ถูกเนรเทศ…!? เรื่องเล็ก! เพราะข้าเกิดใหม่พร้อมคลังเสบียงไร้ขอบเขต เซี่ยหยู่ หญิงสาวศตวรรษที่ 21 ทะลุมิติมาอยู่ในร่างขององค์หญิงที่ถูกฮ่องเต้โยนให้ไปอยู่ในดินแดนกันดารพร้อมกับองค์ชายตัวน้อย แต่ไม่เป็นไร ในมือของนางมีระบบคลังเสบียง มีให้กินให้แจกแบบไม่อั้น ของหายากทั่วแผ่นดิน รวมถึงคลังสมบัติของฮ่องเต้ นางจะกวาดเข้าคลังสมบัติให้เรียบ! ดินแดนกันดารหรือ? ฟื้นฟูใหม่ไม่ยาก รอหน่อยเถอะ...องค์หญิงผู้นี้จะสร้างอาณาจักรใหม่ให้ฮ่องเต้ตะลึงจนพูดไม่ออกเลย!
Ver maisบทที่ 1
องค์ชายองค์หญิงผู้สิ้นวาสนา (?)
แคว้นต้าเซี่ย
ณ วังหลวง
ยามวิกาลก่อนออกเดินทาง
ภายในตำหนักขององค์หญิงสี่
แม้ตำหนักแห่งนี้จะกว้างใหญ่โอ่อ่าเพียงใด หากยามนี้กลับเงียบสงัดวังเวงชวนให้ขนหัวลุก อันเนื่องมาจากไร้เงาของนางกำนัลและขันที
ท่ามกลางความเงียบงันนั้น เด็กสาววัยกำดัดดวงหน้างดงามอ่อนหวานทว่าซีดเซียวไร้สีเลือด ค่อยๆ ปรือตาขึ้น สายตาที่แสดงออกถึงความมึนงงสับสนกวาดมองไปรอบๆ ห้อง
เครื่องเรือนแต่ละชิ้นทำจากไม้ถูกแกะสลักลวดลายวิจิตรสวยงาม ม่านข้างเตียงปักลายอย่างประณีตงดงาม แต่มองอย่างไรก็ให้รู้สึกแปลกนัก เพราะบรรยากาศของห้องนี้เหมือนหลุดมาจากยุคโบราณไม่มีผิด
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาที่สับสนพลันเบิกโพรงอย่างตกใจ
ยุคโบราณ!?
พลันนั้นเอง จู่ๆ ศีรษะก็เจ็บแปลบ ก่อนความทรงจำของใครบางคนที่ไม่ใช่ของเธอจะถาโถมเข้ามาในหัว
เด็กสาวยกมือแตะขมับด้วยความเจ็บปวด
เจ้าของร่างนี้นามว่า ‘เซี่ยหยู่’ องค์หญิงลำดับที่สี่แห่งราชวงศ์เซี่ย กำเนิดจากหวงกุ้ยเฟยและองค์จักรพรรดิ
องค์หญิงเซี่ยหยู่มีน้องชายที่คลานตามกันคนหนึ่ง นามว่า ‘เซี่ยอวี้’ องค์ชายลำดับสาม เด็กคนนั้นอายุ 5 ขวบ
ด้วยอายุที่ห่างกันมากพี่น้องคู่นี้จึงไม่ค่อยสนิทกันนัก
หวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ จู่ๆ จักรพรรดิก็เรียกองค์หญิงเซี่ยหยู่กับองค์ชายเซี่ยอวี้เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรง
ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ขันทีคนสนิทของจักรพรรดิก็สั่งให้สองพี่น้องคุกเข่ารับราชโองการ
“ฟ้าดินยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่ง เคราะห์ร้ายซ้ำซากมิอาจคลี่คลาย พายุทำลายไร่นา แผ่นดินแห้งแล้ง ประชาชนทั่วแคว้นต้าเซี่ยต่างโอดครวญ โหรหลวงตรวจฟ้า เห็นลางร้ายผูกพันชะตาองค์ชายสามเซี่ยอวี้ หากไม่รีบแก้ไข ราชวงศ์ต้าเซี่ยย่อมสั่นคลอน…
เพื่อปลอบประโลมความทุกข์ยากของประชาชน จักรพรรดิทรงประกาศพระราชโองการส่งองค์ชายสามลงใต้ ฟื้นฟูดินแดน โดยให้องค์หญิงสี่เสด็จตามไปด้วย…องค์หญิงสี่ องค์ชายสาม โปรดรับราชโองการ”
จบคำประกาศ ขุนนางในท้องพระโรงต่างฮือฮา บางคนสมเพช บางคนสะใจ และส่วนน้อยที่แสดงออกถึงความสงสาร
เซี่ยหยู่อยากจะหัวเราะดังๆ
ขับไล่เด็กน้อยคนหนึ่งแล้วฝนจะตกตามฤดูกาลหรืออย่างไร
ขี้เยี่ยวไม่ออกก็โทษคนอื่น นิสัยแบบนี้อย่าเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิ ต้องเรียกตัวเองว่าหัวหน้าอันธพาลนิสัยท็อกซิกถึงจะถูก!
อย่างไรก็ตาม องค์ชายสามยังเยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจราชโองการ แต่ก็ฉลาดพอจะจับสังเกตจากสีหน้าของทุกคน เมื่อเห็นบรรยากาศตรึงเครียด องค์ชายเซี่ยอวี้จึงเบะปากแล้วร้องไห้
น้ำตาเม็ดโตทั้งบริสุทธิ์และไร้เดียงสาขององค์ชายน้อยเซี่ยอวี้สั่นสะเทือนหัวใจของใครหลายคน
แต่ทว่า ราชโองการฉบับนี้ต้องการลดทอนอำนาจของหวงกุ้ยเฟยและตระกูลซินที่เป็นบิดาของพระนาง ต่อให้มีใจอยากช่วยองค์หญิงองค์ชายทั้งสองพระองค์ แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาใดออกมา
ขนาดหวงกุ้ยเฟย ถึงไม่ได้ถูกถอดออกจากตำแหน่ง หากก็ไม่สามารถออกจากตำหนักได้ จึงไม่อาจออกมาปกป้องบุตรรักทั้งสอง
เรียกได้ว่าแผนลดทอนอำนาจตระกูลซินครั้งนี้ ถูกจักรพรรดิวางกลยุทธ์ไว้อย่างแยบยล
ขันทีคนสนิทได้แต่แสดงสีหน้าจนใจ ก่อนจะบอกให้องค์หญิงเซี่ยหยู่รับราชโองการแทนองค์ชายสาม
หากใครจะคาดคิด บัดนี้องค์หญิงสี่ช็อคจนหมดสติเสียก่อนแล้ว
..
..
หลังจากมีราชโองการ ตำหนักขององค์ชายและองค์หญิงก็สับสนอลหม่าน
เหล่านางกำนัลและขันทีเก็บกวาดข้าวของเตรียมหนี ทุกคนต่างหาทางรอดให้กับตัวเอง
เพียงไม่นาน ภายในตำหนักขององค์ชายน้อยก็ว่างเปล่า เหล่านางกำนัลกับขันทีใช้จังหวะวุ่นวายขโมยของมีค่าขององค์ชายจนเกลี้ยง ข้างกายองค์ชายตอนนี้จึงเหลือแค่แม่นมกับเสียงร้องไห้โฮของเด็กชาย
“อย่าไป…อย่าทิ้งข้า! ฮือออ!”
องค์ชายน้อยร้องไห้โฮเหมือนใจจะขาด ไม่รู้เลยว่าทำไมนางกำนัลกับขันทีที่เป็นเพื่อนเล่นถึงได้ทอดทิ้งเขาไปทีละคน
เด็กน้อยร้องจนหลับ แต่ก็สะดุ้งตื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อตระหนักว่าพรุ่งนี้เช้าต้องออกจากวัง น้ำตาใสก็ร่วงเผาะบนแก้มกลมป้อมอีกครั้ง
ในด้านขององค์หญิงสี่ ยามนี้ยังหมดสติด้วยอาการช็อค
..
..
ย้อนกลับมาปัจจุบัน
องค์หญิงเซี่ยหยู่…หรือแท้จริงคือเซี่ยหยู่ หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ตื่นขึ้นมาในห้องที่เงียบสงัดและมืดมิด
จากอาการช็อคอย่างรุนแรง วิญญาณขององค์หญิงเซี่ยหยู่ตัวจริงออกจากร่างตั้งแต่ตอนนั้น ทำให้ ‘เซี่ยหยู่’ หญิงสาวผู้มีชีวิตแสนจะธรรมดาและอยู่ในวัย 31 แต่ก็กลับยังไม่ได้แต่งงานเข้ามาสวมร่างนี้แทน
พอคิดมาถึงตรงช่วงท้ายๆ เซี่ยหยู่ก็ทอดถอนหายใจออกมาอย่างเจ็บปวด
ยังไม่ทันได้วางแผนว่าจากนี้จะทำอย่างไรต่อ เสียงแจ้งเตือนประหลาดพลันดังขึ้นในศีรษะ
[ติ๊ง! ระบบคลังสวรรค์ไร้ขอบเขตกลับมาเปิดใช้งานอีกครั้ง]
เซี่ยหยู่เบิกตาโพรงอีกรอบ รีบยกมือขึ้นมองข้อมือของตัวเองตามสัญชาตญาณ
เมื่อเห็นกำไลหยกที่เป็นสมบัติเอาไว้ดูต่างหน้าของคุณตาจากโลกเดิมยังอยู่บนข้อมือ เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กำไลหยกยังอยู่สินะ…
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ดวงตากลมโตของเธอก็กระพริบตาปริบๆ วินาทีต่อมา ดวงตาคู่นั้นพลันเปล่งประกายและเต็มไปด้วยแผนการ
บทที่ 28เยว่หลิวเซิงเจอทางตัน!? ย้อนกลับมาบนเส้นทางอพยพ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายร้อยชีวิตทยอยเดินลงจากเขา สภาพแต่ละคนล้วนอิดโรย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและเหงื่อไคล ทว่าพวกเขากลับเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่สับสนวุ่นวาย ถึงเสื้อผ้าของพวกเขาจะมีการปะชุนซ้ำๆ แต่ก็ดูดีกว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่นๆ เด็กเล็ก สตรี และคนชราต่างได้รับการคุ้มครองจากชายฉกรรจ์ในกลุ่ม ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้ตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านจะเป็นชายสูงวัยแซ่ลู่ที่อายุเกือบห้าสิบปี ทว่าผู้นำการเดินทางกลับเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ เห็นอายุน้อยเช่นนี้ แต่ประสบการณ์การเอาตัวรอดกลับสูงลิ่ว บนหลังของชายหนุ่มคนนี้ยังแบกทารกแฝดชายหญิงไว้ในตะกร้า ส่วนด้านหน้าอุ้มเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง ในมือของเขาถืออุปกรณ์ทรงกระบอกยาว เรียกว่า “กล้องส่องทางไกล” ทันทีที่เดินลงจากเขา ชายหนุ่มยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูทิศทาง และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น หน้าประตูเมืองซีหนานเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญ
บทที่ 27แผนการอันชั่วร้าย (สอง) ยิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องซวยสารพัดที่ประสบพบเจอในช่วงนี้ ความโกรธแค้นของเสนาบดีเผิงก็ยิ่งทวีคูณ ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายเสบียงของขบวนองค์ชายสาม ก็คงไม่ส่งเผิงอู๋ไปร่วมมือกับพวกโจรป่า และลูกชายคนรองของเขาก็คงไม่ต้องตาย เคราะห์กรรมครั้งนี้ พูดไปแล้วเป็นความผิดของเผิงซวนทั้งนั้น แต่คนชั่วเห็นแก่ตัวไหนเลยจะยอมรับผิด เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่ไป๋มู่อวิ๋น พอสรุปออกมาแบบนั้น เผิงซวนก็รีบวิ่งโร่มาทูลฟ้องต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดทวงความเป็นธรรมให้ลูกชายของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนงเล็กน้อย “ทวงความเป็นธรรม? หมายความว่าอย่างไร” “ไป๋มู่อวิ๋น…เขาฆ่าลูกชายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” ถ้อยคำนั้นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับขมวดพระขนงแน่น ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทราบเพียงว่าบุตรชายคนรองของอัครเสนาบดีเผิงถูกพบเป็นศพกลางป่า ร่องรอยบ่งชี้ว่าถูกหมาป่ากัดแทะจนตาย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับไป๋มู่อวิ๋น? เผิงซวนเห็นคว
บทที่ 26แผนการอันชั่วร้าย (หนึ่ง) เวลานี้ ประตูเมืองซีหนานปิดเงียบ จากข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไป ทำให้ไม่มีขบวนผู้อพยพสักกลุ่มกล้าเข้าใกล้ประตูเมืองอีกเลย ณ จวนแม่ทัพซีหนาน นายทหารคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ! หน่วยสอดแนมแจ้งมาว่ามีขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาในเขตเมืองซีหนานขอรับ!” ชายสวมเกราะเหล็ก อายุราวสามสิบปลายๆ ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ “ขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่อย่างนั้นรึ...ก็คงเป็นขบวนรถม้าขององค์ชายสาม?” นายทหารผู้รายงานรีบพยักหน้ารับ “แม้ผู้ติดตามจะไม่ได้สวมเกราะทหาร แต่จากท่วงท่าและอาวุธที่พก มองแวบเดียวก็รู้เลยขอรับว่าพวกเขาเป็นทหารแน่นอน” ได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพแซ่เสวี่ยหัวเราะในลำคอเบาๆ “น่าชื่นชม ทั้งที่ข่าวลือหน้าประตูซีหนานแพร่สะพัดไปทั่วกลุ่มผู้อพยพ แต่ขบวนม้าขององค์ชายยังกล้าเลือกผ่านเส้นทางนี้...” “คงเพราะแม่ทัพไป๋ ผู้คุ้มกันขบวนรถม้า มั่นใจในฝีมือตนเองนักกระมัง ว่าสามารถปกป้ององค์ชายสามแ
บทที่ 25กวาดล้างผู้อพยพ “จะตามไปเก็บหรือไม่เจ้าคะ” ลี่ถิงถามอย่างไม่เข้าใจ จิ้งอี๋เพียงส่ายหน้า “เสียเวลา พวกเราไปกันเถอะ” เป้าหมายของการเดินทางคือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงหนาน ระหว่างการเดินทางบนเส้นทางอพยพ ความแร้นแค้นได้เปลี่ยนชาวบ้านให้กลายเป็นโจรเร่ร่อน หลายครั้งพวกเขาเห็นคนที่เคยเป็นชาวนาต้องหันมาปล้นและแย่งชิงอาหารกันเอง องค์หญิงเซี่ยหยู่ทำได้เพียงแค่เข้าไปสั่งสอนเท่านั้น ครั้นจะให้ตามจับส่งทางการทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนั้น เมื่อมาถึงที่พัก ทั้งสองนำซากหมาป่ามอบแก่กลุ่มผู้อพยพให้แบ่งกันทำอาหาร พร้อมบอกว่าในป่ายังเหลืออีกสี่ตัว ทุกคนต่างแสดงความยินดี ได้ทั้งเนื้อได้ทั้งหนังไว้ใช้ ชายชราคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน กล่าวขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล “แม่นาง ข้าเห็นขบวนรถม้าของพวกเจ้ากำลังเดินทางสวนกับผู้อพยพ...พวกเจ้าจะเดินทางไปเมืองซีหนานกันหรือ?” “พวกเราไม่ได้จะไปเมืองซีหน
บทที่ 24หนีหมาป่า ปะทะ โจรเร่ร่อน กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง ภายในกระโจมของเหล่าหญิงสาว ลี่ถิงสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่ง หลังจากกะพริบตาถี่ๆ เพื่อเรียกสติอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปสะกิดจิ้งอี๋เบาๆ “อะไรหรือ” “ข้าอยากเข้าห้องน้ำ…” ยิ่งใกล้จะถึงเมืองหลิงหนานเท่าไร อากาศก็ยิ่งร้อน ลี่ถิงจึงดื่มน้ำเยอะ ตอนนี้ก็เหมือนจะกลั้นไม่อยู่แล้ว แน่นอน บนเส้นทางอพยพเช่นนี้ ‘ห้องน้ำ’ ที่ว่าก็คือป่าข้างทาง “พี่สาวจิ้งอี๋ พาข้าไปห้องน้ำทีนะ” ลี่ถิงบอกพลางยิ้มเขิน จิ้งอี๋เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงขานรับสั้นๆ “ได้สิ” จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ลุกออกจากกระโจม เมื่อเดินออกมาไกลพอสมควร ลี่ถิงก็เดินลับเข้าไปในป่าเพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รอช้า พอจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย ลี่ถิงก็ก้าวออกจากป่าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ท่ามกลางความมืดของราตรี จู่ๆ ลี่ถิงพลันรู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ครั้นหันไปมองต้นตอขอ
บทที่ 23 เซี่ยอวี้จัดการเอง! “เดี๋ยวก่อน!” เสียงเซี่ยอวี้ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะประคองกระบอกน้ำด้วยสองมือแล้วส่งให้กับพี่สาว เซี่ยหยู่เห็นความโอบอ้อมอารีของน้องชาย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวเล็กๆ ของเจ้าตัวจิ๋วแรงๆ ด้วยความเอ็นดู เมื่อรับกระบอกน้ำมา เซี่ยหยู่ก็แอบใส่น้ำพุวิญญาณลงไปเล็กน้อยระหว่างที่ก้าวตรงไปหาเด็กที่นอนหมดสติ หวังต้าเจิงที่เฝ้าดูอาการของเด็กชาย ครั้นเห็นองค์หญิงตรงมาทางนี้ก็รีบโค้งคำนับแล้วบอกว่า “กระหม่อมให้ยาลดไข้เด็กคนนี้แล้ว เหลือแค่รอดูอาการพ่ะย่ะค่ะ” “อืม” เซี่ยหยู่ตอบหวังต้าเจิงสั้นๆ จากนั้นก็ยื่นกระบอกน้ำให้หญิงหม้ายที่นั่งกอดลูกชายพร้อมกับร่ำไห้ “ให้ลูกของเจ้าดื่มน้ำนี้เถอะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณหนู” หญิงหม้ายรับกระบอกน้ำมา จากนั้นก็ก้มกราบจนหน้าผากติดพื้น ก่อนประคองลูกชายให้ขึ้นมาจิบน้ำอย่างช้าๆ แม้ยังหมดสติ แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เด็กน้อยค่อยๆ ขยับริมฝีปาก ดื่มน้ำเข้าไปทีละน้อย ไม่นานจา
Comentários