LOGINหลังอาหารมื้อเช้าที่พ่อกับแม่ไปตลาดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านค้าซื้อมา ฉางเล่ยกับฉางชิงหยูออกไปที่หมู่บ้านด้วยรถยนต์เพื่อขนไม้มาทำชั้นวาง ซูเมี่ยวจินกับแม่ฉางช่วยกันติดราคานาฬิกาและวางเรียงเอาไว้ในตู้กระจกหน้าร้าน ฉางเซียงจูก่อนออกจากบ้านยังบอกทุกคนว่าเธอจะไปประกาศบอกเพื่อนในโรงเรียนว่าบ้านเธอขายนาฬิการาคาไม่แพง เพราะนาฬิกาแบบใส่ถ่านที่แม่กับพ่อเธอซื้อมานั้นราคาถูกกว่านาฬิกาไขลานที่พี่สะใภ้ซื้อมาเกือบสองเท่า เธอจึงคิดว่าเพื่อนที่มีเงินในโรงเรียนน่าจะสนใจมาซื้อของที่บ้านเธอ ซึ่งพี่สะใภ้บอกว่าถ้าติดราคาเสร็จจะลองเปิดหน้าร้านขายดูก่อน
ก่อนมื้อเที่ยง ฉางเล่ยกับพ่อฉางก็กลับมาจากไปตัดไม้ พวกเขาช่วยกันขนไม้ลงมาวางที่ลานหลังร้านและล้างมือล้างไม้ไปกินข้าวเที่ยงพร้อมแม่ฉางกับซูเมี่ยวจินที่ตั้งโต๊ะรอมาสักพักแล้ว
“ทำไมตัดไม้มาเยอะแบบนี้ล่ะคะ” ซูเมี่ยวจินเห็นกองไม้มากมายเข้าก็อดจะถามไม่ได้
“ผมกับพ่อคิดจะทำเก้าอี้เอาไว้ให้ลูกค้านั่งรอในร้านด้วยน่ะครับ” ฉางเล่ยยิ้มตอบ
“อืม… ก็ดีเหมือนกันนะคะ เผื่อว่ามีคนเลือกของนานแล้วคนที่มาด้วยอยากรอ”
“ลูกอยากได้ชั้นแบบไหนล่ะเมี่ยวจิน” ฉางชิงหยูถามเพื่อที่เขากับลูกชายจะได้ทำออกมาให้เสร็จเร็ว ๆ
“พ่อกับอาเล่ยกะขนาดเครื่องใช้ไฟฟ้าพวกพัดลม กาน้ำร้อน กับวิทยุให้วางได้พอดีก็ได้แล้วค่ะ ขนาดก็ไม่ต้องใหญ่มากนัก จะได้มีทางเดินให้ลูกค้าเดินเลือกได้” ซูเมี่ยวจินบอกแบบชั้นวางของที่เธอต้องการ
“ไม่มีปัญหา พ่อกับอาเล่ยจะวัดขนาดให้พอดีกับของพวกนั้นเอง ทำชั้นสูงแค่สองชั้นน่าจะดี ไม่อย่างนั้นลูกค้าคงดูสินค้าลำบากถ้าชั้นวางสูงเกินไป” พ่อฉางกล่าว
“สองชั้นก็ดีค่ะ ยังไงร้านของเราก็ไม่ได้จะซื้อของมามากมายนัก ค่อย ๆ ขายไปทีละน้อยและขยับขยายไปจะดีกว่าค่ะ” ซูเมี่ยวจินรู้ดีว่าการเริ่มต้นค้าขายไม่ง่าย เธอเองก็ไม่ต้องการให้ต้นทุนสูงเกินไปนัก อย่างไรคนในอำเภอก็มีไม่มาก การจะซื้อของมาเก็บไว้ในร้านจำนวนมากย่อมไม่คุ้มทุน
“เอาตามที่เมี่ยวจินว่าก็ดีนะลูก เรายังมีนาฬิกาขายในร้านด้วย กำไรจากการขายนาฬิกาอย่างเดียวก็ไม่น้อยแล้ว” แม่ฉางจำได้ว่าซูเมี่ยวจินขายนาฬิกาแต่ละเรือนมีกำไรเรือนละมากกว่า 30 หยวนเสียอีก ถ้าเธอขายได้สักสองสามเรือนต่อวัน รายได้ของร้านค้าก็ถือว่าไปได้ด้วยดีแล้ว
หลังมื้อเที่ยง ฉางเล่ยกับฉางชิงหยูนำอุปกรณ์มาทำชั้นวางที่ลานด้านหลังร้านด้วยความชำนาญ พวกเขาเคยทำของใช้ในบ้านเองมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องชั้นวางแค่ไม่กี่อัน ทั้งสองคาดว่าจะสามารถทำเสร็จได้ภายในไม่เกินวันสองวันนี้
ซูเมี่ยวจินกับหลิวเอ้อหลิงเก็บกวาดร้านต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดหน้าร้านเพื่อลองดูว่าจะมีลูกค้าสนใจเข้ามาดูนาฬิกาในร้านบ้างหรือไม่ นาฬิกาปลุกหลายเรือนที่พ่อแม่ฉางซื้อมาถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะซึ่งฉางเล่ยเร่งทำออกมาให้ก่อน ส่วนนาฬิกาแขวนที่ซูเมี่ยวจินซื้อมาก็มีพ่อฉางช่วยนำไปแขวนให้ตามผนังร้านเช่นกัน นาฬิกาในตู้กระจกแต่ละชั้นราคาต่างกันมาก ซูเมี่ยวจินเลือกวางนาฬิการาคาถูกเอาไว้บนชั้นบนสุด ส่วนชั้นสองและชั้นสามเป็นนาฬิกาที่แพงมากกว่า
เก้าอี้สองตัวถูกนำมาจากในครัวเพื่อให้ซูเมี่ยวจินและหลิวเอ้อหลิงนั่งรอลูกค้าที่ตู้กระจกหน้าร้านได้โดยไม่ต้องยืนให้เหนื่อย ระหว่างที่กำลังรอลูกค้า ซูเมี่ยวจินก็จดราคาต้นทุนทุกอย่างออกมา เธอไม่คิดว่าการลงทุนขายแค่นาฬิกาจะทำให้เสียเงินไปหลายพันหยวนแล้ว หากว่าเธอไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามาอีก ต้นทุนจะต้องเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีกเท่าตัวแน่ โชคดีที่เธอยังมีเงินเหลืออยู่ ทำให้ไม่ต้องไปเบิกเงินที่ธนาคารมาเพิ่ม
หลิวเอ้อหลิงมองดูลูกสะใภ้ทำบัญชีก็พยักหน้าอย่างพอใจ เธอมีเครื่องคิดเลขที่ลูกสะใภ้ซื้อไว้ให้เวลาคิดเงินลูกค้าตั้งอยู่ด้านหน้า ถึงแม้หลิวเอ้อหลิงจะไม่ได้เรียนหนังสือสูงนัก แต่แค่มีเครื่องคิดเลขเธอก็สามารถขายของได้ไม่ยาก
สี่โมงเย็น ฉางเซียงจูก็ปั่นจักรยานมาพร้อมกับเพื่อนอีกหลายคนที่ปั่นตามกันมา เพื่อนของฉางเซียงจูพวกนี้เห็นนาฬิกาของเธอนานแล้วจึงอยากได้บ้าง เพียงแต่ราคานาฬิกาของฉางเซียงจูแพงเกินไป พวกเธอจึงไม่สามารถขอเงินพ่อแม่มาซื้อได้ ดีที่เมื่อเช้าฉางเซียงจูบอกพวกเธอว่านาฬิกาที่ร้านบ้านเธอขายนั้นถูกกว่ามาก ทำให้ทุกคนอยากได้นาฬิกามาสวมเวลาทำข้อสอบ พวกเขาจึงตามเธอกลับมา
“แม่ พี่สะใภ้ เพื่อน ๆ หนูอยากมาดูนาฬิกาที่ร้านค่ะ แม่กับพี่สะใภ้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ลดราคาให้เพื่อนหนูด้วยนะคะ” ฉางเซียงจูไม่ลืมที่จะอ้อนแม่กับพี่สะใภ้
“ได้สิจ๊ะ พวกเด็ก ๆ มาดูนาฬิกาชั้นบนนี่สิลูกว่าชอบไหม” หลิวเอ้อหลิงยิ้มตอบ
เด็ก ๆ ที่มาพร้อมฉางเซียงจูหลังจากทักทายแม่กับพี่สะใภ้ของเธอแล้วก็รีบเข้ามามุงดูนาฬิกาที่อยู่ชั้นบนทันที พวกเขาชอบรูปแบบและราคาซึ่งไม่ถือว่าสูงเกินไปของนาฬิกาพวกนั้นมาก ถึงแม้ว่าจะต้องมาซื้อถ่านที่ร้านหากว่ามันหมดก็ไม่เป็นอะไร อย่างน้อยราคาก็ถูกกว่านาฬิกาเรือนอื่นเยอะมาก
“ว้าว! เรือนนี้น่ารักจัง ราคาเท่าไหร่คะคุณป้า” เด็กสาวคนหนึ่งเห็นนาฬิกาลายการ์ตูนตรงหน้าจึงชี้บอกหลิวเอ้อหลิง
“เรือนนี้เหรอลูก รอเดี๋ยวนะ ป้าจะเอาขึ้นมาให้ดูจ๊ะ ราคาเรือนนี้ 60 หยวนเท่านั้น ถ้าหนูจะซื้อ ป้าลดให้ห้าหยวนดีไหมจ๊ะ” หลิวเอ้อหลิงนำนาฬิกาออกมาให้เด็กสาวลองใส่ดูก่อนและบอกส่วนลดตามที่ซูเมี่ยวจินกำหนดให้ ต้นทุนนาฬิกาเรือนนี้ความจริงเพียงแค่ 20 หยวนเท่านั้น เพราะพวกเขาซื้อมา 10 เรือน จึงทำให้ได้ราคาถูก
“ราคาถูกจริง ๆ ด้วย หนูเอาเรือนนี้ค่ะคุณป้า” เด็กสาวที่เก็บเงินมานานรีบหยิบเงินค่าขนมของเธอออกมาจ่ายให้หลิวเอ้อหลิง 55 หยวนอย่างไม่กระพริบตา
“ได้จ๊ะ ๆ ป้าใส่กล่องให้สักครู่นะจ๊ะ” หลิวเอ้อหลิงนำกล่องนาฬิกาใส่ในถุงกระดาษที่ซื้อมาไว้ใส่ของให้ลูกค้าทันที ส่วนนาฬิกาเรือนนั้นเจ้าตัวพอลองใส่แล้วก็ไม่อยากถอดออก เธอจึงนำกล่องนาฬิกาและถุงกระดาษกลับบ้านไปพร้อมรอยยิ้ม
เด็กคนอื่น ๆ ที่มีเงินเก็บอยู่ก็ขอดูนาฬิกากันใหญ่ กว่าที่เด็ก ๆ จะกลับออกจากร้านก็ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการเลือกซื้อของ และเป็นช่วงเวลาที่พนักงานในโรงงานเลิกงานพอดี อีกทั้งพนักงานของรัฐก็เลิกงานเวลาเดียวกันด้วย พวกเขาพอเห็นว่าร้านนาฬิกาเปิดแล้ว หลายคนที่มีเงินเก็บและสนใจจะซื้อนาฬิกาดี ๆ สักเรือนก็เข้ามาดูไม่น้อย นับว่าการค้าวันนี้ดีมากสำหรับการทดลองขายวันแรก
ฉางเซียงจูที่เพื่อน ๆ ต่างกลับไปแล้วก็รีบขึ้นห้องนำกระเป๋าไปเก็บและลงมาด้านล่างเพื่อออกไปซื้ออาหารเย็นมาให้ทุกคน ซูเมี่ยวจินให้เงินเธอไปเผื่อเอาไว้หนึ่งร้อยหยวนสำหรับอาหารเย็น ฉางเซียงจูปั่นจักรยานไปตลาดที่อยู่ไม่ไกลทันที ส่วนผู้ชายในบ้านสองคนยังคงทำชั้นวางกันอย่างขะมักเขม้นต่อไป
หลิวเอ้อหลิงถึงแม้จะยังไม่สันทัดในการค้าขาย แต่ก็นับว่าทำได้ดี ซูเมี่ยวจินคอยจดราคาขายที่ลดแล้วใส่สมุดบัญชีเพื่อดูว่ากำไรในวันแรกจะได้สักเท่าไหร่ เธอไม่ได้ช่วยหลิวเอ้อหลิงค้าขาย เธออยากให้แม่หัดขายให้ชำนาญก่อน
กว่าที่หลิวเอ้อหลิงและซูเมี่ยวจินจะปิดหน้าร้าน ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้วและลูกค้าออกจากร้านไปหมด นาฬิกาในวันนี้ขายได้หลายเรือนอย่างไม่น่าเชื่อ แค่วันนี้วันเดียวที่เปิดร้าน กำไรจากการขายที่หลิวเอ้อหลิงทำได้ก็มากกว่าสองร้อยหยวน
ระหว่างทานมื้อเย็น ซูเมี่ยวจินยังชมแม่ฉางว่าพูดจาดีและขายเก่งจนได้กำไรกลับมามากถึงเพียงนี้ในเวลาที่เปิดขายเพียงไม่กี่ชั่วโมง
“ลูกชมแม่เกินไปแล้ว ถ้าไม่มีเมี่ยวจินคอยแนะนำอยู่ข้าง ๆ แม่ก็คงขายไม่ได้ดีแบบนี้หรอกนะลูก” หลิวเอ้อหลิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“หลังจากนี้แม่ก็สามารถขายเองได้แล้วนะคะ ถ้าแม่ขายราคาเท่าไหร่ก็จดไว้ในสมุดบัญชีเล่มนี้ได้เลยค่ะ หนูจะสรุปกำไรให้ทุกวันหลังปิดร้านค่ะ” ซูเมี่ยวจินบอกแม่ฉาง เธออยากให้แม่ฉางดูแลบัญชีด้วยตัวเอง จะได้รู้ว่าราคาที่ลดให้ลูกค้าเหมาะสมหรือไม่
“ได้จ๊ะ แม่จะหัดลงบัญชีเอาไว้ให้นะลูก ว่าแต่นาฬิกาของเราขายได้หลายเรือนเลยนะ ลูกจะไปมณฑลอีกเมื่อไหร่กันล่ะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากให้ตู้นาฬิกาว่างเปล่ามากนัก หากมีของมาวางเพิ่มก็จะดูดีไม่น้อย
“อืม… พรุ่งนี้หนูจะไปซื้อของที่มณฑลเองค่ะ พ่อกับฉางเล่ยไม่ต้องไปด้วยก็ได้ ที่นั่นมีคนยกของมาส่งที่รถ ส่วนแม่ก็เปิดร้านขายนาฬิการอหนูกลับมานะคะ หนูจะเลือกนาฬิกา เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ทำอาหารให้แม่กลับมาด้วย” ซูเมี่ยวจินตัดสินใจจะเข้ามณฑลคนเดียวเพื่อซื้อของ หากว่าไปกันทั้งหมดคงไม่ดีนัก
“สวัสดีค่ะ รบกวนสอบถามเรื่องขั้นตอนการทำใบขับขี่หน่อยค่ะ” ซูเมี่ยวจินเดินเข้าไปสอบถามประชาสัมพันธ์ที่นั่งอยู่ด้านหน้า“คุณไปติดต่อเจ้าหน้าที่ช่องหนึ่งได้เลยค่ะ อย่าลืมนำบัตรประจำตัวส่งให้เจ้าหน้าที่ด้วยนะคะ เขาจะได้เตรียมเอกสารการสอบให้พวกคุณ” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์บอก“ขอบคุณมากค่ะ” ซูเมี่ยวจินที่ยังไม่ปล่อยมือสามี เธอพาเขาไปยังช่องหนึ่งที่มีป้ายเขียนเอาไว้แล้วนำบัตรประจำตัวของเธอกับฉางเล่ยส่งให้เจ้าหน้าที่“พวกคุณมาจากหน่วยงานไหนครับ” เจ้าหน้าที่ดูบัตรประจำตัวแล้วสอบถามเพื่อใส่ข้อมูลลงในเอกสารการทำใบขับขี่“พวกเราไม่ได้ทำงานในหน่วยงานค่ะ แต่เปิดร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าตรงข้ามโรงงานจึงต้องใช้รถยนต์ในการไปซื้อสินค้ากลับมาขายที่ร้านค่ะ” ซูเมี่ยวจินบอกตามตรง“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นพวกคุณรอกันสักครู่นะครับ ระหว่างที่ผมกำลังลงทะเบียนให้ พวกคุณไปอ่านป้ายด้านโน้นได้เลยนะครับ
ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินช่วยกันยกของลงจากท้ายรถยนต์เข้าไปในร้าน พวกเขายังต้องติดชื่อเจ้าของสินค้าแต่ละอย่างเพื่อไม่ให้สับสนเวลาที่ลูกค้ามารับของและจ่ายเงินส่วนที่เหลือด้วย ทั้งสองจึงเร่งขนของลงให้หมดซูเมี่ยวจินส่งถุงนาฬิกาให้แม่สามีนำไปวางบนชั้นวางเพิ่ม เธอบอกราคาต้นทุนให้หลิวเอ้อหลิงแล้วและราคาขายยังคงขายที่ราคา 60 หยวนเท่าเดิม“ขอบใจมากนะลูก แม่จะรีบเอาใส่ตู้ไว้แล้วจะไปช่วยเตรียมของให้ลูกค้ากับลูกนะ”“ไม่เป็นไรค่ะแม่ แม่ดูร้านเถอะค่ะ อีกสักครู่เด็ก ๆ คงเลิกเรียนแล้ว หนูมีฉางเล่ยคอยช่วยอยู่ค่ะ” ซูเมี่ยวจินบอกแม่สามี“ตกลงจ๊ะ แม่จะไปดูหน้าร้านก็แล้วกัน” หลิวเอ้อหลิงบอกลูกสะใภ้แล้วเดินไปที่ตู้ขายนาฬิกาด้านหน้าร้านซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำแม่สามี เธอกับฉางเล่ยวางของที่เหลือจากลูกค้าสั่งบนชั้นวางอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพากันมานั่งแยกของและเขียนชื่อลูกค้าติดไว้กับถุงใส่สินค้าที่จะมอบให้ลูกค้าแต่ละ
เมื่อพวกเขาไปถึงตลาดค้าส่ง ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยก็ตรงไปที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและซื้อของตามที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ฉางเล่ยพาคนของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเอาของไปเก็บที่รถก่อน ส่วนซูเมี่ยวจินตรงไปที่ร้านขายนาฬิกาเพื่อซื้อของไปเพิ่มให้แม่ฉางฉางเล่ยหลังจากดูคนของร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านำสิ่งของขึ้นรถหมดแล้ว เขาก็เดินไปหาซูเมี่ยวจินที่ร้านนาฬิกาตามที่เธอบอกเอาไว้ พอดีกับที่ซูเมี่ยวจินกำลังจ่ายเงินค่านาฬิกาอยู่พอดี ฉางเล่ยจึงรับถุงสินค้าทั้งหมดมาถือไว้เอง“เราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ไปที่ที่ว่าการเพื่อทำใบขับขี่ต่อ” ซูเมี่ยวจินบอกฉางเล่ยระหว่างที่พวกเขากำลังจะออกจากร้านนาฬิกา“ตกลงครับ เอาตามที่คุณว่าก็ได้” ฉางเล่ยไม่เคยปฏิเสธเรื่องที่ซูเมี่ยวจินต้องการทำทั้งคู่ไปที่ร้านบะหมี่ไม่ไกลนักเพื่อความรวดเร็ว เมื่อเช้าพวกเขากินข้าวกันมาแล้วทำให้ไม่ค่อยหิวสักเท่าไหร่“ภรรยา คุณคิดว่าการสอบใบขับขี
ห้าโมงสิบนาที คนเริ่มเข้าร้านเยอะขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนสนใจวิทยุกับพัดลมของร้านที่ราคาไม่แพงอย่างที่พวกเขากังวล ฉางเล่ยที่หาสัญญาณช่องละครเจอแล้วจึงปลีกตัวมาช่วยซูเมี่ยวจินขายของและนำสินค้าใส่กล่องให้ลูกค้าที่ซื้อแล้วลูกค้าหลายคนมานั่งดูละครพร้อมกับพ่อฉางที่นำเก้าอี้มาวางเอาไว้ให้ลูกค้าใกล้ ๆ กับหน้าโต๊ะทีวี ฉางชิงหยูยังชวนหนุ่มสาวโรงงานพูดคุยไปด้วยอย่างไม่ถือตัว ทำให้หลายคนกล้าที่จะนั่งดูละครสนุก ๆ ที่พวกเขาไม่เคยดูมาก่อนลูกค้าที่ซื้อวิทยุไม่สนใจจะนั่งดูละครกับคนอื่น ๆ พวกเขารีบกลับบ้านไปเปิดวิทยุของตัวเองฟังแทนจะสะดวกกว่า ไม่นานนัก พัดลมและวิทยุก็ขายหมด ทำให้ลูกค้าหลายคนต้องสั่งจองและวางมัดจำสั่งสินค้าเอาไว้ก่อน ส่วนทีวีใช่ว่าจะไม่มีคนสนใจ เพียงแต่ราคาของมันสูงเกินไป คนส่วนใหญ่จึงสั่งจองวิทยุแทนซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยช่วยกันทำงาน โดยซูเมี่ยวจินจดชื่อและเงินมัดจำที่ลูกค้าจ่ายไว้ ส่วนฉางเล่ยก็เก็บเงินมัดจำให้ภรรยา กว่าทั้งสองคนจะรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าเสร็จ ฟ้าก็มืดลงพร้อมกับที่ละครจ
ฉางเล่ยกับพ่อที่ยกตู้เย็นไปไว้ในครัว พวกเขาลองเสียบปลั๊กดูก็พบว่าตู้เย็นนี้ดีจริง ๆ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีบ่อน้ำแช่อาหารเหมือนบ้านเก่า แต่พอมีตู้เย็นเครื่องนี้แล้ว การเก็บอาหารสดก็ไม่มีปัญหาอีกต่อไป“ลูกสะใภ้ดีกับบ้านเราจริง ๆ นะอาเล่ย ต่อไปแกต้องดูแลเธอให้ดี ๆ ล่ะ” พ่อฉางบอกลูกชาย เขากลัวว่าฉางเล่ยจะไม่รู้วิธีดูแลภรรยา“ผมทราบครับพ่อ เธอดีกับพวกเรามาก ผมจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจแน่ครับ” ฉางเล่ยรับปากพ่อของเขาอย่างหนักแน่น“ลูกคิดได้ก็ดีแล้ว ไปดูทีวีที่เมี่ยวจินซื้อมากันเถอะ พ่อไม่รู้ว่าจะยกไปไว้ที่ไหน”“ผมว่าเราไปถามเมี่ยวจินก่อนดีกว่าไหมครับพ่อ เผื่อว่าเราต้องทำโต๊ะวางขึ้นมาสักตัวหนึ่งจะได้รีบทำกัน ไม้ยังเหลืออีกมาก” ฉางเล่ยบอก“ก็ดีเหมือนกันนะ ไปกันเถอะ” ฉางชิงหยูพยักหน้ารับคำลูกชายสองพ่อลูกออกจากห้องครัวพร้อมกันเพื่อสอบถามซูเมี่ยวจินซึ่
ซูเมี่ยวจินปิดท้ายกระบะอย่างแน่นหนา จากนั้นจึงเดินไปหาร้านอาหารกินก่อนจะไปเดินเลือกซื้อเครื่องครัวให้แม่สามี ระหว่างกินอาหารเธอก็สอบถามพนักงานในร้านว่าร้านขายเครื่องครัวไปทางไหนเพื่อไม่ให้เสียเวลา ใครใช้ให้ตลาดค้าส่งแห่งนี้กว้างมากจนเธอไม่อยากเดินหาเองซูเมี่ยวจินกินข้าวเที่ยงเสร็จในเวลาไม่นาน เธอจ่ายค่าอาหารและเดินออกจากร้านไปทางทิศตะวันออกซึ่งเพิ่งถามมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานซูเมี่ยวจินก็มองเห็นร้านค้าหลายร้านที่มีเครื่องครัวหลากหลายอย่างขายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเตาแก๊ส ถังแก๊ส ตู้เก็บอาหารและถ้วยชาม ซูเมี่ยวจินคิดถึงห้องครัวที่อยู่ติดโกดังก็อยากซื้อตู้เก็บของในครัวให้แม่สามีด้วย เพราะตู้หลังหนึ่งราคาแค่ 150 หยวน และขนาดของมันก็ยังสามารถใส่ท้ายรถที่มีพื้นที่เหลืออยู่ได้ซูเมี่ยวจินเลือกเดินดูอีกสองสามร้าน เธอเห็นว่าราคาไม่ได้ต่างกันมาก ซูเมี่ยวจินจึงเดินกลับไปยังร้านใหญ่ก่อนหน้านี้ เธอเรียกพนักงานขายมานำเตาแก๊สสองหัว ถังแก๊สและตู้เก็บของหลังหนึ่งมาใส่รถเข็นไว้ให้ก่อน ส่วนพวกหม้อ กระทะและเครื่องครัวอื่น ๆ เธอก็เลือก






