LOGINปลายยามเหม่าประตูท้องพระโรงถูกเปิดออกอีกครั้ง หลังการนองเลือดในค่ำคืนมงคลของไท่จื่อ เหล่าขุนนางที่ถูกฮ่องเต้กักตัวไต่สวนตลอดคืน ถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระ ซูอวี้หนิงเหนื่อยล้าจนเปลือกตาจะปิดลงเสียตั้งแต่ยังไม่ออกจากวัง หลี่หยางเฉิงเห็นว่านางเดินไม่มั่นคงแล้ว ร่างสูงจึงช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน ซูอวี้หนิงตกใจจนดวงตากลับมาสว่างอีกครั้ง “ท่านอ๋อง! ทำอันใดเพคะ” ซูอวี้หนิงที่ถูกอุ้มจนร่างลอยกลางอากาศ ตกใจจนหายง่วงนอนเป็นปลิดทิ้ง “ก็อุ้มเจ้าอย่างไรเล่า รู้หรือไม่ว่าตนเองเดินเซไปมาไปราวกับเด็กน้อยหัดเดินก็ไม่ปาน” หลี่หยางเฉิงเอ่ยพลางอุ้มนางเดินออกมาจากท้องพระโรง ซูอวี้หนิงลอบมองโดยรอบ เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ คุณหนู คุณชายจากจวนขุนนางต่างมองมายังนางและเขาอย่างไม่ปิดบัง แม้ฉินอ๋องจะไม่กระดากอาย แต่ไม่ใช่กับสตรีเรือนหลังเช่นนาง หญิงสาวมุดตัวเข้าหาอกแกร่ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านอ๋องปล่อยหม่อมฉันลงก่อนเถอะเพคะ ผู้คนมากมายกำลังมองอยู่นะเพคะ” คำที่นางเอ่ยไม่เกินจริง แม้แต่เหรินชิงหยูกับเหรินฉีเหนียง ก็ยังจับจ้องพวก
จางฮองเฮาตกใจจนคุมสติไว้ไม่อยู่ อุทานเสียงดัง “นี่ไม่ใช่ว่าเจ้า…” นางเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็หันไปมองฮ่องเต้ที่ยังคงยืนนิ่ง ไม่มีท่าทีตกใจ นั่นไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้รู้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นแล้วหรอกหรือ หลินเหวินซานตกใจไม่ต่างกัน เขาคิดว่าการจะสังหารฉินอ๋องเป็นเรื่องง่ายดายเสียกว่าฆ่ามดตัวหนึ่ง จึงยังยอมปล่อยคนบ้าเข้าออกวังหลวงตามอำเภอใจ ทว่าตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว หลี่หยางเฉิงไม่สนสายตาสงสัยของผู้คนเกินครึ่งท้องพระโรง สายตาเย็นเยียบยังจ้องมองหลี่เยว่ซิงไม่วางตา “สุดท้าย เจ้าก็ยังเลือกใช้แผนที่ลับนั่นอยู่ดีสินะ” คำเอ่ยแสนเรียบง่ายของฉินอ๋อง กลับทำให้ฉู่อ๋องหัวเราะลั่นราวคนเสียสติ ตราหยกพร้อมหนังสือสัญญาการค้าของฉู่อ๋องกับหอพันธสัญญาถูกมอบให้ฮ่องเต้ในทันที “คุณชายหอพันธสัญญาก็คงเป็นฉินอ๋องสินะ ท่านพี่ของข้าช่างปิดบังตัวตนได้เก่งนัก” คำพูดของฉู่อ๋องยิ่งทำให้ผู้คนตกตะลึง แม้แต่ฮ่องเต้เองยังไม่ทรงทราบว่าหอพันธสัญญาที่กุมความลับของใต้หล้าไว้มากที่สุด แท้จริงแล้วอยู่ในมือโอรสองค์รองของต
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองก่อนพิธีอภิเษกสมรสของไท่จื่อกับองค์หญิงของเผ่าหานหลัว ถูกจัดขึ้นก่อนงานอภิเษกครึ่งเดือน ก่อนที่ขบวนเจ้าสาวจะเดินทางมาถึงเมืองฉางเล่อ ฮ่องเต้ให้ขุนนางน้อยใหญ่เข้าร่วมถวายพระพรในท้องพระโรง เสียงดนตรีบรรเลงบทเพลงด้วยท่วงทำนองไพเราะดังทั่วทั้งงาน ไท่จื่อผู้เป็นคนสำคัญในงานนี้ยิ้มระรื่นรับคำอวยพรจากเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ ภายในงาน องครักษ์คุ้มกันฮ่องเต้ยังคงมีจำนวนเท่าเดิม ทว่าเหล่าขันทีและนางกำนัลกลับมีมากกว่าปกติ แต่ก็ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ หลี่หยางเฉิงกุมมือซูอวี้หนิงไว้แน่น ก่อนหันมากระซิบข้างหูนาง “อยู่ใกล้ข้าไว้” เขาเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงมั่นคง ร่างบางพยักหน้าอย่างเชื่อมั่น แม้นางรู้ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ทว่าภายในใจกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้เพียงนิด จู่ ๆ เสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างครึกครื้นก็เงียบลง เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากกรูเข้ามา เหล่าขุนนางที่ไม่รู้เรื่องอันใดต่างแตกตื่น ทหารปิดบังใบหน้านับร้อยคนล้อมรอบเหล่าขุนนางไว้แน่นหนา ดาบคมกริบหันเข้าหาฝูงชน ฮ่องเต้ลุกขึ้นจากบัลลังก์ แววพระเนตร
เมื่อคนตระกูลหลินออกไปแล้ว หลี่หยางเฉิงจึงได้ถอดหน้ากากออก พร้อมกับเดินไปที่หลังม่าน ซูอวี้หนิงที่ยังตกตะลึงกับคำพูดของหลี่เยว่ซิง ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ทว่าใบหน้าที่ซีดเซียวกลับไร้ซึ่งหยดน้ำตา “หนิงเอ๋อร์ ขอโทษที่ไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้าก่อน เพราะข้าไร้หลักฐาน มีเพียงการคาดเดาจากสิ่งที่สายลับสืบรู้มาเท่านั้น” บุรุษร่างสูงรีบอธิบาย เพราะเกรงว่านางจะเข้าใจตนผิด ซูอวี้หนิงส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่โทษท่านอ๋อง หากไม่ใช่ครั้งนี้หม่อมฉันคงไม่รู้เลยว่า บุรุษที่หม่อมฉันเคยมอบใจให้ กลับเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายตระกูลเหริน รวมทั้งมองการตายของท่านแม่เป็นเพียงเรื่องไร้ค่า ทั้งยังโกหกทำตัวขาวสะอาดต่อหน้าหม่อมฉันได้โดยไม่ละอายอีก” หลี่หยางเฉิงมองสตรีตรงหน้าด้วยความสงสาร ทั้งตัวเขาและหลี่เยว่ซิงต่างหลอกลวงนาง ให้ให้นางต้องเสียใจ พลันในใจก็ก่อเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้ง รถม้าจวนฉินอ๋องย่ำไปตามท้องถนน มุ่งหน้ากลับจวนจวิ้นอ๋อง เดิมทีหยางเฉิงอ้อนวอนให้นางกลับจวนพร้อมเขา ทว่าซูอวี้หนิงกลับยืนก
เพียงอึดใจ ประตูห้องก็เปิดออก หลี่เยว่ซิงเดินเข้ามาพร้อมกับหลินเหวินซานและหลินซือหาน “พวกเจ้ามีเวลาหนึ่งก้านธูป” คุณชายหอพันธนาการเอ่ยขึ้น พร้อมกับธูปที่ถูกจุดขึ้นในทันที หลินเหวินซานไม่รอช้า รีบรั้งให้หลานชายนั่งลง ในหอพันธนาการ แม้แต่ฮ่องเต้ก็จะถูกปฏิบัติเหมือนกัน ไม่มีใครมีอำนาจเท่าคุณชายของที่นี่ เช่นนั้นการจะรอให้อีกฝ่ายคารวะนั้นเป็นไปไม่ได้ “ไม่อ้อมค้อมแล้ว ข้าอยากได้ทหารลับหมื่นนาย” หลินเหวินซานเอ่ยปากในทันที หลี่หยางเฉิงเหยียดยิ้ม ก่อนหันมามองหลี่เยว่ซิงที่ไม่เอ่ยคำใดแม้ครึ่งคำ “ฉู่อ๋องก็คิดจะเข้าร่วมการก่อกบฏครั้งนี้ด้วยหรือ” หลี่เยว่ซิงตะลึงงัน ไม่ต่างจากหลินเหวินซานและหลินซือหาน ก่อนมาที่นี่ พวกเขาปิดบังชื่อแซ่ไว้ดีแล้ว ไม่นึกว่าคุณชายไร้นามผู้นี้จะล่วงรู้ความลับจนได้ “หึ! พวกเจ้าไม่ต้องตกใจ ผู้ที่มาที่หอนี้ได้ ย่อมต้องเป็นคนที่ข้ารู้จักจนกระจ่างแล้ว” หลี่หยางเฉิงภายในคราบคุณชายหอพันธนาการเอ่ยขึ้น “หึ! สมกับเป็นโรงประมูลอันดับหนึ่งของยุทธภพ” หลี่เย
“แล้วเหตุใดฉู่อ๋องต้องอยากพบท่านอ๋องด้วยเล่า” “หากให้ข้าคาดเดาความคิดของหลินเหวินซาน ตาเฒ่านั่นคงบอกเรื่องราวทั้งหมดในอดีตกับฉู่อ๋อง เพื่อให้เขาร่วมในแผนการครั้งนี้ด้วย อย่างไรเสียหากฉู่อ๋องยอมเข้าร่วม การก่อกบฏครั้งนี้ก็สำเร็จได้ง่ายขึ้น จวนอ๋องมีทหารในมือไม่น้อย หลี่เยว่ซิงรักกุ้ยเฟยเพียงนั้น เขาไม่มีวันปล่อยให้แม่ตัวเองถูกประหารแน่” หลี่หยางเฉิงอธิบายทุกอย่างให้ซูอวี้หนิงฟังโดยไม่ปิดบัง หญิงสาวมีท่าทีกลัดกลุ้ม นางไม่อยากเห็นบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสหายตั้งแต่วัยเด็กจะต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ หลี่หยางเฉิงราวกับอ่านใจนางออก จึงเอ่ยกับนางด้วยแววตาจริงจัง “เจ้าวางใจเถอะ หากเขาไม่มีเจตนาคิดก่อการกบฏข้าจะไม่ยื่นดาบให้เขาแน่ อย่างไรฉู่อ๋องก็เป็นน้องชายของข้า ข้าไม่คิดอยากให้เขาตายเช่นกัน” ซูอวี้หนิงนิ่งงัน นางหันมาจ้องมองหลี่หยางเฉิงด้วยแววตาสับสนอีกครั้ง เดิมทีหญิงสาวนึกว่าฉินอ๋องจะอาคาดมาดร้าย เห็นคนของตระกูลหลินเป็นศัตรูเสียหมด ยิ่งฉู่อ๋องที่เป็นโอรสของกุ้ยเฟยแล้วคงยิ่งหนีไม่พ้นไฟแค้นของคนตรงหน้านางแน่ ทว่าวันนี้นางกลับไ







