จี้เสี่ยวชุ่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย “ท่านบอกว่ามีคนเห็นเยอะมาก ใคร? ใครเห็นบ้าง?”หวังหยวนโซ่วกำลังจะพูด แต่นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ถูกทุบตีนั้น นอกจากจางเมี่ยวเหรินแล้วยังมีคนในครอบครัวโจวอีก ครอบครัวโจวจะไม่บอกความจริงอย่างแน่นอน “ภรรยาของข้า ภรรยาของข้าเห็น”เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด จี้เสี่ยวชุ่ยก็หัวเราะทันที “ท่านไม่รู้หรือว่าสามีภรรยาไม่สามารถช่วยเป็นพยานให้กันและกันได้? หากเป็นกรณีนี้ ไก่หลายสิบตัวที่ข้าเลี้ยงเมื่อไม่กี่วันก่อนหายไป แล้วข้าคิดว่าครอบครัวของท่านขโมยไป สามีของข้าก็ย่อมเป็นพยานได้น่ะสิ พวกท่านลองคิดดูแล้วกัน!”เมื่อครอบครัวโจวได้เผชิญหน้ากับจี้เสี่ยวชุ่ย นี่เป็นครั้งแรกที่ค้นพบว่านางมีคารมที่คมคายยิ่งนักดวงตาของจางเมี่ยวเหรินเบิกกว้าง นางเป็นคนที่มีลูกไม้แพรวพราวมาโดยตลอด ทำไมตอนนี้แม้แต่ครอบครัวโจวซึ่งเคยเป็นครอบครัวที่จริงจังมาเสมอถึงได้เริ่มเล่นแง่เสียแล้วเล่า“อีกอย่างพวกท่านทุบตีเถาเอ๋อร์ นี่เป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้ด้วยตาตัวเอง ข้าเดาว่าท่านอาและท่านลุงทุกท่านก็คงได้เห็นกันมาไม่น้อย ถ้าเรานำเรื่องนี้ไปรายงานต่อเจ้าเมือง ท่านคิดว่าเขาจะลงโทษท่านใน...ใน...”“คดีทำร้
จี้เสี่ยวชุ่ยเหลือบมองดวงตาของพวกเขาก็รู้แล้วว่าพวกเขามีเจตนาร้าย จึงได้กล่าวคำพูดอีกสองสามคำกับผู้คนที่อยู่ตรงนี้“ท่านลุงท่านป้าทุกท่าน พวกท่านดูสีหน้าของสองสามีภรรยาสิเจ้าคะ เดาได้เลยว่าคืนนี้เถาเอ๋อร์กลับไปจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานอีกเป็นแน่”ในยามนี้จางเมี่ยวเหรินแทบจะอดรนทนไม่ไหวแทบจะเข้าไปฆ่าจี้เสี่ยวชุ่ย แต่เมื่อเห็นสายตาขุ่นเคืองของชาวบ้าน จึงยิ้มอย่างขึ้นมารวดเร็วพลางเอ่ยขึ้น “ทุกคนวางใจเถอะ เราจะไม่ทำอะไรหรอก นี่เราก็เพิ่งตระหนักได้ถึงความผิดของเรา หลังจากนี้จะดูแลเถาเอ๋อร์ของเราอย่างดีแน่นอน”“ใช่แล้ว ๆ !”ชาวบ้านไม่เชื่อในใบหน้านี้ของหวังหยวนโซ่วและภรรยาอีกแล้ว แต่เรื่องนี้จะยังทำได้อะไรได้อีก ท้ายที่สุดแล้ว จะอย่างไรเสีย หวังเถาเอ๋อร์ก็คือลูกสาวแท้ ๆ ของเขาจี้เสี่ยวชุ่ยรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย กลัวว่าหวังเถาเอ๋อร์จะถูกพากลับไปทั้งแบบนี้“นางจาง ไม่ใช่ว่าเจ้าจะขายเถาเอ๋อร์ให้ไปอยู่หมู่บ้านอื่นหรือ?” ในเวลานี้โจวไฉก็พูดขึ้น บนร่างกายของเขาเปล่งประกายด้วยรัศมีที่ชาวบ้านทั่วไปไม่มี ซึ่งทำให้ผู้คนอดหวาดกลัวไม่ได้“ท่าน...ท่านพูดเรื่องไร้สาระอะไร? ข้าคนนี้จะไปขายนางได้อย่าง
จางเมี่ยวเหรินเห็นว่าตนอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ จึงต้องการลากตัวหวังหยวนโซ่วกลับบ้าน นางเถียงสู้คนอื่นไม่ได้แล้วจะให้นางอยู่ไปทำไม ไม่ใช่ว่าหวังเถาเอ๋อร์ไม่อยากแต่งงานหรอกหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นนางก็จะทำให้หวังเถาเอ๋อร์แต่งงานให้ได้“นางจาง...” โจวไฉเอ่ยขึ้นน้ำเสียงทุ้มลึกจางเมี่ยวเหรินหันกลับ เดิมที่อยากจะเดินออกไป แต่ได้ยินโจวไฉพูดขึ้นเสียก่อน“หยวนเหล่าชีผู้นั้นให้เงินท่านเท่าไร ข้าก็จะให้ท่านเท่านั้น เพียงท่านให้เถาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ก็พอ”เมื่อจางเมี่ยวเหรินได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา ในตอนนี้สิ่งที่นางขาดแคลนมากที่สุดคือเงิน ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่รีบให้หวังเถาเอ๋อร์แต่งงานออกไปเร็วขนาดนี้ ทว่าในตอนนี้ครอบครัวโจวกลับกล่าวอย่างนี้...ทันทีที่โจวไฉพูดขึ้นมาแบบนี้ ทุกคนที่ได้ยินก็ตกตะลึง เดิมที่โจวเฉิงเหรินและหวังเถาเอ๋อร์เคยหมั้นหมายกันมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าการหมั้นหมายนั้นจะถูกจางเมี่ยวเหรินบังคับเช่นกัน แต่การหมั้นก็เป็นเพียงแค่การหมั้น จากนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นกับครอบครัวโจว ไม่เพียงแต่ทรัพย์สินของครอบครัวถูกขายเท่านั้น กระทั่งโจวเฉิงเหรินก็ป่วยด้วยโรคแปลกประหลาด ทำให้ทั้งสอง
ที่หน้าบ้านของครอบครัวโจว เพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวโจวหลอกลวงตน จางเมี่ยวเหรินจึงเชิญผู้รู้หนังสืออีกคนของหมู่บ้านมา แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่มีความสามารถเท่าโจวเฉิงเหริน แต่เขาก็ยังมีชื่อเสียงในหมู่บ้านอยู่บ้างคัดสำเนาสองชุด หลังจากลงลายนิ้วมือ ทะเบียนสมรสก็จะถือว่ามีผลทางกฎหมายแล้ว“เถาเอ๋อร์ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรบกวนท่านหลี่” นายหลี่ผู้นั้นเป็นผู้ชายในหมู่บ้านต้าถาว อายุประมาณสี่สิบปีแล้วแต่ยังสอบไม่ผ่านขั้นซิ่วไฉ อย่างไรก็ตามชายผู้นี้ได้ตั้งแผงเขียนจดหมายอยู่ในหมู่บ้าน ปกติแล้วเขาก็เป็นคนใจดีและมักจะช่วยชาวบ้านเขียนบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งทำให้ชาวบ้านไว้ใจเขามากเมื่อเห็นหวังเถาเอ๋อร์ขยับตัว จางเมี่ยวเหรินก็อดหนังตากระตุกไม่ได้ หากที่นี่มีคนไม่มาก นางคงจะบุกไปทุบตีหวังเถาเอ๋อร์เสียสองสามครั้งให้สาแก่ใจ ความแข็งแกร่งของนางมีมากพอตัว“เจ้าว่ามา” นายหลี่ยังคงเอ็นดูหวังเถาเอ๋อร์ นางโตพอ ๆ กันกับลูกสาวของเขา แต่นางลำบากกว่าลูกสาวของเขาเป็นร้อยเท่า เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ในใจของเขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เพียงแต่ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นหวังเถาเอ๋อร์มองหวังห
“เถาเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้...” ดวงตาของโจวเฉิงเหรินเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และยิ่งเกลียดหวังหยวนโซ่วและภรรยาที่ไร้ใจมากกว่าเดิมหวังเถาเอ๋อร์หันไปยิ้มอย่างสดใสให้กับโจวเฉินเหริน “พี่เฉินเหริน ถ้าแต่งงานกับท่านแล้วทำให้ท่านลำบาก ข้ายอมตายดีกว่าปล่อยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย” นางไม่สนใจใยดีพวกเขาไปนานแล้ว อีกทั้งยังเจ็บปวดเจียนตายขนาดนี้ นางจึงไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกต่อไปทุกคนโกรธขึ้นมาอีกครั้ง จะมีพ่อแม่ที่ไหนโหดร้ายได้ขนาดนี้ ช่างน่าละอายจริง ๆ“เจ้าลูกทรพีเอ๋ย เจ้าลูกทรพี... ถ้าข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าจะบีบคอให้ตายไปเสีย ดีกว่าให้เจ้ามาทำให้ข้าโกรธอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้…” ในความทรงจำของหวังหยวนโซ่วที่มีต่อลูกสาวคนนี้ช่างขี้อายและขี้ขลาด ใครจะรู้ว่าหากนางกบฏขึ้นมาจะเป็นอย่างตอนนี้“ท่านตำหนิข้าว่าเป็นลูกทรพี? ถ้าไม่มีลูกทรพีอย่างข้า ก็คงไม่มีใครทำอาหารให้ท่านกินทุกวันและรอให้พวกท่านลุกขึ้นมาดุด่าก่อนกินข้าวหรอก ถ้าไม่มีลูกทรพีอย่างข้า แม้ว่าที่บ้านจะมีเสื้อผ้ากองโตเท่าภูเขาก็จะไม่มีใครซักให้พวกท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะลูกทรพีอย่างข้าที่ต้องทำงานทุกประเภทและทำงานทุกวัน ไก่ เป็ด
หมู่บ้านต้าถาวในช่วงรุ่งสางเงียบสงัดไร้สิ่งใดเปรียบ เมื่อแสงแรกส่องทะลุม่านหมอกอันเบาบาง หมู่บ้านต้าถาวก็ต้อนรับรุ่งอรุณอันอบอุ่นหอมหวน ทุกสิ่งในหมู่บ้านต้าถาวถูกปกคลุมด้วยแสงอันอบอุ่นในยามเช้า“แย่แล้ว มีใครอยู่ไหม... สะใภ้ตระกูลโจวกระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้ว...”แต่ทว่า เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำลายความเงียบสงัดของหมู่บ้านเล็ก ๆ ผู้คนที่เดิมทีรับประทานอาหารเช้ากันอยู่ในบ้านกำลังจะออกไปทำงาน เมื่อได้ยินเสียงร้องต่างก็พากันวิ่งไปยังจุดกำเนิดเสียงกันอย่างรวดเร็ว “เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น?” ในตอนนี้เอง สตรีที่ม้วนผมดำขลับทั้งหมดไว้ในผ้าผืนสีเขียวน้ำทะเลผู้หนึ่งได้วิ่งปรี่เข้ามา บนใบหน้าของนางมีความตกตะลึงปนประหลาดใจ“อาสะใภ้โจว เจ้ามาแล้วหรือ เสี่ยวชุ่ยลูกสะใภ้บ้านเจ้ากระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้ว...”“สมควรถูกมีดแทงสักพันแผล นี่ข้าเพิ่งจะจ่ายเงินซื้อมาเองนะ ห้าตำลึงเงินของข้า~ ” อาสะใภ้โจวมองดูลำธารที่ไหลเชี่ยวกรากที่อยู่ตรงหน้า ในใจก็ก่นด่าจี้เสี่ยวชุ่ยไม่ต่ำกว่าแปดร้อยรอบ คราแรกที่นางหญิงชั่วคนนี้แต่งเข้ามา นางมองอย่างไรก็ขัดหูขัดตา แต่ด้วยความที่ตระกูลของพวกนางอับจน ไร้ซึ่งหนทาง จ
“ปัง...”ขณะที่ซุนเสี่ยวหย่ากำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้อง จู่ ๆ ประตูก็ถูกคนถีบเข้ามาเสียงดัง“นางเด็กดื้อด้านน่ารังเกียจนี่...”ซุนเสี่ยวหย่าเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสตรีที่สวมอาภรณ์สีน้ำเงินนางหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของสตรีนางนั้นแสดงถึงความไม่สบอารมณ์ เมื่อเปิดปากก็เริ่มด่าทอไม่หยุด พอเห็นว่าซุนเสี่ยวหย่ายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า อาสะใภ้โจวก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่“นางเด็กน่ารังเกียจนี่กำลังหาเรื่องใช่หรือไม่ ได้สิ ตระกูลโจวของเราไม่คู่ควรกับเจ้า รีบไปเปลี่ยนชุดเสีย ข้าจะหาคนส่งเจ้ากลับไป กล้าหลอกเอาห้าตำลึงเงินของข้าหรือ? คิดว่าข้าเป็นพวกรังแกง่ายหรืออย่างไร...”“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงด่าทอพี่สะใภ้?” โจวเฉิงหย่าน้องสาวคนที่สี่ที่เดินตามมาเอ่ยถาม ปีนี้โจวเฉิงหย่าเพิ่งอายุเจ็ดขวบปี นางมีความสนใจใคร่รู้ในตัวพี่สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาเมื่อวานเป็นอย่างมาก และดีใจมากเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรเสียในครอบครัวก็ไม่มีสตรีอื่นนอกจากมารดา หากนางอยากพูดเรื่องส่วนตัวก็ไม่อาจพูดกับมารดาได้ ตอนนี้นางมีพี่สะใภ้แล้ว ในยามที่มีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ยังสามารถขอคำแนะนำจากพี่สะใภ้ได้“อย่าไปสนใจนาง นางสมควรโดนด่า”“ท
“ท่านพี่ ท่านรอข้าประเดี๋ยวได้หรือไม่?”เมื่อเห็นว่าพวกโจวเฉิงจวินจะไปขึ้นเขา จี้เสี่ยวชุ่ยก็กระวนกระวายใจอยู่เล็กน้อย“มีธุระอะไร?” โจวเฉิงจวินหันกลับมาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ“มีธุระอะไรที่รอให้เขากลับมาก่อนค่อยคุยไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ช้ามาครึ่งค่อนวันแล้วนะ” และก็เป็นอาสะใภ้โจวที่พอหาเหตุผลได้ก็หาเรื่องขึ้นมา“เจ้าก็พูดให้มันน้อยลงหน่อยเถอะ!” โจวไฉขมวดคิ้ว รู้สึกว่าอาสะใภ้โจวมักหาเรื่องโดยไร้เหตุผลบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าอยากขึ้นเขากับท่านด้วย”“หา ท่านเองก็อยากไปหรือ!” โจวเฉิงเจี๋ยตะลึงไปเล็กน้อย บนเขามีอะไรน่าสนุกกัน“เจ้าเป็นสตรีต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จะขึ้นเขาไปทำไม? ไม่ได้ช่วยเหลือแล้วยังทำให้พวกเฉิงจวินต้องมาเหนื่อยช่วยเหลือเจ้าอีก” อยู่อย่างสงบไม่ได้เลยจริง ๆโจวไฉขมวดคิ้ว เขาคิดว่าสะใภ้นางนี้เอาแต่ใจอยู่บ้าง แค่นี้ครอบครัวก็ไม่มีอะไรจะกินอยู่แล้ว ยังจะตามไปก่อเรื่องอีก“มิใช่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเรียนกับหมอเฒ่าพเนจรในหมู่บ้าน ข้ารู้จักพวกสมุนไพรอยู่บ้าง ข้าแค่คิดว่าอาจจะสามารถหาสมุนไพรแล้วนำไปแลกเป็นเงินในเมืองได้บ้าง” นี่คือข้ออ้างที่จี้เสี่ยวชุ่ยคิดขึ้นมาได้ตั้งแต่ก