Share

๒ หมายหัว

Penulis: Kaowsethong
last update Terakhir Diperbarui: 2024-11-05 13:34:43

หมายหัว

ไร่รุ่งอรุณ & ฟาร์มสายรุ้งมีเนื้อที่ทั้งหมด 2000 ไร่โดยแยกเป็นสวนองุ่น สวนส้ม สวนสตรอว์เบอร์รี่ สวนลิ้นจี่และพื้นที่สำหรับปลูกข้าว โดยแยกสัดส่วนตามความเหมาะสม ผลไม้ขึ้นชื่อของไร่จะผลัดเปลี่ยนตามฤดูกาล หากช่วงหน้าหนาวคนก็จะชอบมาเที่ยวที่ไร่เก็บสตรอว์เบอร์รี่สดๆ จากสวน ช่วงที่ส้มออกผลก็เปิดให้นั่งรถรางชมสวน หรือองุ่นออกผลเต็มต้นนักท่องเที่ยวก็สามารถเข้ามาตัดได้ถึงต้น

และไร่พืชผักที่ปลูกก็เอาไปขายตลาดหรือไม่ก็ทำการวิจัยเพื่อเพาะพันธุ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผักที่ปลอดสารพิษแต่ขายในราคาถูกกว่าท้องตลาด

ฟาร์มสายรุ้งจะเน้นที่สัตว์เนื้อส่งออก กลุ่มสัตว์เนื้อที่เลี้ยงก็มีวัวและหมู ทำกำไรให้ฟาร์มได้มากพอๆกับสวนผลไม้ เมื่อไม่นานมานี้ทางฟาร์มก็ได้นำม้ามาเลี้ยง มีทั้งม้าสำหรับขี่ชมสวนหรือคนที่ต้องการหัดขี่ม้าและม้าสำหรับแข่งใช้งบประมาณไปหลายล้านบาทเพื่อซื้อตัวเจ้าแห่งความเร็วจากต่างประเทศ

รถมอเตอร์ไซค์กลางเก่ากลางใหม่แล่นไปตามทางดินลูกรังซึ่งมีต้นสักทอดยาวให้ร่มเงาตลอดเส้นทางไปหน้าไร่ ร่างบางที่ซ้อนหลังพยายามจับตะกร้าไม่ให้ตกแล้วยังต้องจับหมวกตนเองไม่ให้ปลิวตกรถแล้วในใจก็ก่นด่าคนขับตลอดทาง จนลืมไปเสียสนิทว่าตนเองอยู่ในชุดและใบหน้าที่ไม่พร้อมไปเจอใคร กว่าจะนึกได้รถก็แล่นมาถึงหน้าไร่ซึ่งเป็นจุดวางขายผลไม้และอาหารแปรรูปเสียแล้ว

“เดี๋ยวก่อนสิ! ฉันไม่ไปได้ไหม ฉันไม่พร้อมจะไป ฉันไม่พร้อมจะเจอใคร” บุลลาเอ่ยขณะที่ร่างสูงกำลังจะเลี้ยวเข้าถนนใหญ่เพื่อตรงไปยังสำนักงานเกษตรอำเภอ

เขาเอี้ยวหน้ามามองคนซ้อนเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความรำคาญอย่างปิดไม่มิด

“ไม่พร้อมก็ต้องไป” เมื่อไม่มีรถยนต์แล่นผ่านจึงค่อยๆ ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากไร่ด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ถนนโล่งขนาดนี้ราวกับเขาเป็นเจ้าของพื้นลาดยางจนต้องยิ้มมุมปาก เหลือบมองกระจกหลังที่เห็นคนซ้อนหน้ามุ่ยจับทั้งหมวกอีกมือก็ยึดตะกร้าเอาไว้ไม่ให้ตก

พณณกร วิจิตรประภาหรือที่คนในไร่รู้จักในนามหมอเอิร์ธ สัตวแพทย์หนุ่มผู้เคร่งขรึมแต่จริงใจทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทั้งยังชอบดื่มสุรายาดองกับคนงานเป็นประจำแทบทุกคืน บางครั้งก็มาทำงานด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะยังไม่สร่างเมา เป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของไร่จึงได้มาประจำที่ไร่แห่งนี้โดยไม่มีใครรู้เลยว่า

เขาคือเจ้าของไร่อีกคน!

ระหว่างทางบุลลาแทบจะสบถคำหยาบออกมาหลายครั้งเพราะการขับรถที่เร็วจนตนแทบจะปลิวไปตามลม ฉวัดเฉวียนไปมาจนแทบอ้วกใส่แผ่นหลังหนา ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดเมื่อมาถึงสำนักงานอันเป็นปลายทางของการเข้าอำเภอครั้งนี้

ร่างบางก้าวลงจากรถ ไม่สนตะกร้าว่าจะหกหรือไม่ พร้อมเดินไปที่ต้นไม้โก่งคออาเจียนอย่างไม่อายใคร วินาทีนี้ขอแค่เอาอาการคลื่นไส้ออกให้หมดเป็นพอแล้ว

พณณกรมองแล้วแสยะยิ้มมุมปากอย่างสะใจที่เห็นคนถือดีหมดสภาพ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ป้อมหน้าประตูเห็นก็เป็นห่วง จึงเอาขวดน้ำเปล่ายื่นให้หญิงสาวจนรีบคว้าเอามาล้างปาก

“ผมฝากผู้หญิงคนนี้หน่อยนะลุง ต้องเข้าไปคุยกับท่านเกษตรอำเภอ”

ยามที่ค่อนข้างมีอายุรับคำแล้วหันไปมองบุลลาที่นั่งลงกับพื้น หอบหายใจในขณะที่ดวงตาเลื่อนลอย ไม่น่าเชื่อว่าระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร สัตวแพทย์หนุ่มจะใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีก็ถึงยังจุดหมาย เขาแทบจะลอยมาด้วยซ้ำ

..ว่าแต่ตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม

หล่อนจับตามร่างกายแล้วพบว่ายังมีเลือดเนื้อไม่ได้กลายเป็นอากาศก็ถอนหายใจโล่งอก หันมามองคุณลุงที่เดินไปเอาพัดที่แจกฟรีตามร้านค้ามายื่นให้ ก็ยกมือขอบคุณก่อนรับมาถือเอาไว้ ตอนนี้ไม่มีแรงจะทำอะไรทั้งนั้น สมองยังคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่

..สาบานได้เลยว่า ต่อจากนี้จะไม่ไปไหนกับผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด!

คิดแล้วก็มองเข้าไปในสำนักงาน ส่งผ่านสายตาที่เหมือนมีเปลวเพลิงเข้าไปราวต้องการเผาไหม้ตัวต้นเหตุที่ทำให้อดีตพริตตี้คนสวยหมดสภาพได้ขนาดนี้

ไม่รู้ว่ารอนานเท่าไหร่กว่าจะเห็นร่างสูงปรากฏกายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมยกมือไหว้คนที่คาดว่าเป็นหัวหน้าระดับสูง

บอกลากันเสร็จใบหน้าคมจึงหันมาสบดวงตากลมหวานที่เหมือนมีไฟอยู่ในนั้นและมันกำลังบอกว่าต้องการเผาเขาให้ตายทั้งเป็น

“กลับได้แล้ว”

ร่างบางเดินเข้ามาด้วยแววตามาดหมายแล้วเตะเข้าที่หน้าแข้งของสัตวแพทย์เต็มแรง จนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงจับขาของตนเองเพราะรู้สึกเจ็บ เงยหน้ามองคนทำด้วยความรู้สึกโมโห

“โอ๊ย! ยายบ้าทำอะไรของเธอ” เขากระโดดไปมาก่อนจะยืนตรงไม่วายลูบหน้าแข้งตนเองหวังคลายความเจ็บ

ในขณะที่ใบหน้าหวานยกยิ้มมุมปาก เห็นอีกฝ่ายเจ็บก็รู้สึกว่าความโกรธได้รับการปลดปล่อยบ้างแล้ว

“เตะนายไง ฉันรู้นะว่าที่นายขับรถเร็วเพราะต้องการแกล้งฉันใช่ไหม” ขึ้นเสียงแล้วเดินเข้ามาจ้องหน้าเขา ไม่สนว่าคนที่เดินผ่านไปมาจะหันมอง เพราะตอนนี้อารมณ์โกรธอยู่เหนือความอายทุกอย่างแล้ว คนอย่างบุลลาไม่เคยยอมใคร ร้ายมาก็ต้องโดนกลับเป็นสองเท่า “ไอ้คนเลว นิสัยไม่ดี ที่บ้านไม่สั่งไม่สอนเหรอว่าห้ามแกล้งผู้หญิงที่สวยและน่าทะนุถนอมอย่างฉัน!” ชี้หน้าด่าอย่างเหลืออด

จนคนฟังขบกรามแน่น เขาคว้ามือเธอแล้วกระชากร่างที่แรงน้อยกว่าเข้ามาปะทะแผงอก จนสัมผัสได้ถึงหน้าอกแน่นซึ่งผ่านการออกกกำลังกายมาอย่างหนักของคนตัวโต

“อย่ามาลามไปถึงบ้านของฉัน ถ้าจะด่าก็ด่าแค่ฉัน แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะถ้าเธอพูดอะไรให้ระคายหูฉันอีกคำเดียว ฉันไม่ปล่อยไว้แน่” กดเสียงต่ำให้ดูดุดัน

จนบุลลาเริ่มกลัว ทว่าก็ไม่แสดงออกให้เขาได้ใจว่าหนูอย่างเธอจะกลัวราชสีห์อย่างเขา หล่อนเชิดหน้าขึ้นมองเข้าไปในแววตาคมต้องการท้าทายอำนาจมืด

“ไอ้ชั่ว ไอ้บ้า ไอ้หมอปากหมา ไอ้..อื้อ!”

ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา พณณกรไม่สนใจสายตาของใครเขาก้มลงไปกัดปากของบุลลาอย่างรวดเร็วจนไม่คิดว่าสัตวแพทย์หนุ่มจะกล้าทำการอุกอาจอยู่หน้าสำนักงานเกษตรอำเภอเช่นนี้

ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเหมือนตัวจะชาไปทั่วร่าง

เขากัดปากเธอ!

ใช่มันคือการกัดปากไม่ใช่จุมพิตแต่อย่างใด เขาใช้ฟันขบที่ริมฝีปากบนและล่างพร้อมทั้งจับข้อมือของคนตัวเล็กเอาไว้แน่นก่อนจะผลักเธอออกเมื่อเห็นว่าเสียงเงียบไปแล้ว

ไม่ใช่แค่เสียงที่เงียบเพราะตอนนี้หล่อนรู้สึกเหมือนวิญญาณออกจากร่างด้วยซ้ำ

“นี่แค่บทเรียน ถ้าเธอยังกล้าต่อว่าฉันด้วยคำหยาบคายแบบนั้นอีก เธอเจอดีกว่านี้แน่” ว่าจบก็เดินไปคร่อมรถมอเตอร์ไซค์

ปล่อยหล่อนให้ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ตมอเตอร์ไซค์

“จะกลับไหมไร่น่ะ ถ้าจะกลับก็รีบขึ้นมา” ตะโกนถามไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์เมื่อครู่สักนิด

จนบุลลาที่เจ็บใจจนน้ำตาคลอต้องกำหมัดแน่น อยากตรงไปชกหน้าไอ้คนป่าเถื่อนแต่ก็ไม่อาจทำได้ ไม่อยากกลับด้วยสักนิดแต่เพราะไม่มีเงินติดตัวสักบาทจึงไม่มีทางเลือกอื่น

จำต้องเดินไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์แล้วหันมองทางอื่นที่ไม่ใช่แผ่นหลังหนา

พนักงานรักษาความปลอดภัยมองตามรถของพณณกรไปพลางส่ายหน้าอย่างระอา ไม่คิดว่าหนุ่มสาวสมัยนี้จะใจกล้าถึงขนาดมากอดจูบกันหน้าสำนักงาน ดีที่ไม่มีใครยกกล้องขึ้นถ่ายรูปหรืออัดคลิปวิดีโอเอาไว้ไม่อย่างนั้นคงฉาวกว่านี้แน่ เพราะแค่นี้ก็คงมีคนเอาไปพูดปากต่อปากแล้ว

ระหว่างทางกลับไร่ ชายหนุ่มผ่อนความเร็วลงเพราะสงสารคนที่นั่งตาแดงบังคับไม่ให้น้ำตาไหลทั้งที่เจ็บใจเสียเหลือเกิน

มือเล็กยกขึ้นมาถูปากจนบวมช้ำ นึกรังเกียจชายหนุ่มที่กัดปากต่อหน้าผู้คน ไม่ให้เกียรติเธอเลยสักนิด ป่านนี้คนอื่นจะมองว่าหล่อนเป็นผู้หญิงอย่างไรเล่า

คิดก็พาลตื้อในอก อยากเร่งเวลาให้ไปถึงไร่รุ่งอรุณโดยเร็วที่สุดแต่เหมือนสัตวแพทย์หนุ่มจะแกล้งขับรถช้า กินลมชมวิวข้างทางจนอดทุบแผ่นหลังกว้างไม่ได้

“โอ๊ย มันเจ็บนะเว้ย” รถส่ายไปมาเพราะคนขับเสียหลักจังหวะหนึ่ง ดีที่ขับเลียบทางตรงเลนของมอเตอร์ไซค์จึงไม่เป็นอันตราย

ดวงตากลมโตวาวโรจน์เม้มริมฝีปากแน่น

“รีบขับสิ! ขามาแทบจะบิน ทำไมขากลับคลานเหมือนเต่าแบบนี้ ขับไปเร็วๆ เลยนะไอ้บ้า!” อดไม่ไหวต้องตะโกนด่าระบายอารมณ์อัดแน่นและเชื่อว่าตอนนี้เขาคงไม่สามารถตอบโต้ตนเองได้ ซึ่งก็จริงเพราะชายหนุ่มทำได้เพียงแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วเร่งความเร็วขึ้นตามใจผู้โดยสาร

“อยากให้ขับเร็วใช่ไหม ได้ เดี๋ยวจัดให้”

หลังจากนั้นบุลลาก็แทบไม่ได้ลืมตาอีกเลย เอาแต่คว้าเอวหนาเป็นเกราะไม่ให้ตัวเองปลิวไปตามลม ใบหน้าหวานซบลงที่แผ่นหลังกว้างแล้วหลับตาแน่น สวดมนต์ภายในใจขอให้ถึงไร่โดยสวัสดิภาพ

ส่วนคนขับก็มีความสุขกับการแกล้งเสียเหลือเกิน เขายิ้มกว้างในรอบหลายปี

ไม่อยากยอมรับหรอกว่าที่จริงเธอก็เป็นผู้หญิงน่ารักตามแบบฉบับที่ชอบ ใบหน้าหวานจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย รูปร่างไม่สูงจนเกินไป มีน้ำมีนวลไม่ผอมแห้ง ทั้งผิวที่ขาวนวลน่าสัมผัสจนครั้งแรกที่เห็นก็แอบชมในใจแต่พอเจอฤทธิ์อาละวาดของหญิงสาว เขาก็ล่าถอยทันที

ยิ่งดูจากการกระทำที่พยายามอ่อยชลธี เขาก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าเธอก็แค่ผู้หญิงหิวเงินเท่านั้น นิยมชมชอบคนรวย ไม่ได้มีค่าพอจะชายตามองด้วยซ้ำ ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ที่หน้าสำนักงานเกษตรอำเภอก็ทำให้พณณกรอยากชกตัวเองสักทีสองทีทั้งที่บอกว่าไม่ชอบแต่พอเห็นริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยวาจาไม่น่าฟัง กลับรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูด จนเผลอกัดปากจิ้มลิ้มเข้าให้

ไอ้เอิร์ธมึงเป็นหมาหรอวะ!

รถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาภายในไร่ตามถนนลูกรังก่อนเจอทางแยกระหว่างไร่รุ่งอรุณและฟาร์มสายรุ้ง เขาแสยะยิ้มนึกแผนการในใจแล้วเลี้ยวทางขวาซึ่งแน่นอนว่ามันคือทางไปฟาร์มที่บุลลาไม่เคยแม้แต่จะย่างก้าวเข้าใกล้

ร่างบางที่เอาแต่หลับตา ไม่รับรู้ว่าภัยกำลังมาถึงตัว กระทั่งรถจอดลง ดวงตากลมโตจึงลืมขึ้นมองไปโดยรอบ ก้าวลงจากรถมอเตอร์ไซค์หันซ้ายหันขวาก่อนจะรู้ตัวว่า..

นี่มันไม่ใช่ไร่ของเธอ!

ดวงหน้าหวานหันไปมองคนร่างสูงซึ่งลงมายืนกอดอกมองหล่อนด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

“ฉันต้องการกลับไร่! นายพาฉันมาที่นี่ทำไม!” ตะโกนจนสุดเสียงด้วยความไม่พอใจ

“ก็กลับไปสิ ถ้าเธอเดินจากฟาร์มไปที่ไร่ก็คงสักสามกิโลได้ แต่ถ้าเดินลัดเลาะไปหน่อยก็สองกิโล”

สถานที่ซึ่งบุลลากำลังยืนอยู่คือหน้าคอกม้า มีคนงานกำลังจูงม้าออกจากคอกเพื่อทำการอาบน้ำและพาไปเดินเล่น

“นายต้องไปส่งฉัน นายเป็นคนพาฉันไปเองนะ”

“แต่ฉันไม่ได้อยากพาเธอไปสักหน่อย ไอ้ธีมันสั่ง” ปัดความรับผิดชอบทันทีแล้วมองดูว่าเธอจะตัดสินใจทำอย่างไรด้วยแววตาสนุก ทั้งที่ริมฝีปากเหยียดตรง

บุลลากำมือแน่นกระทืบเท้าอย่างขัดใจ วันนี้มันเป็นวันซวยของเธอหรืออย่างไร เจอชลธีก็แทบไม่ได้พูดคุย ที่เจ็บใจสุดคงไม่พ้นโดนหมากัดปากโดยไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลยสักนิด

ดวงตากลมโตมีน้ำคลอเบ้าอย่างน่าสงสาร

แต่พณณกรกลับรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งผู้หญิงตรงหน้า

“ที่จริงฉันไปส่งเธอก็ได้นะ” คนตัวโตคลายแขนที่กอดอกออกแล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเดินเข้าไปใกล้ร่างบางมากกว่าเดิม

ขณะที่หล่อนก็ก้าวถอยหลังไม่ไว้ใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่

“แต่ถ้าให้ไปส่งมันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อย”

ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด..

บุลลาคิดแล้วมองใบหน้าคมยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“อะไร”

..หนูติดกับนายพรานเสียแล้ว

มือหนายื่นไปคว้าเอวเล็กอย่างรวดเร็วดึงเข้าหาตนแล้วยื่นใบหน้าเข้าใกล้

เอวเล็กชะมัดเลย แค่แขนข้างเดียวก็โอบรอบแล้ว..

“จูบฉันสิ แล้วจะยอมไปส่ง” เสียงทุ้มกระซิบใกล้จนดังก้องในหู ดวงตาคมพราวระยับราวมีดาวนับล้านดวงอยู่ในนั้น

จนเธอตาพร่าไปหมด

ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้กว่าเดิม ไม่รอให้หล่อนได้ตอบรับหรือปฏิเสธเพราะเขาจะเป็นคนตัดสินใจเอาเอง

“ไม่นะ!” เบี่ยงหน้าหลบก่อนริมฝีปากของชายหนุ่มจะสัมผัสปากตนเอง ใจดวงน้อยเต้นรัว ถึงเธอจะไม่ชอบเขาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าใบหน้าหล่อเหลาทำเอาใจสั่น หล่อนกระทืบเท้าคนตัวโตเสียแรง

จนสะดุ้งปล่อยร่างเล็กออกจากอ้อมกอด

“อย่ามาทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีก ฉันไม่ได้ชอบนาย ฉันเกลียดนาย!” บุลลาตะโกนเสียงดังลั่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น ตัดสินใจเดินกลับไร่ ไม่อยากพึ่งพาคนที่ดีแต่ฉวยโอกาส

พณณกรมองตามด้วยความคับแค้น

..สองรอบแล้ว เธอทำร้ายเขามาสองรอบแล้ว! ครั้งหน้าอย่าหวังเลยว่าจะยอมให้เดินจากไปแบบนี้

รู้จักไอ้เอิร์ธน้อยไปแล้ว

มองแผ่นหลังบางเดินออกไปจนสุดสายตาก่อนลูกน้องที่เห็นเหตุการณ์จะผิวปากแซว

“ไม่เบาเลยนะนาย ไหนบอกไม่กินเด็กในไร่ไง” เดินเข้ามาหาคนเป็นเจ้านาย ทำแววตาล้อเลียนเพราะอีกฝ่ายเคยลั่นวาจาไว้ ไม่เอาคนงานในไร่แม้จะสวยหยาดฟ้ามาดินแค่ไหนก็ตาม

แต่จากที่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ไม่น่าจะทำได้อย่างที่พูดเอาไว้

“เสือกอะไรกับกู จะเอาไม่เอาก็เรื่องของกู” ผลักคนงานออกแล้วเดินไปดูม้าตัวโปรด หวังขี่มันเพื่อคลายอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้น ปล่อยให้สองหนุ่มที่ล้อเลียนต้องมองตากันอย่างรู้ทัน

“กูวางสองร้อยคนนี้เสร็จนายแน่” หนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านแต่ผิวเข้มพูดขึ้นในขณะที่คนตัวเท่ากันทว่าไว้เคราครึ้มก็ยกยิ้มมุมปาก

“กูว่าไม่ นายไม่เอาคนในไร่หรอก”

“ได้ แล้วมาดูกันว่านายจะกลืนน้ำลายตัวเองหรือเปล่า” นักพนันชั่วคราวแปะมือกันราวเป็นคำสัญญา มองตามร่างสูงที่เดินไปหาลูกรัก

งานนี้นายที่สาวทั้งไร่หมายปองไม่น่ารอด ดูจากแววตาฟันธงได้เลยว่าหลงเสน่ห์แม่ดอกบัวผิวนวลแล้วเป็นแน่

พณณกรเดินหัวเสียมาหา ‘อดัม’ ม้าพันธุ์ฟรีเชี่ยน (Friesian) จากประเทศฮอลแลนด์ซึ่งเป็นลูกรักในขณะนี้ มันเป็นม้าเพศผู้ รูปร่างองอาจดูสง่างาม ค่อนข้างเชื่อง ลำตัวสีดำเลื่อมมีขนที่แผงคอสีเดียวกับผิวยาวสวยเป็นเส้น เขาลูบหัวมันพลางนึกถึงประโยคเมื่อสักครู่ของบุลลา

‘ฉันไม่ได้ชอบนาย ฉันเกลียดนาย’

หึ ต้องรวยแบบไอ้ธีใช่ไหมเธอถึงจะชอบ

คิดแล้วก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความดูแคลน

..ไม่น่ารู้สึกเลยว่าผู้หญิงคนนั้นน่าเอ็นดู ก็แค่อยากเกาะคนรวยเท่านั้นแหละ

คิดว่าเกลียดเป็นคนเดียวหรือไง ฉันก็เกลียดเธอเหมือนกันนั้นแหละ!

บุลลาเดินตามถนนดินลูกรัง พลางกระทืบเท้าด้วยความขัดใจ ไม่เคยรู้สึกเกลียดผู้ชายคนไหนขนาดนี้มาก่อนเลย นอกจากจะฉวยโอกาสกับเธอแล้วยังปล่อยให้เดินกลับไร่ด้วยระยะทางกว่าสามกิโลเมตรอีก

..ไอ้ผู้ชายเฮงซวย! ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจะญาติดีด้วยเลย

เตะก้อนหินแถวนั้นหวังระบายอารมณ์แต่เตะสูงมากเกินไปทำให้ทรงตัวไม่อยู่ล้ม ก้นกระแทกพื้นทำเอาระบมไปทั่วบั้นท้าย

“โอ๊ย! ทำไมมันซวยแบบนี้” ลุกขึ้นก็ปัดฝุ่นออกแล้วเดินกะเผลกเข้าไร่ ตอนนี้บ่ายสองยังไม่เลิกงาน จึงไม่มีใครผ่านมาทางนี้เลย มองข้างทางก็เห็นแต่ทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตาจนรู้สึกท้อที่จะเดิน มือเล็กยกขึ้นปาดเหงื่อบริเวณใบหน้า

ยังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ อยากจะนั่งลงแล้วร้องไห้แต่ทำอย่างนั้นก็ไม่ช่วยให้ถึงเร็วขึ้น จึงกัดฟันฝืนเดินไปตามทาง ภายในใจก็ยังสาปแช่งพณณกรไม่เลิก อันที่จริงเขาและเธอยังไม่รู้จักกันอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ชื่อแซ่ก็รู้เท่าที่คนอื่นเรียก ท่าทางดูไม่แยแสใคร หน้าตาหล่อเหลาที่เคร่งขรึมราวชีวิตพบพานแต่ความทุกข์

ขอให้อมทุกข์ตายไปเลย!

ในระหว่างที่เดินก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งมาทางนี้ บุลลาจึงหันกลับไปมอง ก็พบคนที่ตนแช่งอยู่ในใจควบม้าสีดำเลื่อมมุ่งตรงมาตามทางจนฝุ่นตลบ ดวงตาหวานเบิกขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาบังคับม้าให้วิ่งมาหาเธอด้วยความรวดเร็ว

เพียงชั่วพริบตาเหมือนอยู่ในความฝันเพราะคนตัวสูงโน้มมาคว้าเอวเล็กแล้วใช้แรงทั้งหมดกระชากให้บุลลาขึ้นไปนั่งบนอานม้าโดยมีเขาซ้อนหลัง หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะความกลัวผสมกับความรู้สึกตื่นเต้นราวกำลังถ่ายภาพยนตร์แอ็กชันระดับโลก

เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม แทบจะยกมือขึ้นตบหน้าตนเองถ้าไม่ติดที่ว่าลำแขนหนาโอบกอดเธอเอาไว้เพราะเขาต้องจับบังเหียน และเพราะเหตุนี้ทำให้สองร่างแนบชิดกัน จนเธอสัมผัสได้ถึงแผ่นอกหนาและหน้าท้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเสื้อเกราะกันกระสุนเสียอีก

..คนเราจะมีรูปร่างที่ดีขนาดนี้เลยหรือ

“หายใจบ้างก็ได้ กลัวจะขาดอากาศตาย” ร่างสูงกระซิบข้างหูเสียงแหบพร่า

จนรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง บุลลาไม่กล้าขยับมากเพราะแค่รับรู้ถึงลมหายใจ ที่รดใบหูก็รู้สึกแปลกอย่างไม่เคยเป็น เหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง ร่างกายแข็งทื่อเป็นหิน

เหมือนกับว่าตอนนี้นอกจากม้าและเขายังควบคุมเธออีกด้วย

พณณกรยกยิ้มมุมปาก ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมต้องพาอดัมมาวิ่งเล่นทางเข้าไร่ด้วยทั้งที่ปกติมักจะพาเจ้าแห่งความเร็วไปวิ่งที่ทุ่งหญ้ากว้าง อาจเพราะเห็นแผ่นหลังบางมีแต่เหงื่อเปียกชุ่มก็อดสงสารไม่ได้

ใช่ มันก็แค่ความสงสารนั่นแหละ..

สรุปเองในใจแล้วลอบสูดดมกลิ่นกายหอมไม่ให้เจ้าของร่างรู้ตัว อดัมมีฝีเท้าที่เร็วเพราะจัดเป็นประเภทม้าแข่ง ใช้เวลาไม่นานก็มาส่งร่างบางถึงไร่พืชผักโดยมีสายตาของคนงานนับสิบมองมา

ไม่เว้นแม้บานเย็นผู้เป็นมารดาตาแทบถลนออกจากเบ้า

“ปล่อยได้แล้ว คนอื่นมอง” ม้าหยุดแล้วแต่ดูเหมือนเจ้าของมันจะยังคงโอบกอดเอวเล็กเอาไว้ไม่ปล่อย จนหล่อนต้องควานหาเสียงตนเอง กระซิบบอกเสียงเข้ม

“อ้าวเหรอ ขอโทษแล้วกัน” ปล่อยแขนออกจากบังเหียนม้าแล้วลงมายืนข้างล่าง ช่วยบุลลาลงจากหลังม้าด้วยการจับเอวบาง ใช้แรงยกหญิงสาวลงจากหลังม้าโดยไม่สนสายตาหลายคู่ที่กำลังจ้องมองด้วยความสนใจ

ร้อยวันพันปีสัตวแพทย์หนุ่มเคยสนใจสาวในไร่เสียที่ไหน ครั้งนี้มาแปลกถึงกับพาคนงานใหม่มาส่งถึงที่

ไม่ธรรมดาเสียแล้ว

“เดี๋ยว ไม่ขอบคุณหน่อยหรือไง”

หลังจากลงมายืนได้ หล่อนก็ตัดสินใจจะเดินหนี ไม่อยากยืนเสวนากับเขาให้ตกเป็นขี้ปากของชาวไร่

“ขอบคุณ” กระแทกเสียงใส่พร้อมทำหน้าบึ้ง

จนพณณกรมองด้วยความไม่ชอบใจ โดยไม่รู้เลยว่าที่จริงเธอกำลังพยายามเก็บอาการใจเต้นแรงที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้ต่างหาก

..ไม่ได้นะบัว คนที่เธอควรตื่นเต้นเมื่ออยู่ใกล้คือคุณชลธีเจ้าของไร่เท่านั้น หมอนี่ก็แค่สัตวแพทย์เงินเดือนไม่กี่หมื่น อย่าเอามาทำพันธุ์เชียว ไม่อย่างนั้นคงได้คลุกน้ำปลากินกับข้าว

ส่ายศีรษะพยายามสะกดจิตแล้วมองร่างสูงด้วยแววตาเรียบนิ่ง

“ถ้าไม่อยากพูดขนาดนั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก” ใบหน้าคมที่แต้มยิ้มกลับเรียบเฉย ก่อนขึ้นควบม้าบังคับให้มันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงฝุ่นตลบ

เมื่อลับหลังเจ้าของม้าแสนสวย คนงานก็เดินแกมวิ่งเข้ามาจับแขนเล็กด้วยสีหน้าแตกตื่น

“บัวมันเกิดอะไรขึ้นทำไมหมอเขาได้มาส่งแก” บานเย็นถามเสียงตื่นเต้น ไม่เคยคิดว่าคนที่ใหญ่พอๆ กับคุณชลธีจะมาสนใจบุตรสาวของตน

คนในไร่รู้ดี ถึงแม้ว่าพณณกรจะไม่ใช่เจ้าของไร่ ทว่าก็ดูแลฟาร์มจนแทบจะเป็นหุ้นส่วนกับชลธี คนงานจึงให้ความเคารพสองหนุ่มแทบไม่ต่างกัน อีกทั้งคุณหมอของเหล่าสัตว์เข้าถึงคนงาน ชอบเฮฮาสังสรรค์แต่เวลางานก็จริงจังจนไม่มีใครกล้าเล่น

“ก็คุณธีให้ไปในอำเภอกับหมอนั่น ก็เลยได้มาด้วยกันแค่นั้นแหละ” อธิบายอย่างรวบรัดไม่อยากลงรายละเอียดมากกว่านั้น

“แต่ถึงขนาดขี่ม้ามาส่งมันไม่ใช่แล้วนะ ข้าได้ยินว่าคุณหมอหวงม้าจะตาย ไม่มีผู้หญิงได้ขี่สักคน” ป้าคนหนึ่งกล่าวเสียงเข้ม

จนคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วยและประโยคนั้นก็เรียกเลือดจนแก้มนวลแดงปลั่งอย่างเขินอาย

“ก็ ก็แค่รถเสียน่ะป้า ถามอะไรก็ไม่รู้ฉันจะไปทำงานแล้ว” หลีกหนีจากกลุ่มคนเดินไปนั่งยังแคร่ใต้ร่มใหญ่ซึ่งเป็นที่ทำงานของคนที่ไร่ผัก ส่วนมากก็มีหน้าที่แตกต่างทั้งดูแลผัก เก็บพืชผล คัดเลือกเมล็ด แพ็กใส่ถุงบรรจุภัณฑ์สำหรับวิจัยและสำหรับขาย

คนอื่นยังคงยืนสนทนาถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ไม่เหมือนบานเย็นซึ่งเดินมานั่งข้างลูกสาวของตน พลางใช้สายตาจับผิด

“อะไรแม่ มองหนูแบบนั้นทำไม” อึดอัดกับสายตาราวจะมองทะลุเข้าไปถึงข้างในใจก็เอ่ยถาม

“ไหนบอกว่าชอบคุณธี ทำไมไปหวานกับหมอเอิร์ธได้”

“หวานอะไร เกือบตีกัน แม่สายตาไม่ดีนะเนี่ย” หล่อนส่ายศีรษะแสร้งทำเป็นว่าคำกล่าวของมารดาไม่เป็นจริง

ทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่เลี้ยงบุลลามาตั้งแต่เด็กหรอก หากถามต่อก็คิดว่าลูกคงไม่พูดความจริงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ให้เวลาพิสูจน์ทุกอย่างเองดีกว่าจะได้รู้ว่าใครกันจะเป็นลูกเขยของเธอ

ก็หวังว่าลูกสาวจะไม่เอนเอียงไปทางคุณหมอเสน่ห์แรงหรอกนะเพราะรายนั้นร้ายใช่เล่น..ดูจากสายตาก็พอจะรู้แล้วมองบุตรสาวของนางราวกับจะกลืนกินขนาดนั้น

..จะรอดหรือเปล่าลูกเอ๊ย

หลายวันผ่านไปเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างคุณหมอแห่งฟาร์มสายรุ้งและบุลลาคนงานใหม่ก็เริ่มซาเพราะมีข่าวใหญ่ให้ตื่นเต้นคือ ไร่รุ่งอรุณได้รับรางวัลจากอำเภอให้เป็นไร่ดีเด่นแห่งปี

ชลธีจึงได้จัดงานเลี้ยงฉลอง เชิญคนงานจำนวนกว่าเจ็ดสิบมาสังสรรค์กัน โดยใช้สถานที่คือทุ่งหญ้ากว้างบนพื้นที่ฟาร์มสายรุ้ง ขณะนี้ผู้ชายกำลังช่วยตั้งเวทีขนาดเล็ก ส่วนผู้หญิงก็เริ่มกางโต๊ะกลมนำเก้าอี้มาวางแล้วใช้ผ้าสีน้ำเงินปูทับ

“คุณธีครับ คือว่าผม” ดนัยเดินเข้ามาหาคนเป็นเจ้านายด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน

จนร่างสูงที่ยืนกอดอกมองคนงานจัดสถานที่อย่างขยันขันแข็งหันมาจ้องด้วยความสนใจ

“มีอะไรก็ว่ามาเถอะครับคุณนัย” เห็นอ้ำอึ้งอยู่นานจึงถามเสียงนุ่มไม่ได้กดดันแต่อย่างใด

“ของรางวัลที่จะจับสลากผมยังไม่ได้ซื้อมาเลยครับ”

ใบหน้าคมที่ติดหวานแย้มยิ้มออกมาทันทีเมื่อมองผู้จัดการไร่ก้มศีรษะลงเพื่อขอโทษ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปในเมืองพอดีจะแวะซื้อมาให้ คุณนัยไม่ต้องคิดมากเรื่องแค่นี้เองผมก็นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตายเสียอีก”

ดนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออก ไม่น่ากังวลเลยเพราะคุณชลธีไม่เคยจะดุด่าหรือว่ากล่าวสักครั้ง มีเพียงรอยยิ้มละไมมอบให้

บุลลาซึ่งกำลังปูผ้าลงบนโต๊ะหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอมองซ้ายแลขวาเห็นว่าคนเยอะเพราะฉะนั้นหากขาดตนไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก คิดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์เดินแกมวิ่งไปหาร่างสูงที่ผละจากผู้จัดการไร่ไปดักหน้าเขาเอาไว้

“อ้าวคุณบัว มีอะไรหรือเปล่าครับ”

แค่เขาจำชื่อได้หล่อนก็รู้สึกเหมือนตัวจะลอยแล้ว คนงานมีเกือบร้อยทว่าชลธีกลับบันทึกชื่อของเธอไว้ในสมอง

..เขาต้องสนใจเธอเป็นแน่!

“คุณธีจำบัวได้ด้วยเหรอคะ” ร่างสูงพยักหน้า

“ครับ ผมจำชื่อคนงานได้ทุกคนนั่นแหละครับ”

หัวใจที่พองโตแฟบลงทันทีเมื่อเขาใช้คำพูดที่เหมือนเข็มแหลมมาทิ่ม แต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้มเอาไว้

..ไม่เป็นไรหรอกอย่างไรก็จำได้นั่นแหละ จะจำทุกคนหรือจำแค่เธอคนเดียวมันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอกน่าบุลลา

“ว่าแต่คุณบัวมีธุระกับผมหรือเปล่าครับ”

..แค่น้ำเสียงก็น่าฟังยังจะวิธีการพูดจาที่เหมือนผู้ดีอีก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาอาจมาจากตระกูลผู้ดีมรดกทางบ้านคงไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน

แค่คิดใจก็เต้นรัวจินตนาการเห็นเงินปึกหนาลอยมาวางแทบเท้าแล้ว

“บัวต้องเข้าไปซื้อของในเมืองค่ะ เลยจะมาขออนุญาตคุณธีก่อน” บอกเสียงอ่อยพลางทำตาโตให้ดูน่าเอ็นดูขยับเข้าใกล้ร่างสูงเพียงนิดเพราะไม่อยากแสดงออกมากให้ไก่ตื่น จะต้องค่อยตะล่อมไปทีละนิดเสียก่อน

ส่วนของจริงน่ะหรือ...คืนนี้รู้กัน

“พอดีเลยผมก็กำลังจะเข้าเมือง ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกันไหมครับ”

..คำนั้นแหละที่ต้องการได้ยิน

บุลลาฉีกยิ้มปากแทบจะถึงหูแล้วกระโจนเข้าไปเกาะแขนหนาทันที

“จริงเหรอคะ คุณธีจะเข้าไปพอดีหรือคะ ถ้าอย่างนั้นบัวขอรบกวนหน่อยนะ” แอบสูดดมกลิ่นหอมจากกายสูงก็โอดครวญในใจ

.. แม้แต่น้ำหอมที่ใช้ยังดูแพงเลย ชีวิตเธอต่อจากนี้จะต้องสุขสบายไปทั้งชาติอยู่บนกองเงินกองทองไปตลอดเป็นแน่ แม่จ้า บัวจะได้ผัวรวยก็คราวนี้แหละ

“ไม่เป็นไรเลยครับ คนกันเองทั้งนั้น ไปกันเถอะ” เขาไม่ได้ว่าอะไรกับการถึงเนื้อถึงตัวของหล่อน ซ้ำยังปล่อยให้เกาะแขนเดินไปขึ้นรถไม่อายสายตาของคนงานหญิงที่มองมาด้วยความดูแคลน

“สัปดาห์ก่อนก็หมอเอิร์ธ วันนี้คุณธี มันแรดจริงๆ” ฟ้ามุ่ยสะบัดผ้าคลุมโต๊ะแล้วกระแทกเสียงด้วยความเหยียดหยามให้อริที่ไม่ชอบหน้า

คนอื่นที่อยู่บริเวณนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่ ข้าดูก็รู้ว่ามันอยากจับคุณธี อยากเป็นคุณนายจนตัวสั่น เห็นแล้วหมั่นไส้จริงวุ้ย! ก็แค่อีกาเผยออยากเป็นหงส์ คุณเขาไม่มีวันสนใจมันหรอก” สาลี่จัดเก้าอี้แล้วหันมาเอ่ยสมทบเพราะนึกหมั่นไส้ผู้หญิงที่มาทำงานไม่นานก็เป็นที่กล่าวขานของผู้ชายทั้งไร่ จนหลายคนยกตำแหน่งให้เป็นสาวสวยเลยด้วยซ้ำ

..หึ หน้าตาก็งั้นๆ แหละไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย

การสนทนาที่เต็มไปด้วยความดูแคลนต่อบุลลายังคงไม่สิ้นสุด ขุดมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมด้วยกันจนถึงมัธยมศึกษาปีที่หกก่อนร่างบางจะเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ หวังหารายได้มาจุนเจือครอบครัวเพราะขาดเสาหลักอย่างบิดาไปด้วยโรคร้าย

พณณกรขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากคอกหมูหวังไปดูสถานที่จัดงานคืนนี้ ใจก็ไพล่นึกถึงใบหน้าหวานที่ไม่ได้เจอนานเพราะเขายุ่งกับงานในฟาร์มจนแทบไม่ได้ไปไหน ตกเย็นคนงานก็ชวนไปลองยาดองสูตรใหม่ เมาหลับจำทางกลับบ้านแทบไม่ถูก

“บ้าแล้วไอ้เอิร์ธ ใครจะไปอยากเห็นผู้หญิงหน้าเงินแบบนั้น” สะบัดศีรษะปฏิเสธใจตนเองทั้งที่ริมฝีปากยังแต้มยิ้ม

ระหว่างทางที่ขับไปเขาก็เห็นรถยนต์สี่ประตูสีดำเงาของเพื่อนขับตรงมาเสียก่อน อาจเป็นเพราะกระจกที่ติดฟิล์มดำจึงไม่เห็นคนที่นั่งด้านใน กระทั่งสวนทางกันเขาจึงหยุดรถและชลธีก็ชะลอก่อนจะใส่เบรกมือเลื่อนกระจกลงฝั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อคุยกับเพื่อนสนิท

ดวงหน้าคมของคุณหมอสัตวแพทย์เคร่งขรึมลงเมื่อสบดวงตากลมโตก่อนที่เธอจะหันหน้าหนีการจ้องมองของเขา

“ฉันฝากนายดูคนในไร่จัดงานเลี้ยงหน่อยนะ พอดีต้องเข้าไปในเมืองแล้วจะรีบกลับมา” คนขับชะโงกหน้ามาทักทายเพื่อนสนิท โดยไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมมีลาวาที่ก่อตัวขึ้นพร้อมปะทุหากรถยนต์คันนี้ยังไม่แล่นไป

“อือ จะดูให้”

ชลธีเอ่ยขอบคุณแล้วกดกระจกเลื่อนขึ้นปิดการมองเห็นก่อนรถยนต์จะเคลื่อนตัวออกจากไร่ ทิ้งไว้เพียงอารมณ์ขุ่นมัวของพณณกรจนต้องเร่งเครื่องยนต์เพื่อดับอาการคุกรุ่นที่เกิดขึ้นในใจ เธอเชิดหน้าชูคอไม่หันมาสบตาเขาอีกเลยทำราวกับเป็นคุณนายจนน่าหมั่นไส้

ได้นั่งรถยนต์สมใจแล้วไม่ต้องมาทนนั่งมอเตอร์ไซค์ตากแดดตากลม คิดแล้วก็ยกยิ้มมุมปากอย่างสมเพช ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะสมเพชผู้หญิงคนนั้นหรือสมเพชตนเอง ที่แม้จะมาถึงลานหญ้าแล้วก็ไม่สามารถลืมภาพใบหน้าหวานแสนหยิ่งยโสนั้นได้

ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเมินเขามาก่อนเลย...เธอเป็นคนแรกเลยนะบุลลาที่กล้าเมินฉันแบบนี้!

บนรถยนต์ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนต้องควบคุมอาการมากแค่ไหนที่จะไม่ให้พณณกรรู้ว่าลึกๆ แล้วก็แอบมองหาเขาอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลกลใดทั้งที่ควรเกลียดแต่สายตาก็คอยแต่จะชะเง้อว่าหนุ่มร่างสูงผิวเข้มมีหนวดครึ้มจะโผล่หน้ามาเมื่อไหร่ ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นเขาในครรลองสายตา

..แล้วใครสนกันเล่า ผู้ชายที่เธอชอบคือชลธีต่างหาก

หล่อนเตือนตนเองให้สลัดเรื่องของหมอปากมอมออกจากหัวแล้วฉีกยิ้มหวานไปทางคนขับรถกิตติมศักดิ์

“คุณธีเป็นคนที่ไหนเหรอคะ ทำไมถึงมาทำไร่อยู่นี่” เริ่มแผนการตีสนิทขั้นแรกเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน

“ผมเป็นคนกรุงเทพฯ ครับ ชอบทำสวน ชอบอยู่กับธรรมชาติตั้งแต่เด็ก ยิ่งมาเห็นที่ตรงนี้ก็รู้สึกชอบเลยซื้อแล้วเริ่มปลูกผักผลไม้เล็กๆ ก่อนจะขยายจนเป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละครับ” ขณะที่เล่าใบหน้าหล่อก็นึกถึงอดีตซึ่งตนและพณณกรเป็นผู้บุกเบิกไร่แห่งนี้มาด้วยกัน

ทว่าเพื่อนกลับเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

‘มึงห้ามบอกใครเด็ดขาดว่ากูเป็นเจ้าของไร่อีกคน’

เตือนชลธีเสียงเข้มทั้งแววตาดุดัน

‘ทำไมล่ะ ฉันก็ไม่เห็นว่าจะต้องปิดบังอะไรเลย’

..ไม่เข้าใจสักนิดว่าการเป็นเจ้าของไร่ทำไมจะต้องปกปิดไม่ให้คนภายนอกรู้ด้วย ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเสียหน่อย

‘กูไม่อยากให้ใครมานับหน้าถือตาเท่าไหร่ ทำตามที่บอกเถอะน่า’

ชลธีพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่ และตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็รู้เพียงว่าชลธีคือเจ้าของไร่และฟาร์มแห่งนี้โดยมีพณณกรซึ่งเป็นเพื่อนสนิทช่วยเหลือมาตลอด คนงานจึงให้ความนับถือไม่ต่างกันนัก

“เก่งจังเลย แล้วทำไมถึงรู้จักที่ดินตรงนี้คะ มันอยู่ค่อนข้างลึกเลยนะ”

“อ๋อ มันเป็นที่ของพ่อผมครับส่วนที่เหลือก็ซื้อมาจากชาวบ้านละแวกนี้จนพื้นที่เยอะ เดินทีปวดขาไปทั้งวัน”

คนได้ยินก็ตาโตแอบนับเงินการซื้อขายที่อยู่เพียงลำพัง

..เขาจะต้องรวยแค่ไหนถึงมีเงินซื้อที่ดินกว่าพันไร่ได้ ไหนจะกำไรผลผลิตในแต่ละเดือนอีก

งานนี้แหละไอ้บัวเอ๊ย ได้นั่งกินนอนกินสบายไปทั้งชาติ!

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ซ่อนเสน่หา   ตอนพิเศษ...พี่ตะวันกับน้องกระต่าย

    ตอนพิเศษ...พี่ตะวันกับน้องกระต่าย กำหนดการงานแต่งของลูกสาวเจ้าของไร่มีขึ้นสองเดือนข้างหน้า หล่อนตื่นเต้นยกใหญ่เตรียมงานแต่เนิ่นโดยมีมารดาคอยให้คำแนะนำ ต่างจากบิดาที่มักพูดว่าถ้ามันยากมากก็ไม่ต้องแต่งหรอกลูก พ่อไม่ได้อับอายสักนิดถ้าจะยกเลิก ทำเอาทั้งลูกทั้งแม่ต้องเล่นงานคนเป็นพ่อจนแทบไม่สามารถเข้าบ้านได้ ภูตะวันออกมาทำงานแต่เช้า เห็นว่าวันนี้มีกองละครมาถ่ายทำที่ไร่ ระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ จึงได้จองทั้งไร่รุ่งอรุณและรีสอร์ทของไร่ที่สร้างมาสิบกว่าปี เป็นบ้านหลังเล็กอยู่ได้ประมาณสี่ถึงห้าคน ยาวเรียงกันกว่าสิบหลังทำให้เพียงพอต่อความต้องการ ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อม่อฮ่อมและกางเกงขาดเข่า หมวกสานปีกกว้างป้องกันใบหน้าคมจากแดดทำเอาคนมองแทบไม่รู้ว่าเป็นลูกชายเจ้าของไร่ที่จะมารับกิจการต่อจากบิดา การต้อนรับคนจากข้างนอกไม่ใช่งานของตนเองอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจคนที่มาจากกองละครมากนัก ช่วงนี้ส้มกำลังออกผลเต็มต้นต้องเร่งตัดส่ง ส่วนมากจะวางขายในห้างสรรพสินค้าและส่งออกต่างประเทศ มีขายหน้าไร่บ้างและก็นำไปแปรรูป จะไม่มีผลไม้ตกค้างในสวนให้เน่าทิ้งหรือเสียเปล่า

  • ซ่อนเสน่หา   ตอนพิเศษ...ตะวันและหนูจันทร์เสริมทัพด้วยคีรินทร์

    ตอนพิเศษ...ตะวันและหนูจันทร์เสริมทัพด้วยคีรินทร์ เอกสารขออนุญาตถ่ายละครที่ไร่รุ่งอรุณถูกยื่นให้ร่างสูงซึ่งก้าวเข้ามาในสำนักงาน มือหนาคว้าไปอ่านอย่างละเอียดค่อยจรดปลายปากกาลงไปแล้วส่งกลับพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาสาวเจ้าเขินม้วนไม่ชินกับความอบอุ่นที่ลูกชายเจ้าของไร่มอบให้สักที ซึ่งเขาก็ทำแบบนี้กับทุกคน ช่างแตกต่างจากคนเป็นพ่อเหลือเกิน ราวกับว่าได้ลุงธีมาเต็มๆ เสียแต่ว่าการแต่งตัวที่ออกจะมอซอไปสักเล็กน้อย หากเป็นคนนอกก็คงคิดว่าชายหนุ่มคือคนงานทั่วไป ไม่ใช่ทายาทเจ้าของไร่แสนใหญ่โตแห่งนี้ เดินไปหยิบเอกสารสำหรับจัดงานฉลองประจำปีของไร่ เขาต้องไปพูดคุยกับนายอำเภอ ทั้งไปหาเกษตรอำเภอสอบถามเกี่ยวกับการปลูกผลไม้เมืองหนาวทั้งที่อากาศจังหวัดนี้ร้อนแทบทั้งปี “พี่ตะวัน!” สะดุ้งเมื่อมีมือมาจับที่ไหล่พร้อมตะโกนเสียงดังข้างหู พอหันไปก็พบน้องชายตัวแสบที่ยิ้มหน้าแป้นแล้น ภูตะวัน วิจิตรประภา ชายหนุ่มรูปงามแห่งไร่รุ่งอรุณ ใบหน้าคมคายได้พ่อมาเต็มๆ ส่วนนิสัยนั้นอ่อนโยนจนคนงานผู้หญิงพากันทอดสะพานให้เต็มที่ หวังเป็นนายหญิงของไร่แห่งนี้ โดนขายขนมจีบไม่เว้นวันก

  • ซ่อนเสน่หา   พิเศษ...ไปรยา ชนาธิป

    พิเศษ...ไปรยา ชนาธิปความรักสำหรับคนอื่นคือใครเขาไม่รู้ แต่สำหรับผู้ชายที่ไม่เคยมีใครมองจนได้เพียงแค่หวังว่าวันหนึ่งจะมีผู้หญิงมองเห็นตัวเองบ้าง และวันที่เข้ากิจกรรมของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ครั้งแรกหัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นร่างบางเดินผ่านวินาทีนั้นเหมือนมีแสงสว่างส่องไปทั่วร่างของเธอจนสายตาเขาพร่าไปหมด ออร่าที่แสบตาจนไม่อาจมองได้ต้องหันหน้าไปทางอื่น พลันหล่อนกลับเดินมานั่งข้างเขาแล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง“สวัสดี อืม ชื่อฟลุ๊คเหรอ เราหนึ่งนะ” ใบหน้าหวานก้มมองป้ายชื่อของเขาแล้วส่งยิ้มทักทาย“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” หลังจากนั้นเธอก็หันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นปล่อยเขาแอบมองอยู่ฝ่ายเดียว และสังเกตเห็นว่าดวงตากลมโตมักจะชอบวนเวียนอยู่ที่ผู้ชายมาใหม่คนหนึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอและเป็นชายซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจ เป็นที่หมายปองของหญิงสาวคนอื่นพณณกร วิจิตรประภาทายาทตระกูลดัง นอกจากจะหน้าตาดียังฐานะร่ำรวยอีกต่างหาก เขาได้แต่เก็บความอิจฉาไว้ภายในใจเฝ้ามองไปรยาที่แอบรักข้างเดียวด้วยความเสียใจ อยากจะเข้าไปปลอบยามหญิงสาวร้องไห้ก็ไม่กล้าจนกระทั่งฟ้าเป็นใจงานเลี้ยงสายรหัส

  • ซ่อนเสน่หา   ๗

    ๗หลังจากที่ผ่านค่ำคืนแสนหวานคู่สามีภรรยาก็นอนกอดกันอยู่ภายในมุ้ง แขนแกร่งกระชับเอวบางจนแผ่นหลังเธอชิดอกเขา ดมความหอมจากกลุ่มผมนุ่มสลวยก่อนที่บุลลาจะพลิกตัวมาเพื่อซบใบหน้าที่แผงอกหนาพร้อมพรมจูบไปทั่วและนั่นทำให้สัญชาตญาณเสือร้ายผุดออกมาทันที เขาขึ้นคร่อมเธอเอาไว้จับกดพร้อมกับพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นผืนน้ำ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แต่ชายหญิงคู่นี้กลับผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่ยอมแพ้กันและกันไม่บ่อยนักที่จะได้ทำอะไรตามใจตัวเอง ปลดปล่อยอารมณ์โดยไม่ต้องกลัวลูกได้ยินหรือตื่นตอนดึก พวกเขาทำตามใจปรารถนาไม่สนว่าใครจะได้ยินหรือไม่ทั้งที่บ้านก็ไม่ได้เก็บเสียง ยิ่งเมื่อคืนที่พณณกรโยกตัวจนเตียงเกือบหัก บ้านแทบพังทำเอาบุลลาต้องตีเขาไปหลายรอบในความบ้าระห่ำ จนชายหนุ่มถามกลับว่าใครเล่าที่เรียกร้องหล่อนจึงปิดปากเงียบก็เธอเป็นคนร้องขอให้เขาเพิ่มแรงขึ้นอีกแท้ๆ จะว่าได้อย่างไรเล่า“อือ พอแล้วค่ะ” ลุกขึ้นมาทำอาหารยามสายไว้รับประทานกันสองคนโดยมีร่างสูงคลอเคลียอยู่ด้านหลังไม่ห่าง เสื้อยืดตัวเล็กและกางเกงขาสั้นที่เตรียมมาถูกสวมบนร่างกายทว่าไม่มีชั้นในปกปิดเลยสักชิ้นและตอนนี้มือหนาก็กำลังเลื้อยเข้าไปภายใต

  • ซ่อนเสน่หา   ๖

    ๖การไปพักผ่อนครั้งนี้แม้แต่ตัวหญิงสาวเองก็ยังไม่รู้จนกระทั่งรถยนต์จอดเทียบท่าเรือก่อนคุณลุงคนขับรถจะลงไปยกกระเป๋าด้านหลังออกมา ดวงตากลมโตมองเรือที่เทียบท่าก็ตาลุกวาวเพราะเคยเห็นจากในละครเท่านั้นไม่เคยนึกเลยว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ด้วยตาของตนเอง แถมที่หัวเรือยังเขียนชื่อของบริษัทใหญ่ ตระกูลดังเอาไว้อีกด้วย พณณกรถือกระเป๋าเดินมาคว้ามือภรรยาเอาไว้แล้วบังคับให้เดินตามมาไม่บอกกล่าวอะไรสักนิด“มีแต่เรือหรูๆ ทั้งนั้นเลย” พึมพำเสียงเบาขณะที่คิดได้ว่าสามีของตัวเองก็เป็นคนในตระกูลดังเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีเรือของบ้านเขาจอดไว้น่ะสิคิดพลางยิ้มกริ่มเมื่อวาดภาพว่าตัวเองจะต้องได้นั่งจิบไวน์อยู่บนเรือหรู มองท้องฟ้าสีคราม ผืนน้ำสีน้ำเงินด้วยความสุขแน่นอุรา ยอมเดินตามแรงดึงจนกระทั่งผ่านพ้นเรือหรูมาลำแล้วลำเล่าก็เหมือนจะไม่ถึงสักที ใบหน้าหวานเริ่มบูดบึ้งตามอารมณ์“จะเดินไปถึงมาเลเซียเลยไหมคะ” อดประชดไม่ได้จนคนนำหน้าหันมายิ้มที่ภรรยาเริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม เพราะตั้งเมื่อคืนหล่อนเอาแต่กอดเขาแน่นทั้งยังตอนเช้าที่มองตามตาละห้อย ต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลากลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายอย่างไม่

  • ซ่อนเสน่หา   ๕

    ๕บุลลากำลังเล่นกับฝาแฝดทั้งสองโดยมีเหล่าแม่บ้านคอยช่วยเหลือเนื่องจากหลงเสน่ห์ของเด็กน้อย อันที่จริงคุณดาริกาก็ชวนให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เมืองกรุงแต่เพราะงานรัดตัวที่ไร่ ทั้งยังเป็นห่วงมารดาที่เริ่มแก่ตัวลงทุกวันจำต้องปฏิเสธไป ตอนนี้เธอติดไร่มากกว่าแสงสีในเมืองหลวงเสียแล้วแต่ถ้าพณณกรจะกลับมาอยู่ที่นี่หล่อนก็คงตามมาด้วยเพราะไม่สามารถแยกจากสามีได้อีกแล้ว ในขณะที่กำลังมองดูบุตรสาวสิ่งไล่กับพี่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เบอร์แปลกที่โชว์หราทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันที หลังจากที่ลาออกจากงานก็ไม่ค่อยมีใครโทรมาทำให้เกิดความสงสัยขึ้นว่าปลายสายคือใครร่างบางแยกตัวออกไปรับโทรศัพท์ "สวัสดีค่ะ"'ว่าไงบัว ไม่เจอกันนานสบายดีไหม' เสียงเข้มที่เอ่ยทักทายทำเอาหล่อนยิ่งสงสัยมากกว่าเดิมเพราะจำน้ำเสียงไม่ได้"เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ" ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หรือจะเป็นลูกน้องเก่าที่โรงแรม ไม่อย่างนั้นก็น่าจะเป็นคุณรวี ทว่าฝ่ายนั้นแทบไม่ได้ติดต่อมาเลยตอนนี้เห็นว่าโดนทางบ้านจับแต่งงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย'อะไรกัน จำเสียงแฟนเก่าไม่ได้หรือไง' เอ่ยเพียงเท่านั้นใบหน้าคมก็ชัดวาบ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status