Masukหลังอาหารเช้าวันต่อมา ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยที่เก็บของใช้จำเป็นขึ้นรถและนำหน้าไม้กับกล่องลูกดอกวางไว้ในรถก็ออกเดินทางทันที เส้นทางที่ไปยังมณฑลยูนนานเมืองเถิงซงมีระยะทางประมาณ 1,400 กิโลเมตร ด้วยความเร็วรถที่ขับได้เพียง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พวกเขาต้องใช้เวลาประมาณ 15 ชั่วโมง นี่ยังไม่นับรวมถนนหนทางที่ยังไม่พัฒนาในยุคสมัยนี้ ซูเมี่ยวจินคิดว่าการเดินทางครั้งนี้จะต้องเดินทางถึงสองวันเต็ม ยังไงเธอก็คงไม่ให้ฉางเล่ยขับรถระยะทางไกลขนาดนี้โดยไม่หยุดพักแน่ ซูเมี่ยวจินให้ฉางเล่ยแวะเติมน้ำมันใส่แกลลอนหลายแกลลอน เธอไม่รู้ว่าระหว่างทางจะมีปั๊มน้ำมันหรือไม่ การเตรียมการเอาไว้ก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
[เจ้านายรีบออกจากมณฑลเสียทีสิครับ ระยะทางกว่าจะถึงชายแดนยังอีกนานเลย]
[อะไรอีกเล่า นายจะรีบไปไหนนักหนากัน]
[เอ่อ… ผมแค่กลัวว่าพวกคุณจะหาที่พักก่อนค่ำไม่ทันน่ะครับ] ระบบไม่สามารถบอกความลับเกี่ยวกับภารกิจครั้งนี้ได้ มันจึงต้องหาข้ออ้างอื่น
[อืม… รู้แล้วน่า หุบปากซะ ฉันจะช่วยฉางเล่ยดูทาง]
[ทราบแล้วครับเจ้านาย]
ซูเมี่ยวจินได้แต่สงสัยว่าระบบมีเรื่องอะไรสำคัญถึงอยากให้เธอกับฉางเล่ยรีบเดินทางมากขนาดนี้
“ภรรยา ไม่รู้อีกนานไหมกว่าจะถึงเมืองถัดไป” ฉางเล่ยที่เพิ่งขับรถออกจากปั๊มน้ำมันหลังจากเติมน้ำมันสำรองไว้หลังรถกระบะเสร็จถามขึ้น
“ดูจากสภาพถนนแล้ว น่าจะสักสองสามชั่วโมงกว่าจะไปถึงเมืองไป่เซ่อ” ซูเมี่ยวจินคาดเดาเวลาตามที่นึกออก
“คุณหิวข้าวไหมครับ” ฉางเล่ยดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าใกล้เที่ยงจึงถาม
“ยังไม่หิวค่ะ รอให้เราไปถึงไป่เซ่อก่อนค่อยหาร้านแวะกินข้าวกัน ถ้ามีปั๊มน้ำมันก็แวะเติมให้เต็มถังสักหน่อยก็ดีนะคะ น้ำมันที่ท้ายรถเราเอาไว้ใช้ตอนฉุกเฉินดีกว่า”
“ตกลงครับ ถ้าคุณเหนื่อยก็นอนพักได้นะ ผมจะขับระวัง ๆ” ฉางเล่ยกลัวว่าซูเมี่ยวจินจะเบื่อที่ต้องนั่งเฉย ๆ บนรถ เขาจึงแนะนำให้เธอนอนพัก
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันช่วยคุณดูทางดีกว่า” ซูเมี่ยวจินบอก
ซูเมี่ยวจินนึกถึงเส้นทางในยุคนี้ หลังออกจากมณฑลกวางสีไปทางตะวันตกเป็นเส้นทางเข้าสู่เมืองไป่เซ่อซึ่งถือว่าเป็นประตูเข้าสู่มณฑลยูนนาน ระยะทางจากไป่เซ่อถึงเมืองเหยียนซานมณฑลยูนนานยังต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง เมื่อเข้าสู่ไคหยวนและเดินทางไปยังตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเข้าสู่เส้นทางเข้าเมืองเถิงซง ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนมีไม่กี่เมือง แต่ระยะทางระหว่างเมืองทั้งคดเคี้ยวและทุรกันดารมากกว่ายุคสมัยใหม่หลายเท่านัก
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินทางอยู่นั้น บนถนนมีเพียงรถประจำทางและรถยนต์ของทางการสวนไปมาไม่กี่คัน ซูเมี่ยวจินยังคงระมัดระวังตามข้างทางที่เปลี่ยวร้างตลอดเวลา เธอไม่อยากให้ฉางเล่ยสูญเสียสมาธิในการขับรถ
สี่ชั่วโมงต่อมา ฉางเล่ยก็เห็นประตูเมืองไป่เซ่ออยู่ตรงหน้า เขารีบขับรถเข้าไปในเมืองเล็ก ๆ ตรงหน้า สภาพของเมืองไป่เซ่อดูเงียบสงบไม่ต่างจากเจิ้งไห่สักเท่าไหร่นัก ที่นี่ไม่มีปั๊มน้ำมันอย่างที่ซูเมี่ยวจินคิด ตอนนี้น้ำมันรถเหลืออยู่เพียงขีดเดียวแล้ว เธอจึงให้ฉางเล่ยหาร้านอาหารกินก่อน เพราะเลยเที่ยงมาชั่วโมงกว่าแล้ว
ทั้งสองสั่งอาหารมาไม่กี่อย่างและยังให้ร้านทำอาหารใส่กล่องไว้เผื่อมื้อเย็นด้วย หากว่าระหว่างทางไม่พบหมู่บ้านหรือเมืองอีก พวกเขาจะได้กินอาหารพวกนี้เพื่อแก้หิวไปก่อน
“ภรรยา กินข้าวเสร็จ ผมจะเติมน้ำมันรถสักแกลลอนหนึ่งนะครับ”
“ได้ค่ะ ดีนะที่เราซื้อของจำเป็นสำหรับเติมน้ำมันมาไว้ก่อน ฉันจะช่วยคุณจับสายต่อท่อน้ำมันเองนะคะ” ซูเมี่ยวจินตอบ
“ครับ เรารีบกินกันดีกว่า ไม่รู้ว่าคืนนี้จะมีที่พักให้เราระหว่างทางไหม”
“ตกลงค่ะ รีบกินเถอะ”
หลังจ่ายเงินและรับอาหารกล่องใส่รถไว้แล้ว ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินก็ช่วยกันเติมน้ำมันรถจนเต็มเสร็จในเวลาไม่นาน พวกเขาขึ้นรถอีกครั้งและยังคงเป็นฉางเล่ยที่ขับรถให้ซูเมี่ยวจินนั่งอย่างสบาย ๆ กระเป๋าเงินสองแสนกว่าหยวนที่นำมาถูกวางไว้บนที่วางเท้าฝั่งของซูเมี่ยวจิน พวกเขามีหน้าไม้วางบนเบาะสำหรับรับมือเหตุการณ์สุดวิสัยคนละอัน
“ภรรยา มืดแล้วนะครับ เราจะเดินทางต่อหรือหยุดพักข้างทางกันก่อนดี”
“ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ คุณยังขับไหวไหม”
“ตอนนี้สองทุ่มแล้วครับ ผมยังขับไหวอยู่ แต่ดูเหมือนทางข้างหน้าไม่มีแสงไฟเลย”
“อืม… คุณลองขับต่ออีกสักหนึ่งชั่วโมงนะคะ ถ้ายังไม่มีหมู่บ้านข้างทาง เราค่อยจอดนอนพักกัน พรุ่งนี้ฉันจะขับแทนคุณเอง” ซูเมี่ยวจินไม่อยากนอนข้างทางนัก เธอกังวลว่าจะมีโจรมาปล้นยามค่ำคืน อย่างน้อยหากยังขับรถอยู่บนถนนก็ไม่ถึงกับเป็นเป้านิ่งให้โจรพวกนั้นมาทำร้ายได้
“ตกลงครับ หลังรถเรายังมีถุงนอนอยู่ คืนนี้คงไม่หนาวสักเท่าไหร่” ฉางเล่ยนึกถึงถุงนอนที่ภรรยาซื้อมาสองชุด ไหนจะมีหม้อและเตาแก๊สกระป๋องสำหรับอุ่นอาหารอีก พวกเขาหลังจากกินมื้อเที่ยงก็ยังไม่ได้จอดพักกินอาหารกันเลย ยังดีที่ซูเมี่ยวจินซื้อน้ำเปล่าเอาไว้กินระหว่างทางรวมทั้งขนมขบเคี้ยวอีกหลายถุง
[เจ้านายครับ ขับต่อไปอีกสองชั่วโมงเถอนะครับ] ระบบร้อนรนทันทีเมื่อได้ยินว่าเจ้านายของเขาจะให้สามีจอดรถพักผ่อน ตอนนี้สถานการณ์ร้ายกำลังจะเกิดขึ้นกับคนสำคัญของประเทศ มันจะต้องให้เจ้านายเข้าไปช่วยพวกเขาเพื่อรางวัลภารกิจพิเศษให้ได้ อีกทั้งตัวมันเองยังจะได้คะแนนพิเศษจำนวนมากกว่าภารกิจหลักด้วย
[ไม่ได้ ฉางเล่ยน่าจะเหนื่อยและหิวแล้ว ถ้าไม่มีเหตุผลดี ๆ ฉันไม่มีทางไปต่อแน่]
[ผมบอกได้แค่ว่า ถ้าพวกคุณไปต่อจะได้รับภารกิจพิเศษและรางวัลใหญ่ครับ]
[ภารกิจอะไรกัน ทำไมต้องมีลับลมคมในด้วย]
[ขอโทษครับ ภารกิจนี้เจ้านายจะต้องพบเจอก่อนผมถึงจะบอกรายละเอียดได้]
[ฮึ! ฉันจะลองเชื่อนายอีกสักครั้ง ถ้ารางวัลครั้งนี้ไม่น่าพอใจล่ะก็ ฉันจะไม่ยอมเชื่อนายและทำภารกิจง่าย ๆ]
[ขอบคุณครับเจ้านาย รับรองว่ารางวัลครั้งนี้เจ้านายต้องชอบแน่นอนครับ]
“สามี คุณขับต่อไปอีกสักสองชั่วโมงได้ไหมคะ ถ้าไม่ไหวก็จอดให้ฉันขับแทนได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังขับไหวอยู่ คุณเปิดน้ำในขวดให้ผมหน่อยครับ ผมหิวน้ำ”
“ได้ค่ะ คุณอยากให้ฉันป้อนข้าวด้วยไหม เรายังไม่ได้กินอะไรเลย”
“ก็ดีครับ คุณจะได้กินข้าวด้วย” ฉางเล่ยยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าภรรยาคนสวยจะป้อนข้าว
ซูเมี่ยวจินไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเหมือนฉางเล่ย เธอเปิดขวดน้ำและส่งให้เขากินก่อน จากนั้นจึงนำกล่องอาหารมาเปิดและป้อนฉางเล่ยก่อน เธอรอจนป้อนข้าวเขาเสร็จจึงจะกินทีหลังก็ยังไม่สาย
“ผมอิ่มแล้วครับ คุณกินข้าวก่อนเถอะ” ฉางเล่ยบอกเมื่อกินข้าวเกือบหมดกล่อง
“ตกลงค่ะ คุณดื่มน้ำก่อนนะคะ” ซูเมี่ยวจินปิดกล่องข้าวแล้วหยิบขวดน้ำส่งให้ฉางเล่ยกินหลังกินข้าว
“ขอบคุณครับภรรยา” ฉางเล่ยส่งขวดน้ำคืนพร้อมรอยยิ้ม เขามีความสุขจริง ๆ ที่มีซูเมี่ยวจินเป็นภรรยา การเดินทางที่ตอนแรกคิดว่าน่าเบื่อ ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณขับรถระวังด้วยนะคะ ฉันขอกินข้าวสักครู่ เดี๋ยวจะช่วยดูทางต่อ”
“ทราบแล้วครับ คุณรีบกินเถอะ” ฉางเล่ยกลัวภรรยาหิวจึงรีบตอบกลับ
ซูเมี่ยวจินมองดูเส้นทางขรุขระตรงหน้าก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ ดีที่รถคันนี้เป็นรถจี๊ปที่สามารถใช้งานในพื้นที่แบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้รถคงขับต่อไปไม่ได้นานแล้ว เธอหยิบกล่องข้าวตัวเองขึ้นมากินไปดูทางไปเป็นระยะ ๆ
หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป ซูเมี่ยวจินที่กินข้าวเสร็จมานานแล้วมองตามเส้นทางด้านหน้าอย่างสงสัย ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาสองชั่วโมงตามที่ระบบบอก แต่เธอกลับไม่เห็นความผิดปกติอะไรบนถนนเลยแม้แต่นิดเดียว
“หยกของคุณทั้งหมดผมรับซื้อในราคาห้าแสนหยวน ไม่ทราบพวกคุณคิดยังไงครับ”ผู้จัดการเถาปาดเหงื่อที่ไหลซึมออกมา เขาไม่รู้ว่าลูกค้าทั้งสองจะทราบไหมว่าหยกแก้วทั้งสองก้อนใหญ่นั้นหากนำไปประมูลแล้วมูลค่าของมันจะสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียวเชียวนะซูเมี่ยวจินคิดอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากเธอไม่ทราบราคาในการประมูลหยกล้ำค่าแต่แรก เมื่อหันไปมองสามีที่ตอนนี้อ้าปากค้างไปเสียแล้ว ซูเมี่ยวจินจึงได้แต่ต้องพยักหน้ารับคำผู้จัดการเถาว่าเธอรับราคานี้ได้“รบกวนพวกคุณรอที่นี่สักครู่นะครับ ผมจะไปจัดการนำเงินเข้าไว้ในบัตรให้คุณ”“ตกลงค่ะ” ซูเมี่ยวจินกล่าวด้วยใบหน้านิ่งเรียบเหมือนปกติ เธอไม่ได้สนใจว่าร้านจะจ่ายเงินให้พวกเธอยังไงแต่แรก เมื่อได้ยินว่าผู้จัดการสามารถนำเงินเข้าบัตรกดเงินได้ก็ทำให้เธอโล่งใจไม่น้อย นับว่าเมืองเถิงซงนี้ก้าวหน้ามากกว่าเมืองเจิ้งไห่ที่สามารถนำเงินโอนเข้าในบัตรกดเงินได้ฉางเล่ยหลังจากตกตะลึงอยู่พักใหญ่ เมื
ซูเมี่ยวจินชี้บอกหินที่เธอต้องการให้สามีหยิบให้ หินในกองนี้ราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหยวน เธอจึงให้เขาหยิบมาเพียงสามก้อน เพราะกลัวว่าเงินที่นำมาจะไม่พอ“ภรรยา พอแล้วเหรอครับ” ฉางเล่ยที่หยิบหินใส่รถเข็นถามขึ้น“พอก่อนดีกว่าค่ะ ให้ร้านคิดเงินแล้วผ่าหินดูกันเถอะ” ซูเมี่ยวจินทั้งที่รู้ว่าหินก้อนใหญ่ทั้งสามนั้นเป็นหยกคุณภาพดีทั้งหมดบอกสามี“ตกลงครับ พี่ชาย ช่วยคิดเงินแล้วเอาหินไปผ่าให้ด้วยครับ” ฉางเล่ยหันไปบอกพนักงานที่ยืนรออยู่ห่างออกไปนิดหน่อย“เชิญมาคิดเงินกับผมทางนี้เลยครับ” พนักงานผายมือเชิญพวกเขาไปยังโต๊ะคิดเงินที่อยู่ไม่ไกลนักซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยที่เข็นรถอยู่ตามไปติด ๆ ดีที่ร้านนี้ไม่มีคนเข้ามาอีก พวกเขาจึงไม่ต้องรอคิวให้เสียเวลา“หินก้อนเล็กทั้งหมดห้าก้อน ราคา 800 หยวนครับ ส่วนก้อนใหญ่สามก้อนนั้นราคา 4,000 หยวนครับ” พนักงานคิดเงินตามขนาดข
“ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกคุณโจวจะเป็นยังไงบ้างนะครับ” ฉางเล่ยพูดระหว่างที่กำลังกินอาหารที่สั่งไปก่อนหน้านี้ พวกเขาตื่นสายจนไม่ได้ออกมาส่งทหารพวกนั้น“พวกเขาคงกลับไปทำหน้าที่แล้วล่ะค่ะ คุณไม่ต้องกังวลไปหรอก”“ผมเห็นพวกเขาแล้วก็อยากเป็นทหารอย่างพวกเขาบ้าง สวัสดิการทหารดีมากจริง ๆ ผมจะได้ปกป้องคุณกับครอบครัวได้ด้วย” ฉางเล่ยเอ่ย“แต่ฉันไม่อยากให้คุณลำบากนะคะ เราไม่มีเส้นสาย ถ้าคุณสมัครเป็นทหาร กว่าตำแหน่งของคุณจะก้าวหน้าก็คงอีกหลายสิบปีเลยล่ะ” ซูเมี่ยวจินส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เธอไม่คิดว่าอาชีพทหารจะเหมาะกับสามีเธอ แล้วเธอก็ไม่อยากให้เขาต้องไปเสี่ยงอันตรายในหน้าที่การงานแบบนี้“คุณคิดอย่างนั้นเหรอครับ” ฉางเล่ยเอ่ยอย่างเสียดายที่ภรรยาไม่อยากให้เขาเป็นทหาร“หรือคุณอยากทิ้งฉันกับครอบครัวไปล่ะคะ” ซูเมี่ยวจินตัดสินใจพูดเรื่องสำคัญ หากเขาสมัครทหารก็จะต้องไปพักอยู่ที่ค
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะวนรถหาโรงแรมสักแห่งนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ขอบคุณมากครับ” ทั้งสามที่อยู่หลังรถรีบเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เขาไม่คิดว่าผู้หญิงเย็นชาคนนี้ที่จริงก็ไม่ได้ใจร้ายใจดำอะไร ไม่แปลกใจที่สามีเธออย่างฉางเล่ยจะภูมิใจที่มีซูเมี่ยวจินเป็นภรรยา เพราะหลายครั้งที่คุยกัน ฉางเล่ยมักจะอวยความเก่งกาจของภรรยาเขาให้ทั้งสามฟังอย่างไม่อายเลยสักนิดซูเมี่ยวจินขับรถวนหาโรงแรมไม่นานก็พบกับโรงแรมเอกชนแห่งหนึ่ง เธอไม่รอช้าที่จะจอดรถด้านหน้าแล้วให้สามีไปสอบถามเรื่องการเปิดห้องพักสักหลายวันทันที ซูเมี่ยวจินคิดว่าจะอยู่ที่โรงแรมนี้จนกว่าการพนันหินเสร็จสิ้นลง ด้านโจวอู่หมิงกับลูกน้องก็สะพายกระเป๋าลงไปพร้อมฉางเล่ยด้วยเช่นกันฉางเล่ยไปสอบถามไม่นานก็เดินกลับมาที่รถแล้วบอกรายละเอียดกับซูเมี่ยวจินเรื่องห้องพักของโรงแรมแห่งนี้“ภรรยาครับ ราคาห้องพักธรรมดาคืนละ 30 หยวน ห้องพิเศษคืนละ 50 หยวน คุณจะให้ผมจองห้องพักแบบไหนดีครับ แล้วเราจะพักกันสักกี่วัน”
ระหว่างเดินทาง ฉางเล่ยหันไปคุยกับทหารที่อยู่หลังรถจนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันทั้งหมด ซูเมี่ยวจินปกติไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า เธอจึงฟังสิ่งที่สามีคุยกับพวกเขาเท่านั้น“พวกคุณย้ายที่ประจำการกันหรอกเหรอครับ แล้วทำไมถึงได้ถูกดักทำร้ายล่ะครับ”“คนพวกนั้นน่าจะเป็นโจรที่ประจำอยู่เส้นทางนี้น่ะครับ พวกเราก็ไม่คิดว่าจะถูกปล้นทั้งที่ยังสวมเครื่องแบบอยู่” ฟู่จือหยางตอบ“น่ากลัวมากเลยนะครับ ดีที่ผมกับภรรยาไม่ได้พบพวกมันก่อน ไม่อย่างนั้นคงลำบากกว่าพวกคุณมากแน่” ฉางเล่ยพูดคุยอย่างเป็นกันเอง“สามี ข้างหน้าน่าจะเป็นเมืองเหยียนซานแล้ว เราจะได้แวะหาอะไรกินกันก่อน”“ครับ คุณขับหาร้านอาหารก่อนเลย ตอนนี้ยังไม่สายมากนัก โชคดีที่เรามาถึงเร็ว”“ตกลงค่ะ” ซูเมี่ยวจินรับคำแล้วสอดส่ายสายตามองหาร้านอาหารในเมืองไม่ถึง 15 นาที ซูเม
โจวอู่หมิงหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องทั้งสองคนออกไปจากที่ซ่อนเพื่อดูว่าผู้หญิงที่มาช่วยพวกเขาไว้นั้นหน้าตาเป็นยังไง“คุณช่วยพวกเราได้ยังไงครับ” โจวอู่หมิงที่เดินออกมาถามหญิงสาวร่างสูงโปร่งแต่สายตาของเธอช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน“ใช่ ๆ ทำไมพวกเราไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้เลยล่ะครับ” ฟู่จือหยางรีบถามต่อ“พวกคุณมีรถกันหรือเปล่า?” ซูเมี่ยวจินไม่สนใจตอบกลับคนแปลกหน้า เรื่องการต่อสู้ของเธอ เธอไม่อยากให้พวกเขารู้มากนัก“รถพวกเราถูกยิงพังหมดแล้วครับ แต่สัมภาระยังอยู่ในรถห่างจากตรงนี้ประมาณห้ากิโลเมตรครับ” ซ่งเซียวตอบ“ถ้าอย่างนั้นไปพักที่รถฉันก่อน ตามมา” น้ำเสียงเย็นชาของซูเมี่ยวจิน ทำให้ทั้งสามไม่กล้าถามเรื่องก่อนหน้านี้อีกระหว่างเดินออกจากป่า ทั้งสามคนมองเห็นศพคนร้ายนอนคว่ำหน้าอยู่คนหนึ่ง ที่ด้านหลังมีรูเจาะทะลุเข้าไปตรงตำแหน่งหัวใจ พวกเขาเพิ่งเห็นว่าใน







