LOGINเจ้าหน้าที่รับเงินมาและบอกให้ซูเมี่ยวจินไปนั่งรอ ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินจึงเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ด้านหน้า
“กี่โมงแล้วคะฉางเล่ย” ซูเมี่ยวจินกลัวว่าจะกลับถึงหมู่บ้านช้าจึงถามขึ้น
“บ่ายสองครึ่งแล้วครับ” ฉางเล่ยยกนาฬิกาขึ้นมาดูก่อนจะตอบภรรยา
“น่าจะทันก่อนเวลาอาหารเย็นนะคะ เราจะซื้ออะไรไปทำกินเพิ่มไหม”
“เนื้อที่บ้านยังมีอยู่นะครับ ผมว่าไม่ต้องซื้ออะไรก็ได้” ฉางเล่ยนึกถึงเนื้อสัตว์ที่พวกเขาแช่เอาไว้ในบ่อน้ำเมื่อวานนี้
“จริงด้วยสินะ ฉันลืมไปเลย ถ้าอย่างนั้นก็กินเนื้อพวกนั้นให้หมดก่อนค่อยซื้อทีหลังก็แล้วกันค่ะ” ซูเมี่ยวจินยิ้มบอก
“คุณซูเมี่ยวจินเชิญทางนี้ค่ะ” เสียงเจ้าหน้าที่เรียกชื่อเมื่อเปิดบัญชีเสร็จ
ซูเมี่ยวจินลุกขึ้นเดินไปหาเจ้าหน้าที่ จากนั้นเธอได้รับใบฝากเงินให้นำไปเขียนพร้อมสมุดบัญชีเล่มใหม่ที่เจ้าหน้าที่เพิ่งออกให้
“คุณเขียนใบฝากเงินให้ครบทุกช่องนะคะ จะฝากเท่าไหร่ก็เขียนตัวเลขและตัวอักษรให้เรียบร้อย หมายเลขบัญชีของคุณอยู่ที่หน้าแรกของสมุดบัญชีค่ะ ชื่อบัญชีคือชื่อของคุณเช่นกัน” เจ้าหน้าที่อธิบายอย่างละเอียด
“ขอบคุณที่บอกนะคะ ฉันจะเขียนให้ครบและนำเงินมาฝากพร้อมส่งใบฝากให้ค่ะ”
ซูเมี่ยวจินบอกเสร็จก็หันหลังเดินไปยังโต๊ะที่เจ้าหน้าที่ชี้บอกว่ามีปากกาให้เธอเขียนใบฝากเงินที่นั่น เธอใช้เวลาไม่นานก็เขียนทุกอย่างเสร็จ ใบฝากเงินในยุคนี้แทบไม่ต่างจากยุคที่เธอจากมาเลยแม้แต่น้อย ซูเมี่ยวจินเดินไปหาฉางเล่ยและให้เขานับเงินออกมาหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนทันที
“ภรรยาถือไหวไหมครับ ให้ผมช่วยถือไปดีกว่าไหม” ฉางเล่ยนับเงินแล้วก็พบว่ามันเยอะเกินที่ภรรยาเขาจะหอบไปไหวเอ่ยขึ้น
“ตกลงค่ะ รบกวนคุณหน่อยนะคะ” ซูเมี่ยวจินพยักหน้าอย่างเข้าใจ ใครใช้ให้ยุคนี้มีเพียงธนบัตรใบละหนึ่งร้อยหยวนกับห้าสิบหยวนกันเล่า แถมเจ้าของร้านขายยายังมีแต่ธนบัตรใบละห้าสิบหยวนเสียอีก ทำให้พวกเธอต้องใช้กระเป๋าใส่เงินจำนวนมากนี่มาฝากในธนาคาร
“นี่ค่ะใบฝากและสมุดบัญชี ส่วนนี่เป็นเงินทั้งหมดที่ฉันจะฝากค่ะ” ซูเมี่ยวจินยื่นทุกอย่างส่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งตอนนี้เบิกตากว้างอย่างตกตะลึงกับเงินเป็นปึก ๆ ตรงหน้า เธอไม่คิดว่าสองคนที่แต่งตัวธรรมดา ๆ จะมีเงินฝากมากมายขนาดนี้ หลังจากตั้งสติได้ เจ้าหน้าที่รีบรับทุกอย่างมาและบอกให้พวกเขาไปนั่งรอก่อน จากนั้นเธอรีบเดินเข้าไปในห้องด้านหลังเพื่อบอกข่าวกับผู้จัดการธนาคารทันที
“หืม? คุณบอกว่ามีคนนำเงินหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนมาฝากหรือ?” ผู้จัดการธนาคารไม่เคยเห็นใครนำเงินมากขนาดนี้มาฝากที่นี่มาก่อน
“จริงค่ะผู้จัดการ พวกเขาท่าทางธรรมดามากจนฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะมีเงินเยอะขนาดนี้เลยนะคะ ฉันเลยรีบมาแจ้งผู้จัดการก่อน” เจ้าหน้าที่รายงาน
“ออกไปดูกันเถอะ ผมอยากเห็นว่าพวกเขาเป็นใครกัน ทำไมถึงได้มีเงินมากมายกว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอำเภอเสียอีก” ผู้จัดการลุกขึ้นเดินตามหลังเจ้าหน้าที่ออกไป
“คุณซูเมี่ยวจินคะ ผู้จัดการของเราอยากทำความรู้จักกับคุณค่ะ ไม่ทราบว่าสะดวกคุยสักครู่ไหมคะ” เจ้าหน้าที่เรียกซูเมี่ยวจินมาที่โต๊ะอีกครั้ง ผู้จัดการมองไปยังผู้หญิงร่างสูงโปร่งหน้าตาสวยจัดแต่สายตาคมดุอย่างนึกทึ่ง ผู้ชายร่างสูงกำยำที่เดินตามเธอมาก็น่าสนใจเช่นกัน
“สวัสดีลูกค้าทั้งสองท่านครับ วันนี้พวกคุณนำเงินจำนวนมากมาฝาก ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านทำธุรกิจอะไรกันอยู่ครับ” ผู้จัดการถามอย่างให้เกียรติลูกค้าใหญ่ของธนาคาร
“สวัสดีค่ะ/ครับ” ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยทักทายผู้จัดการอย่างมีมารยาท
“พวกเรากำลังจะเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในอำเภอค่ะ ส่วนเงินพวกนี้มาจากที่เรานำสมุนไพรล้ำค่ามาขายให้ร้านในอำเภอ ถ้าผู้จัดการสงสัยก็สามารถไปสอบถามเจ้าของร้านได้ค่ะ” ซูเมี่ยวจินเข้าใจดีถึงความระมัดระวังของผู้จัดการธนาคาร หากที่มาของเงินน่าสงสัย พวกเธออาจถูกกล่าวหาและขังคุกได้
“อ้อ! ผมรู้จักกับเถ้าแก่ร้านนั้นพอดีครับ ได้ข่าวว่าช่วงนี้มีคนนำสมุนไพรล้ำค่าไปขายให้เขาอยู่เหมือนกัน ที่แท้ก็เป็นคุณสองคนนี่เอง ยินดีมากครับที่ทั้งสองท่านให้เกียรติมาฝากเงินที่ธนาคารของเรา” ผู้จัดการกล่าวอย่างเป็นกันเองเมื่อรู้ที่มาของเงิน
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่ตอนนี้ธนาคารมีบริการอย่างอื่นนอกจากการฝากเงินหรือเปล่าคะ เผื่อว่าเราจะสนใจลงทุนกับธนาคารสักเล็กน้อย” ซูเมี่ยวจินลองถามดู
“อ่า… น่าเสียดายที่ตอนนี้เบื้องบนยังไม่มีนโยบายใหม่ครับ เพราะสิบปีก่อนเพิ่งมีการเปิดขายพันธบัตรกับหุ้นกู้ไป ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเมื่อไหร่ทางเบื้องบนจะเปิดขายอีกครั้ง ถ้าคุณไม่รังเกียจ รอให้เบื้องบนส่งข่าวมาก่อน แล้วผมจะส่งคนไปแจ้งคุณดีไหมครับ” ผู้จัดการเสียดายที่ไม่ได้ขายพันธบัตรเหมือนเมื่อก่อน ไม่อย่างนั้นลูกค้าของเขาคนนี้ต้องซื้อกับธนาคารไม่น้อยแน่
“ตกลงค่ะ ถ้ามีข่าวอะไรเพิ่มเติม คุณสามารถไปหาพวกเราที่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าตรงข้ามโรงงานได้เลยนะคะ พวกเราน่าจะเปิดร้านไม่เกิน 7 วันข้างหน้าค่ะ” ซูเมี่ยวจินคาดเดาระยะเวลาการตกแต่งร้านและซื้อของเข้าร้านเอาไว้ก่อน
“ได้ครับ ขอให้กิจการพวกคุณรุ่งเรืองนะครับ” ผู้จัดการเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทำเรื่องฝากเงินเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงขอตัวลากับลูกค้าใหญ่ทั้งสอง
ซูเมี่ยวจินและฉางเล่ยเองก็กล่าวลาตามมารยาท เมื่อซูเมี่ยวจินรับสมุดบัญชีกลับมาแล้ว เธอก็ชวนฉางเล่ยเดินทางกลับหมู่บ้านทันที ตอนนี้น่าจะสี่โมงกว่าแล้ว เธอที่คิดจะกลับไปช่วยพ่อแม่สามีทำกับข้าวจึงต้องพับเก็บเรื่องนี้ไปทันที
“ไม่คิดเลยนะครับว่าผู้จัดการธนาคารจะถึงกับออกมาต้อนรับเรา” ฉางเล่ยเอ่ยขึ้นระหว่างทางกลับหมู่บ้าน
“แน่นอนสิคะ ก็เราฝากเงินก้อนใหญ่ให้ธนาคารของเขานี่นา เขาก็ต้องอยากรู้จักเราอยู่แล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้นะ ฉันว่าคุณต้องได้ติดต่อคนใหญ่คนโตอีกมากแน่” ซูเมี่ยวจินคาดเดา หากว่ากิจการร้านของเธอรุ่งเรืองขึ้น คนทั้งอำเภอก็คงมาซื้อของที่ร้านกันหมดแน่ อีกทั้งพวกเขายังไม่ต้องเดินทางไกลเข้าไปในเมืองมณฑลเพื่อซื้อของและขนกลับมาอย่างยากลำบาก
“ผมไม่อยากรู้จักหรอกนะครับ คุณก็รู้ว่าพวกเราเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ถ้าได้เจอพวกคนใหญ่คนโตอย่างที่คุณว่า พวกผมก็คงทำตัวไม่ถูก” ฉางเล่ยบอกตรง ๆ
“คุณอย่ากังวลไปเลยค่ะ พวกเขาต่างหากที่อยากเข้าหาเรา เราก็แค่พูดคุยไปตามมารยาทก็พอแล้ว ยังไงพวกเขาก็ถือว่าเป็นลูกค้าคนหนึ่งของร้านเท่านั้นเอง”
ทั้งสองยังคงพูดคุยวางแผนเกี่ยวกับการปรับปรุงร้านค้าระหว่างทางกลับหมู่บ้านอย่างไม่รีบไม่ร้อน ถึงยังไงพวกเขาก็กลับไม่ทันเวลาทำอาหารของที่บ้านแล้ว ฉางเล่ยจึงอยากคุยกับภรรยาสองคนนานขึ้นอีกหน่อย
ฉางเล่ยพาซูเมี่ยวจินกลับถึงบ้านตอนห้าโมงกว่า ๆ ตอนนี้ทุกคนในบ้านกำลังรอพวกเขามากินข้าวร่วมกันอยู่พอดี
“รีบเข้ามาสิลูก เอาของไปเก็บและล้างมือก่อนค่อยมากินข้าวพร้อมกันนะ” หลิวเอ้อหลิงบอกลูกชายกับลูกสะใภ้ที่เพิ่งเดินเข้ามา
“ครับแม่ ไปกันเถอะภรรยา” ฉางเล่ยชวนซูเมี่ยวจินเอาของไปเก็บในห้องนอน จากนั้นทั้งสองก็พากันไปล้างมือที่ห้องครัวและมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“ไปดูร้านเป็นยังไงกันบ้างล่ะลูก” ฉางชิงหยูถามถึงธุระที่ทั้งสองคนไปทำในวันนี้
“เราได้ร้านแล้วครับพ่อ ร้านนี้พวกเราสามารถอาศัยอยู่ได้ด้วยนะครับ พรุ่งนี้พวกผมพาพ่อกับแม่เข้าไปดูดีไหม น้องสาวยังต้องไปเรียนอยู่ คงต้องรอให้น้องว่างก่อน”
“อืม… ก็ดีนะ พ่อกับแม่จะได้ช่วยกันทำความสะอาดร้านเอาไว้ก่อน ว่าแต่พวกลูกจะต้องปรับปรุงร้านก่อนหรือเปล่า” หลิวเอ้อหลิงกล่าว
“ปรับปรุงน่าจะไม่ต้องก็ได้ค่ะแม่ แต่ว่าเราคงต้องหาตู้ใส่นาฬิกากับชั้นวางเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเพิ่มสักหน่อย ไม่รู้ว่าที่เมืองมณฑลมีขายไหมนะคะ” ซูเมี่ยวจินไม่อยากให้ทุกคนลำบากเรื่องของพวกนี้จึงอยากซื้อสำเร็จมาแทน
“ไฮ้! ทำไมต้องซื้อล่ะลูกสะใภ้ พ่อกับอาเล่ยก็ทำเองได้ แค่ชั้นวางเท่านั้นเอง”
ซูเมี่ยวจินชี้บอกหินที่เธอต้องการให้สามีหยิบให้ หินในกองนี้ราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหยวน เธอจึงให้เขาหยิบมาเพียงสามก้อน เพราะกลัวว่าเงินที่นำมาจะไม่พอ“ภรรยา พอแล้วเหรอครับ” ฉางเล่ยที่หยิบหินใส่รถเข็นถามขึ้น“พอก่อนดีกว่าค่ะ ให้ร้านคิดเงินแล้วผ่าหินดูกันเถอะ” ซูเมี่ยวจินทั้งที่รู้ว่าหินก้อนใหญ่ทั้งสามนั้นเป็นหยกคุณภาพดีทั้งหมดบอกสามี“ตกลงครับ พี่ชาย ช่วยคิดเงินแล้วเอาหินไปผ่าให้ด้วยครับ” ฉางเล่ยหันไปบอกพนักงานที่ยืนรออยู่ห่างออกไปนิดหน่อย“เชิญมาคิดเงินกับผมทางนี้เลยครับ” พนักงานผายมือเชิญพวกเขาไปยังโต๊ะคิดเงินที่อยู่ไม่ไกลนักซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยที่เข็นรถอยู่ตามไปติด ๆ ดีที่ร้านนี้ไม่มีคนเข้ามาอีก พวกเขาจึงไม่ต้องรอคิวให้เสียเวลา“หินก้อนเล็กทั้งหมดห้าก้อน ราคา 800 หยวนครับ ส่วนก้อนใหญ่สามก้อนนั้นราคา 4,000 หยวนครับ” พนักงานคิดเงินตามขนาดข
“ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกคุณโจวจะเป็นยังไงบ้างนะครับ” ฉางเล่ยพูดระหว่างที่กำลังกินอาหารที่สั่งไปก่อนหน้านี้ พวกเขาตื่นสายจนไม่ได้ออกมาส่งทหารพวกนั้น“พวกเขาคงกลับไปทำหน้าที่แล้วล่ะค่ะ คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก”“ผมเห็นพวกเขาแล้วก็อยากเป็นทหารอย่างพวกเขาบ้าง สวัสดิการทหารดีมากจริง ๆ ผมจะได้ปกป้องคุณกับครอบครัวได้ด้วย” ฉางเล่ยเอ่ย“แต่ฉันไม่อยากให้คุณลำบากนะคะ เราไม่มีเส้นสาย ถ้าคุณสมัครเป็นทหาร กว่าตำแหน่งของคุณจะก้าวหน้าก็คงอีกหลายสิบปีเลยล่ะ” ซูเมี่ยวจินส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เธอไม่คิดว่าอาชีพทหารจะเหมาะกับสามีเธอ แล้วเธอก็ไม่อยากให้เขาต้องไปเสี่ยงอันตรายในหน้าที่การงานแบบนี้“คุณคิดอย่างนั้นเหรอครับ” ฉางเล่ยเอ่ยอย่างเสียดายที่ภรรยาไม่อยากให้เขาเป็นทหาร“หรือคุณอยากทิ้งฉันกับครอบครัวไปล่ะคะ” ซูเมี่ยวจินตัดสินใจพูดเรื่องสำคัญ หากเขาสมัครทหารก็จะต้องไปพักอยู่ที่ค
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะวนรถหาโรงแรมสักแห่งนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ขอบคุณมากครับ” ทั้งสามที่อยู่หลังรถรีบเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เขาไม่คิดว่าผู้หญิงเย็นชาคนนี้ที่จริงก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำอะไร ไม่แปลกใจที่สามีเธออย่างฉางเล่ยจะภูมิใจที่มีซูเมี่ยวจินเป็นภรรยา เพราะหลายครั้งที่คุยกัน ฉางเล่ยมักจะอวยความเก่งกาจของภรรยาเขาให้ทั้งสามฟังอย่างไม่อายเลยสักนิดซูเมี่ยวจินขับรถวนหาโรงแรมไม่นานก็พบกับโรงแรมเอกชนแห่งหนึ่ง เธอไม่รอช้าที่จะจอดรถด้านหน้าแล้วให้สามีไปสอบถามเรื่องการเปิดห้องพักสักหลายวันทันที ซูเมี่ยวจินคิดว่าจะอยู่ที่โรงแรมนี้จนกว่าการพนันหินเสร็จสิ้นลง ด้านโจวอู่หมิงกับลูกน้องก็สะพายกระเป๋าลงไปพร้อมฉางเล่ยด้วยเช่นกันฉางเล่ยไปสอบถามไม่นานก็เดินกลับมาที่รถแล้วบอกรายละเอียดกับซูเมี่ยวจินเรื่องห้องพักของโรงแรมแห่งนี้“ภรรยาครับ ราคาห้องพักธรรมดาคืนละ 30 หยวน ห้องพิเศษคืนละ 50 หยวน คุณจะให้ผมจองห้องพักแบบไหนดีครับ แล้วเราจะพักกันสักกี่วัน”
ระหว่างเดินทาง ฉางเล่ยหันไปคุยกับทหารที่อยู่หลังรถจนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันทั้งหมด ซูเมี่ยวจินปกติไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า เธอจึงฟังสิ่งที่สามีคุยกับพวกเขาเท่านั้น“พวกคุณย้ายที่ประจำการกันหรอกเหรอครับ แล้วทำไมถึงได้ถูกดักทำร้ายล่ะครับ”“คนพวกนั้นน่าจะเป็นโจรที่ประจำอยู่เส้นทางนี้น่ะครับ พวกเราก็ไม่คิดว่าจะถูกปล้นทั้งที่ยังสวมเครื่องแบบอยู่” ฟู่จือหยางตอบ“น่ากลัวมากเลยนะครับ ดีที่ผมกับภรรยาไม่ได้พบพวกมันก่อน ไม่อย่างนั้นคงลำบากกว่าพวกคุณมากแน่” ฉางเล่ยพูดคุยอย่างเป็นกันเอง“สามี ข้างหน้าน่าจะเป็นเมืองเหยียนซานแล้ว เราจะได้แวะหาอะไรกินกันก่อน”“ครับ คุณขับหาร้านอาหารก่อนเลย ตอนนี้ยังไม่สายมากนัก โชคดีที่เรามาถึงเร็ว”“ตกลงค่ะ” ซูเมี่ยวจินรับคำแล้วสอดส่ายสายตามองหาร้านอาหารในเมืองไม่ถึง 15 นาที ซูเม
โจวอู่หมิงหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องทั้งสองคนออกไปจากที่ซ่อนเพื่อดูว่าผู้หญิงที่มาช่วยพวกเขาไว้นั้นหน้าตาเป็นยังไง“คุณช่วยพวกเราได้ยังไงครับ” โจวอู่หมิงที่เดินออกมาถามหญิงสาวร่างสูงโปร่งแต่สายตาของเธอช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน“ใช่ ๆ ทำไมพวกเราไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้เลยล่ะครับ” ฟู่จือหยางรีบถามต่อ“พวกคุณมีรถกันหรือเปล่า?” ซูเมี่ยวจินไม่สนใจตอบกลับคนแปลกหน้า เรื่องการต่อสู้ของเธอ เธอไม่อยากให้พวกเขารู้มากนัก“รถพวกเราถูกยิงพังหมดแล้วครับ แต่สัมภาระยังอยู่ในรถห่างจากตรงนี้ประมาณห้ากิโลเมตรครับ” ซ่งเซียวตอบ“ถ้าอย่างนั้นไปพักที่รถฉันก่อน ตามมา” น้ำเสียงเย็นชาของซูเมี่ยวจิน ทำให้ทั้งสามไม่กล้าถามเรื่องก่อนหน้านี้อีกระหว่างเดินออกจากป่า ทั้งสามคนมองเห็นศพคนร้ายนอนคว่ำหน้าอยู่คนหนึ่ง ที่ด้านหลังมีรูเจาะทะลุเข้าไปตรงตำแหน่งหัวใจ พวกเขาเพิ่งเห็นว่าใน
[ใกล้ถึงสองชั่วโมงที่นายบอกแล้วนะ ฉันยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย][รอก่อนครับ อีกไม่นาน ผมจะแจ้งให้ทราบครับ][อืม…ฉันต้องเตรียมตัวอะไรก่อนไหม][ตอนนี้ผมยังบอกไม่ได้ ขอโทษด้วยครับ]ซูเมี่ยวจินอยากถามต่อ แต่เจ้าระบบบ้านี่กลับเอาแต่เงียบไม่ตอบโต้ ทำให้เธอหงุดหงิดไม่น้อย ยิ่งซูเมี่ยวจินหันไปมองฉางเล่ยที่ดูท่าทางเหนื่อยล้ามากแล้ว ซูเมี่ยวจินก็อยากรีบจอดรถแล้วให้เขาได้พักผ่อนบ้างหลังจากขับรถมาเป็นเวลานาน“อีก 10 นาที เราหาที่จอดพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะคะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว” ซูเมี่ยวจินไม่สนใจว่าระบบจะพูดอะไรอีก เธอไม่อยากเห็นฉางเล่ยเหนื่อยแล้ว“ตกลงครับ ผมจะลองหาที่จอดดูนะครับ” ฉางเล่ยที่ปวดตาไม่น้อยเพราะคร่ำเคร่งกับการขับรถอย่างระมัดระวังมาหลายชั่วโมงตอบกลับอย่างเหนื่อยล้าซูเมี่ยวจินที่เพิ่งคุยกับฉางเล่ยกลับแปลกใจที่ระบบไม่ตอบโต้กลับมาเมื่อเธอบอกว่าอี






