม่กลัวคำขู่ ด้วยบางอย่างในกายเรียกร้อง
“อื้อ...”
“อะไรอีกล่ะ เธอนี่น่ารำคาญเสียจริง”
เสียงตวาดทำให้บรรยากาศในรถยิ่งตึงเครียด แทบได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน
“อื้อ...”
คราวนี้เธอมาพร้อมอาการกระทืบเท้าประกอบ
“แก้ผ้าผูกปากออกหน่อยเถอะครับคุณเต้ย เหมือนเธออยากบอกอะไร”
นายหน้าเสี้ยมเสนอ
“ไม่เอา กูหนวกหู”
“อื้อ...”
หญิงสาวส่ายศีรษะหน้าแดง ลูกน้องเหลือบมองกดดันลูกพี่
“เออ ๆ ก็ได้ ถ้าโวยวายนัก คราวนี้เตรียมยาสลบช้างได้เลย”
สรวิชญ์กระชากผ้าปิดปากออกจากหน้า เลื่อนมาอยู่ที่คอเธอ
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
ปุณิกาหน้าแดง ทั้งอายทั้งโกรธ ผู้ชายคนนี้หยาบคายที่สุด เขาข่มขู่ ทรมาน ทำให้เธอเสียหน้า
“เฮ้ย ! แวะปั๊มข้างหน้า”
สั่งคนขับแล้วเหล่มาทางหญิงสาว
“เธอน่ะทนได้ใช่ไหม อย่ามาฉี่ราดในรถฉันนะ”
“ฉันมีสำนึกพอ ไม่ใช่หมา นึกจะฉี่ตรงไหนก็ฉี่”
คุยกับคนไร้มารยาท ก็ต้องไม่มีมารยาทตอบ สมกันดี
“ถ้าถึงปั๊มแล้วฉันให้เวลาเธอห้านาที”
“จะบ้าเหรอไง ไม่ใช่ฝึกวินัยทหารนะ ขอเวลาส่วนตัวฉันบ้างสิ”
สรวิชญ์กอดอกมองเธออย่างประเมิน
“เจ็ดนาที”
“ยี่สิบ”
“สิบ”
“สิบห้า”
“สิบสอง ฉันไม่ให้มากกว่านี้แล้ว ถ้าช้าฉันจะไปลากเธอมาทั้ง ๆ ยังแก้ผ้าอยู่นั่นแหละ”
หน้าดุ เสียงก็ดุ แถมยังชอบขู่ คนอย่างนี้จะมีน้องสาวสวยเพียงใดหนอ ขนาดทำให้ปุณณภพผู้ไม่เคยมีเรื่องราวผู้หญิง ถึงกับพาหนีได้
“สิบสองนาทีก็ได้ ถ้าเข้ามาห้องน้ำหญิงฉันจะกรี๊ดให้คนช่วยจริง ๆ นะ คุณมันโรคจิต”
“แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยพาผู้หญิงหนี”
คนนั่งหน้าเธอเชิดหน้าอย่างทะนง
“แต่ลักพาตัวผู้หญิง”
ลูกน้องที่แอบฟังกันอยู่ถึงกับยิ้ม นาน ๆ ทีจะเจอคนกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้านายบ้าง แถมยังเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ดูแล้วบันเทิงดูไม่หยอก
“ฉันต้องเอาเธอมาไว้เป็นตัวประกัน ถ้าไอ้เด็กนั่นเอาน้องฉันมาคืน เธอจะได้กลับไป”
ปุณิกาทีแรกใจชื้น แต่ทว่าลึกๆ กลับฉุกคิด หนุ่มสาวที่ตัดสินใจหนีตามกันไปมักจะมีจุดหักเหให้บุ่มบ่ามตัดสินใจ เหตุผลหนึ่งในนั้นคือการตั้งครรภ์ ...หากเป็นเช่นนั้นจริงผู้ชายคนนี้จะจัดการกับเธอและน้องแบบไหนล่ะ เขาน่าจะยังเกรงกลัวกฎหมายไม่จับไปยิงทิ้งหรอกนะ
สรวิชญ์ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถตู้ ตายังมองไปทางห้องน้ำหญิง
“ทำอย่างนี้จะดีเหรอครับคุณเต้ย”
วสันต์ลูกน้องหน้าเสี้ยมคู่ใจพยักหน้าไปตามจุดหมายสายตาลูกพี่
“ไอ้เด็กนั่นมันเอาสตางค์ไป กูก็แค่เอาพี่มันมา จะคืนให้ก็ต้องแลกหมูแลกแมว”
ในสายตาวสันต์ ที่สรวิชญ์พามาไม่ใช่หมู เป็นแมวส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ
“ทางตำรวจว่าไง”
“มีรายงานว่ากล้องวงจรปิดแถวด่านเห็นรถทะเบียนคันที่ว่าขับไปทางใต้ครับ”
“ส่งคนของเราไปตามรอย ลากตัวมันมาให้ได้”
ชายหนุ่มอัดบุหรี่ลงปอดจนปลายมวนเป็นไฟสีแดงวาบ
“แล้วจะทำยังไงกับตัวพี่สาวครับ คนหายไปทั้งคนญาติไม่ตามหากันใหญ่เหรอครับ”
“ช่างแ-งมัน! ถ้าอยากเสือกนักให้มาเจอกับกูเลย”
สิริยาเป็นที่รักของพี่ชายนัก อาการสรวิชญ์จึงหนักเมื่อรู้ว่าน้องหายไป เขากำลังปล่อยอารมณ์ให้อยู่เหนือเหตุผล ซึ่งไม่ใช่บุคลิกของสรวิชญ์ตามปรกติเลย
“เฮ้ย ! มึงให้คนไปดูสิ ทำไมพี่สาวไอ้เด็กนั่นถึงเข้าห้องน้ำนานนัก ตกส้วมตายไปหรือยังไง”
ยังไม่ถึงนาทีเส้นตายที่เขาตกลงกับปุณิกาไว้ แต่ความเงียบสงบหน้าห้องน้ำหญิงทำเขาหงุดหงิด จะปล่อยให้อีกฝ่ายทำตัวสบาย ๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวไม่ได้ เธอต้องทุกข์เหมือนกับเขาสิ
ปุณิกาทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว เธอยืนอยู่หน้ากระจก รอดูว่าจะมีใครผ่านมาให้ขอความช่วยเหลือบ้าง จะสู้กับโจรต้องทำตัวร้ายยิ่งกว่า เรื่องเสียสัจจะนั้นจิ๊บ ๆ
มีสาวใหญ่หน้าแฉล้มใส่ต่างหูห้อยเป็นพู่ระย้าเข้ามาใช้บริการห้องน้ำ เจ้าหล่อนย่นจมูกทันทีเมื่อเห็นความสะอาด...ที่ระดับแค่พอใช้ จนในที่สุดก็ตัดใจใช้ห้องหนึ่ง ปุณิการอจนสาวคนนั้นเสร็จกิจจึงเริ่มหว่านล้อม
“คุณคะ ช่วยฉันหน่อย ฉันถูกลักพาตัวมา”
ปุณิกาอธิบายพร้อมพนมมือแนบอก
“จะขอเงินเหรอ ฉันไม่มีให้หรอกนะ”
สาวหน้าแฉล้มผงะหนีอย่างขยะแขยง
“เปล่าค่ะ แค่จะให้ช่วยเรียกคนในปั๊มมาช่วยฉันหน่อย ข้างนอกมีพวกคนร้ายคอยคุมเชิงฉันอยู่”
“โอ๊ย ! ไม่ใช่ธุระอะไรของฉัน ร้องกรี๊ดดัง ๆ สิ เดี๋ยวคนก็มา”
ปุณิกายิ้มแห้ง หว่านล้อมต่อ
“พวกมันอยู่หน้าห้องน้ำ ขืนฉันกรี๊ดตอนนี้มีแต่จะเฮโลกันเข้ามาจับนะสิ พวกมันมีกันสี่คน สองคนคุมเชิงอยู่ข้างหน้า อีกสองคนอยู่ที่รถตู้ คันสีดำ ๆ ติดฟิล์มมืดอ่ะค่ะ ไม่เชื่อคุณลองไปดู”
อีกฝ่ายโผล่หน้าไปจริง ๆ สบตากับผู้ชายหน้าโหดที่ยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ มองไปทางรถตู้ก็เห็นอีกสอง สายตากำลังตรงมาทางนี้เช่นกัน
“นะคะคุณ ช่วยฉันหน่อยฐานะเป็นผู้หญิงด้วยกัน”
“ไม่ใช่เธอเป็นนางนกต่อจะมาตบเงินฉันหรอกนะ” มือกอดกระเป๋าถืออย่างหวงแหน
หากไม่อยู่ในอารมณ์โกรธ สรวิชญ์คือคนสุขุมคนหนึ่ง เขาแสดงออกโดยการจัดการจดทะเบียนสมรสกับปุณิกาเสียในบ่ายนั้น“ฉันอยากให้ลูกเกิดภายใต้ทะเบียนสมรส”เธอมองกระดาษแผ่นที่ชาตินี้ตัวเองไม่คิดว่าจะได้มันมาอย่างงง ๆ จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นนาง พ่วงด้วยนามสกุลอะไรสักอย่างที่ยาว ๆ“คำนำหน้าเอาเป็นนางเลยนะ จะได้ไม่ต้องไปทำไข่เจียวกะเพราปลากระป๋องให้ใครกิน”คนหน้าดุบอกต่อหน้าเจ้าหน้าที่จดทะเบียน“นามสกุลเขาก็ใช้ของผม”สรวิชญ์ทำตัวเป็นเจ้าชีวิตเธอทุกเรื่อง แต่เอ...ไข่เจียวกะเพราปลากระป๋อง“ฉันทำเมนูนี้อร่อยนะ พ่อฉันก็ชอบกิน”“ต่อไปทำฉันกินคนเดียว”เธอทำท่านึก“ต้องให้แสนดีเป็นหนูทดลองชิมก่อน ไม่ได้ทำตั้งนานแล้ว กลัวฝีมือตก”“ให้ไอ้แสนเป็นหนูทดลองไม่ได้”ปุณิกาคอย่น เขาทำเหมือนโกรธเสียเต็มประดา“ฉันจะเป็นคนกินเอง”หญิงสาวโคลงศีรษะ เอาล่ะ...อยากเป็นหนูทดลองก็จะยอมให้เป็น หลังออกจากสำนักงานเขตเขาก็สั่งคนขับรถมุ่งกลับไร่ ทิ้งกรุงเทพฯและปุณณภพไว้เบื้องหลัง น้องชายบอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมในปลายเดือนนี้ ระหว่างทางสรวิชญ์ก็ยกมือเธอขึ้น สวมแหวนฝังทับทิมสีแดงที่นิ้วนางของเธอ“ไปแอบซื้อตอนไหนคะ”อัญมณีเล่นไฟทอประกายสวย
มีผู้คนในซอยกลับมาดูสภาพความเสียหายอยู่พอสมควร แต่ก็ได้เพียงอยู่นอกเส้นสีเหลืองกั้น ที่ทั้งอาสาทั้งตำรวจ คอยบอกไม่ให้ล้ำเส้นกั้นเข้ามาปุณิกากับปุณณภพเห็นสภาพซอยที่เคยคึกคัก บ้านที่เคยสวยงาม จนบัดนี้เหลือแต่ตอตำ กลิ่นไหม้ลอยคละคลุ้งเสียดแทงจมูกไปถึงในหัวใจ ผู้ประสบภัยบางคนร้องไห้ตัวโยน ร้องบอกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...หมดตัวแล้ว ปุณิกาจำได้ว่าคนนี้เป็นเพื่อนบ้านกลางซอยสรวิชญ์มาจับแขน ดึงเธอกลับจากภวังค์ เป็นสัญญาณให้รีบไป เพราะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินเสียแล้วห้างสรรพสินค้าคือสถานที่ต่อไปซึ่งเขาพามา สรวิชญ์สั่งให้คนขับเลี้ยวรถไปยังห้างแรกที่เห็น เขาเอารถเข็นให้ ปล่อยปุณิกาเลือกซื้อเสื้อผ้าตามใจ โดยมีตัวเองเดินตามอยู่ไม่ห่าง แม้กระทั่งเข้าแผนกชุดชั้นใน“ไปที่อื่นก่อนได้ไหม ฉันขอซื้อของส่วนตัว”ปุณิกาหยุดรถอย่างเหลืออด หน้าหุ่นโชว์ใส่บราเซียร์ลูกไม้สีดำยั่วยวน“ฉันเป็นเจ้าของเงินนะ ขอดูด้วยสิว่าคุ้มหรือเปล่า”สรวิชญ์ชอบที่เธอกลับมาปีนเกลียวกับเขาได้เหมือนเดิม นี่แหละปุณิกาของเขา“ฉันไม่ต้องการความเห็นคุณ เพราะคนใส่คือฉัน”“แต่คนถอดก็เป็นฉันอยู่ดี”ชายหนุ่มแกล้งมองเธอตลอดร่าง แบบที่ปุณิ
“ก็เหมือนที่นายทำกับสตางค์นั่นแหละ เอามิ้มเป็นเมีย”สรวิชญ์ตอบแบบหน้าตาเฉย อีกฝ่ายง้างหมัดเตรียมชกแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงหนึ่งเสียก่อน“แม้วหยุดนะ!”ปุณิกาห้ามเขาด้วยเสียงจริงจัง“คุณก็ได้ด้วยคุณเต้ย หยุดยั่วแม้วเสียที”รถเข็นเธอชะงัก พนักงานเลิ่กลั่กรอดูเหตุการณ์“แต่มันทำพี่ท้องนะ”“พี่อาจมีปัญหาในช่องท้อง ไม่ได้มีเด็กก็ได้ อย่าตื่นตูมไป คุณคะ เข็นต่อไปเลย”ปุณิกาหลบสายตา หันบอกพนักงาน การเดินทางไปยังแผนกสูตินรีเวชจึงเริ่มต่อไป รถเข็นเธอไปจอดยังแถวเก้าอี้ที่นั่งรอหมอเรียกหญิงสาวประสานมือกันแน่นจนเห็นข้อขาว เธอคงไม่โชคร้าย ขนาดเจอแจ็คพอตติดกันซ้อน ๆ แบบนี้หรอก ตั้งแต่โดนลักพาตัว กลายเป็นว่าที่คุณป้า บ้านโดนไฟไหม้ และเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี่ ...เธออาจตั้งท้องเสียงพยาบาลเรียกชื่อ เป็นดังเสียงขาลให้ก้าวเข้าสู่ลานประหาร สรวิชญ์เข้ามาแย่งเข็นเธอไปยังห้องพบแพทย์“คุณปุณิกานะครับ”นายแพทย์สูงวัย ที่สวมแว่นสายตาเลื่อนมากลางดั้งจมูก มองประวัติเธอในจอคอมพิวเตอร์ แล้วยิ้มให้“ค่ะ”เธอรับคำด้วยเสียงอันแห้งผาก สายตาแลไปเห็นเก้าอี้ที่มีขาหยั่ง และจอมอนิเตอร์ข้างกัน“เรามาขึ้นขาหยั่งดูน้องกัน
ปุณิกามายืนอยู่ในสถานที่เดิมอีกแล้ว ณ ที่ท้องฟ้าสีฟ้าใส เมฆขาวเป็นปุยลอยละล่อง มีลมเย็นพัดประพรมผิว ใต้เท้าเป็นพื้นหญ้าเขียวสดนุ่มดังกำมะหยี่ไกลออกไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาแทบระดิน พ่อกับแม่ยืนเคียงกันอยู่ตรงนั้น เธอยิ้มแล้วเดินไปหา สงสัยนี่คงจะเป็นการมารับเธอไปอยู่ด้วยจริง ๆ บางทีปุณิกาอาจตายเสียแล้วในกองเพลิงอีกแค่เอื้อมก็จะถึงร่างบุคคลอันเป็นที่รัก แต่มีมือแข็ง ๆ สีทองแดงมายึดแขนเธอไว้เสียก่อน“ปล่อยนะ ฉันจะไปหาพ่อกับแม่”ปุณิกาขมวดคิ้วเอ็ดเขา ดูเอาเถิด แม้เป็นการขึ้นสวรรค์อันผาสุกสรวิชญ์ยังจะตามมาราวีเธอไม่เลิก“...อย่าไป”เสียงห้าวที่เปล่งออกมานั้นคือคำสั่งชัด ๆ ดวงตาสีรัตติกาลเข้มดุจ้องเขม็งมายังเธอ“ปล่อยสิ...คุณเต้ย”เขาได้ทุกอย่างไปจากเธอแล้ว ได้เอาคืนปุณณภพสมใจ แล้วเหตุใดยังมาเร้าหรือ ฉุดรั้งเธอไม่ให้ไป“พ่อคะแม่คะ”ปุณิกายื่นมือออกไป หวังให้ท่านช่วย มารดาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้ม“ยังไม่ถึงเวลาของมิ้มหรอกจ้ะ...อยู่กับเขาก่อนนะ”“มิ้มไม่เอาเขานะคะ พ่อแม่...”เธอร้องสุดเสียง ร่างสรวิชญ์หมุนวนกลายเป็นจุดดำฉุดร่างเธอให้ม้วนเป็นเกลียว ดิ่งลึกสู่ห้วงมืดสนิทตาโตลืมตื่นขึ้นในท
“ห่าเอ๊ย!”สรวิชญ์สบถแทบจะทุกสิบนาทีที่อยู่บนรถ ชายหนุ่มวิ่งแซงซ้ายปาดขวาด้วยใจร้อนรน มือถือวางไว้ตรงคอนโซลรถเปิดไลฟ์สดข่าวไฟไหม้ในซอยบ้านปุณิกาเกือบสองชั่วโมงแล้วผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพลิงยังไม่สงบ มีการสัมภาษณ์ผู้คนในซอย สรวิชญ์ภาวนาให้ตนได้ยินเสียงปุณิกาด้วยเถิดแต่คำอธิษฐานของคนไม่ศรัทธาในคุณพระคุณเจ้าอย่างเขาไม่ได้ผล เพราะคนที่นักข่าวไปสัมภาษณ์กี่คนต่อกี่คนก็ไม่ใช่เธอชายหนุ่มมองป้ายสีเขียวที่ตั้งโดดเด่น บอกว่ากำลังจะเข้าเขตกรุงเทพฯ แม้เป็นช่วงกลางคืนแต่รถในเมืองหลวงยังคลาคล่ำเขาต้องอดใจไม่กดแตรโวยวายใส่รถคันหน้า ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าบ้านปุณิกาต้องขึ้นทางด่วนไปเส้นไหนละวะ ปรกติเขาจำเส้นทางได้แม่น แต่ตอนนั้นไม่ได้ขับรถเอง และความโกรธก็บังตา ส่วนไอ้คนขับรถโน่น...เคล้าสุรานารีอยู่ซ่องเจ๊นวล ตัวเลือกเดียวคือเขาพอจะพึ่งได้ก็คือ“ครับ”คนรับสายรับแบบไม่มีงัวเงียสักนิดเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์เจ้านาย“มึงจำทางไปบ้านไอ้แม้วได้ไหม”วสันต์เป็นคนนั่งหน้าข้างคนขับในวันนั้น เขาจึงเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจะจำเส้นทางได้“ครับ...แขวงXXX เขตXXX ถนนXXX ซอยXXX บ้านเลขที่XXX หลังคาสีฟ้า”ลูกน้องความจำดี
ค่ำคืนนี้ปุณิกาจาม น้ำมูกไหล ศีรษะปวดจี๊ด ๆ จึงกินยาแก้ปวดไปสองเม็ด เธอโทษว่าอาจด้วยเพราะอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาวอย่างเช่นเมื่อตอนกลางวัน แดดเปรี้ยงอยู่ดี ๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีฝนก็ตก ทำให้เธอและเพื่อนร่วมออฟฟิศที่เพิ่งกินข้าวกลางวันมา ต้องวิ่งฝ่าฝนโปรยเข้าออฟฟิศเพราะกลัวเข้างานช่วงบ่ายช้า นี่อาจเป็นเหตุเสริมความผิดปรกติของร่างกายในคืนนี้ปุณิกาเข้านอนตามปรกติ แล้วก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะรอบบ้าน เธอเปิดหน้าต่างออกดูเห็นคนวิ่งกรูมากลางซอย“ไฟไหม้ ๆ”เสียงตะโกนต่อเป็นทอด ๆ เรียกความสนใจให้เธอชะเง้อคอดูจากหน้าต่าง จมูกได้กลิ่นไหม้ฉุนรุนแรง ตาเห็นเปลวเพลิงสีแดงอมส้มเริงระบำตามกระแสลมโหมหญิงสาวรีบปิดหน้าต่างลงออกมาจากห้องทันที เมื่อถึงหน้าประตูบ้านก็พบว่ารถติดยาว ทั้งรถยนต์ ทั้งมอเตอร์ไซด์ ต่างคนต่างรีบพาพาหนะอันมีค่าหนีไปให้พ้นจากพระเพลิงที่กำลังโหม“โธ่เว้ย! ติดกันแน่นคับซอยอย่างนี้ รถดับเพลิงจะเข้าได้ยังไง”ผู้เฒ่าชายที่บ้านใกล้กับเธอบ่น“เห็นแก่ตัวกันจริง ๆ เดี๋ยวไฟก็ยิ่งไหม้ลามหมด”“บ่นอยู่นั่นแหละตาแก่ รีบหนีก่อนเร็ว ออกไปให้พ้นซอย รักษาชีวิตไว้ดีกว่า”เฒ่าหญิงบ้านเดียวกันรี