สภาพอากาศช่วงเดือนกรกฎาคมมักจะร้อนเหมือนถูกแผดเผา แต่สภาพอากาศบนภูเขาปลอดโปร่งถึงเพียงนี้จี้เสี่ยวชุ่ยมองโกฐขี้แมวกองใหญ่ตรงหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเข้ากับดวงตาของโจวเฉิงเจี๋ยเข้าพอดี ทั้งสองคนยิ้มให้แก่กัน จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังโจวเฉิงจวินที่เพิ่งล่าสัตว์กลับมาเห็นภาพนี้เข้า ทั้งสองคนราวกับเพิ่งขึ้นมาจากบึงโคลน บนชุดมีดินเปื้อนอยู่เต็มไปหมด ด้านหน้ามีพวกสมุนไพรอยู่หนึ่งกอง? แต่ทว่า...ในดวงตาของโจวเฉิงจวินมีแววประหลาดใจ เสี่ยวชุ่ยบอกไว้ว่าจะมาหาสมุนไพร หรือเจ้าพวกนี้ก็คือสมุนไพรงั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นละก็ เขาจำได้ว่าบริเวณไม่ไกลจากตรงนี้ก็มีสมุนไพรประเภทนี้อยู่มากเช่นกัน!“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ท่านดูสิ เจ้าพวกนี้ล้วนแต่เป็นสมุนไพรที่ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ขุดขึ้นมา...” โจวเฉิงเจี๋ยยังเป็นแค่เด็กหนุ่มที่มีความเป็นผู้ใหญ่เพียงครึ่ง พอเห็นโจวเฉิงจวินแล้วก็แทบอยากจะรีบเอาผลงานออกมาอวด“เฉิงเจี๋ยเก่งมาก” ใบหน้าของโจวเฉิงจวินมีรอยยิ้มเบิกบานใจ เขาเอ่ยชมอย่างไม่ตระหนี่เลยแม้แต่น้อยโจวเฉิงเจี๋ยถูกเขาชมจนเขิน แล้วจึงชี้ไปที่จี้เสี่ยวชุ่ย “เปล่าเสียหน่อย นี่เป็นความชอบของพี่สะใภ
ทิวทัศน์ยามราตรีของหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ถนนภายใต้แสงจันทร์ไร้เงาผู้คน เพียงเงาของต้นไม้ ลมเอื่อย ๆ พัดโชย ใบไม้โบกไหว เงาบนพื้นเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่าง ๆ มองไกล ๆ สามารถมองเห็นแสงไฟสลัวเลือนรางวับ ๆ แวม ๆ เพิ่มความลึกลับให้มากขึ้นหลายส่วนจี้เสี่ยวชุ่ยนั่งอยู่ที่ขอบเตียง จิตใจไม่สงบสุข สายตามองไปที่ประตูห้องอยู่เนือง ๆ เมื่อนานเข้าก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออก เป็นโจวเฉิงจวินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ในมือถืออ่างไม้เดินเข้ามาจี้เสี่ยวชุ่ยลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว มือเท้าไม่รู้ควรจะวางไว้ตรงไหน ทำอย่างไรดี? ทั้งสองคนแต่งงานกันแล้ว จะต้องร่วมหอหลับนอนกันอย่างนั้นหรือ? จี้เสี่ยวชุ่ยรับไม่ไหวนะ สำหรับเธอแล้วเขายังเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น“มาเถอะ ล้างหน้าล้างตาก่อน”“อื้ม!”เธอล้างหน้าอย่างแข็งทื่อ โจวเฉิงจวินหยิบอ่างไม้อีกอ่างขึ้นมาแล้วเทน้ำลงไปให้เธอล้างเท้า เสร็จแล้วจึงนำน้ำไปเททิ้งแล้วกลับเข้ามา เห็นจี้เสี่ยวชุ่ยนั่งเหม่ออยู่ที่ขอบเตียง“เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ขึ้นเตียงนอน?”ประโยคนี้เป็นราวกั
“เถ้าแก่อู๋ ครั้งนี้ข้าเอาไก่ป่ามาด้วยสามตัว”เถ้าแก่อู๋พยักหน้า ยกมือขึ้นอย่างไม่ใส่ใจก็มีคนมารับไก่ป่าไป ผ่านไปพักใหญ่ เสี่ยวเอ้อร์ก็ถือเงินมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแล้วยื่นให้กับโจวเฉิงจวินโจวเฉิงจวินพยักหน้าพร้อมพูดขอบคุณแล้วพาจี้เสี่ยวชุ่ยออกมา มุ่งตรงไปที่โรงหมอ ซึ่งจี้เสี่ยวชุ่ยก็ไม่ได้คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่จึงให้เขานำไปตลอดทาง หลังจากนั้นพักใหญ่ก็มาถึงหน้าโรงหมอตอนนี้ในโรงหมอมีชาวบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงอยู่หลายคน โชคดีที่คนให้ยายังคงว่างเว้น ถึงแม้โจวเฉิงจวินจะไม่เข้าใจเรื่องยา แต่ก็ยังเดินเข้าไปเหมือนคนมีประสบการณ์มากมาย แล้วนำสมุนไพรของจี้เสี่ยวชุ่ยที่อยู่ในตะกร้าบนหลังออกมา“น้องชายช่วยข้าดูนี่หน่อย พวกเจ้ารับซื้อสมุนไพรพวกนี้หรือไม่?”หนุ่มน้อยคนนั้นชื่อว่าหลินเต๋อ เป็นเด็กหมู่บ้านข้าง ๆ ตอนนี้กำลังเป็นลูกศิษย์ห้องยา ได้เงินเดือนไม่สูงแต่ก็เป็นเงินหลายร้อยตำลึง ตอนนี้กำลังก้มหน้าแยกตัวยาในมืออย่างตั้งใจ เมื่อได้ยินเสียงของโจวเฉิงจวินก็เงยหน้าขึ้นมอง ในหลายวันนี้เขาก็ขาดสมุนไพรอย่างโกฐขี้แมวจนร้อนใจ จึงแสดงสายตาที่ตื่นเต้นออกมา ซึ่งโกฐขี้แมวเป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นปร
“เป็นอะไรไปเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”โจวเฉิงจวินพูดออกมาด้วยท่าทางที่ทำตัวไม่ถูก ทั้งยังยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างเงอะงะเมื่อจี้เสี่ยวชุ่ยได้เห็นท่าทีเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ทำให้โจวเฉิงจวินชะงักและจดจำรอยยิ้มนั้นเอาไว้ในหัวใจ หลังจากที่ผ่านไปนานพอสมควร เขาถึงได้เข้าใจว่าตนเองให้นางเข้ามาอยู่ในหัวใจจริง ๆ เสียแล้วบนถนนมีผู้คนสัญจรไปมา เมื่อเดินผ่านพวกเขาก็มักมองมาด้วยความสงสัย สายตานั้นคล้ายดั่งมองคนปัญญาอ่อนก็ไม่ปาน จี้เสี่ยวชุ่ยหน้าแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อย เมื่อครู่อยู่ ๆ เธอเกิดคิดถึงคุณปู่ขึ้นมา แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ก็คงยังไม่สามารถกลับไปได้ในเร็ว ๆ นี้แน่ ต่อให้ร้อนรนใจก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ มิสู้ตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี ๆ แล้วหาหนทางอื่นว่ายังพอมีวิธีการใดบ้างที่ทำให้สามารถกลับไปได้“อยู่ ๆ ข้าก็แค่คิดถึงเรื่องที่อาสะใภ้ทำเรื่องไม่ดีกับตนเองเท่านั้น” ถึงแม้มันจะไม่ใช่แบบนั้น แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้ที่สุดโจวเฉิงจวินกัดเม้มริมฝีปาก นัยน์ตามีความเจ็บปวดปรากฏขึ้นมา นับจากวันนี้ไปเขาไม่มีทางยอมให้คนอื่นมีโอกาสได้รังแกนา
เมื่อถึงช่วงบ่ายในยามเซิน ผู้คนในเมืองต่างก็เริ่มแยกย้ายกันไป เมื่อจี้เสี่ยวชุ่ยกับโจวเฉิงจวินรีบไปถึงก็พบว่าบนเกวียนมีหญิงที่แต่งงานแล้วสองสามคน ด้านหน้าของพวกนางต่างก็มีตะกร้าวางอยู่บนละหนึ่งใบ ข้างในว่างเปล่าแต่กลับมีใบผักที่เหี่ยวเฉาพาดอยู่ที่ขอบตะกร้า เช่นนี้ก็รู้ได้เลยว่าพวกนางน่าจะมาเพื่อขายผักกาดเขียวส่วนพวกนางก็เห็นว่าจี้เสี่ยวชุ่ยถือตะกร้ามาหนึ่งใบ ใส่ของเอาไว้จนเต็ม มองผ่านช่องจากข้างนอกก็ยังรู้ได้ว่าข้างในมีกระดูกชิ้นใหญ่อยู่จนเต็ม ส่วนเครื่องในหมูก็ใช้เชือกมัดแล้วถือเอาไว้ แท้จริงแล้วเนื้อที่อยู่ข้างในต่างก็โดนบังเอาไว้ทั้งหมด ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น เมื่อเทียบกันแล้วข้าวและเส้นหมี่ที่โจวเฉิงจวินแบกเอาไว้ก็ค่อนข้างเป็นที่สะดุดตา แต่ก็เอาใส่ถุงมัดอย่างดีจนมองไม่ออกว่ามันคืออะไร“แหม~ นี่พวกเจ้าร่ำรวยแล้วหรือสหายเฉิงจวิน? ถึงได้ซื้อของมากมายขนาดนี้?” คนที่นั่งอยู่ข้างในเป็นหญิงแต่งงานแล้วอายุราวสามสิบปีชื่อว่าเซียงเหนียง แท้จริงแล้วอายุสามสิบปีก็ไม่ได้แก่เท่าใด เพียงแต่ทำงานมาเป็นเวลานาน ทำให้ดูมีอายุมากกว่าอายุจริงไม่น้อย พอเห็นของในมือพวกเขาก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนอยู่บ้าง“
“ท่านแม่ พวกนี้ล้วนแต่เป็นอาหารที่เสี่ยวชุ่ยลำบากขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรแลกมานะขอรับ”โจวเฉิงจวินขมวดคิ้ว เมื่อก่อนหากแม่ของเขาทำตัวเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ถ้าหากทำกับจี้เสี่ยวชุ่ยละก็ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจเท่าใดนัก แม้แต่น้ำเสียงที่พูดออกไปก็ยังแฝงไปด้วยความเย็นชา ทว่าในขณะนี้อาสะใภ้โจวกำลังโกรธ ไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของเขาแต่กลับใช้เสียงที่ดังกว่าเดิมในการตะคอกพวกเขา“ลำบากไม่ลำบากอะไรกัน เข้าในบ้านตระกูลโจวแล้วคิดจะแบ่งแยกคนนั้นคนนี้หรือ?”“ฮ่วนเหนียง มันเป็นสิ่งที่เสี่ยวชุ่ยลำบากไปแลกมา อีกอย่างนางก็ไม่ได้ซื้ออะไรให้ตัวเอง ที่ซื้อมาก็มีแต่ของกินในบ้านทั้งนั้น!” โจวไฉทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วางของในมือลงแล้วพูดออกมาเสียงเข้มฮ่วนเหนียงกลายเป็นคนที่ไร้เหตุผลขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เกรงว่าคงจะหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับบ้านสินะ!โจวไฉถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง ล้วนแต่เป็นเพราะเขาไร้ความสามารถ มิฉะนั้นภาระในชีวิตประจำวันก็คงไม่ตกเป็นหน้าที่ของพวกเขา ทำให้ฮ่วนเหนียงกลายเป็นคนเช่นนี้ไป เงินหนึ่งอีแปะยังคิดจะแบ่งมาใช้เหมือนเงินสองอีแปะอู๋ฮ่วนเหนียงก็คืออาสะใภ้โจว
ในยามโหย่วของหมู่บ้านต้าถาวสวยงามพร่างพรายอย่างยิ่ง ทั้งผืนฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงส้มเมื่อแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่อง ชาวบ้านที่ไปดูแลพืชไร่เกษตรต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ให้ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยได้พักแล้วรับประทานอาหารซึ่งในขณะนี้บ้านตระกูลโจวก็ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอาหารที่หอมฟุ้ง เมื่อมองอาหารที่รูปรสกลิ่นสีครบครัน แม้แต่คนปากร้ายอย่างอู๋ฮ่วนเหนียงก็ยังถลึงตามองโต ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น มันเป็นสิ่งที่เด็กตัวเหม็นเสี่ยวชุ่ยทำจริงหรือ?เวลายังไม่มืดนัก คนของตระกูลโจวต่างก็ยกโต๊ะเก้าอี้ออกมากินข้าวที่ลานบ้าน เป็นที่พอใจอย่างมากโจวไฉนั่งที่หัวโต๊ะ มองอาหารตรงหน้าด้วยแววตาที่มีความประหลาดใจปรากฏคิดถึงยามที่ตนเองอยู่ในสถานที่ที่ร่ำรวยเงินทองแห่งหนึ่ง ได้กินอาหารชั้นดีไม่น้อย แต่อาหารที่อยู่เบื้องหน้าในขณะนี้กลับเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นเลยสักอย่าง ถึงแม้จะยังไม่ได้ลองชิมอาหารตรงหน้า แต่เพียงแค่ได้เห็นก็รู้ว่าจะต้องไม่แย่เป็นแน่“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านเก่งเกินไปแล้ว ข้าโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยได้กลิ่นอาหารที่หอมขนาดนี้มาก่อน!” โจวเฉิงเจี๋ยก็เป็นคนที่รักในการกินเช่นกัน เมื่อได้เห็นอาหารที่มากมายเช่
ภายในลานบ้าน จี้เสี่ยวชุ่ยและเสียวหย่ากำลังยุ่งจนมือเป็นระวิง โจวเฉิงเหรินที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องก็อดไม่ได้ที่จะเดินออกมา เมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังเดินไปมาไม่หยุด และง่วนอยู่กับการเก็บกวาดลาน ก็ลังเลอยู่นานถึงจะเดินเข้าไปหา“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าข้าพอจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่?”ทันทีที่โจวเฉิงเหรินเอ่ยปากจี้เสี่ยวชุ่ยก็ผงะไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร โจวเฉิงหย่าก็พูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “พี่รอง ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่จัดการได้ ไม่ต้องให้ท่านช่วย หากท่านรู้สึกเบื่อก็ไปนั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนท่านพ่อทางด้านโน้นสักพักเถิด! เช่นนี้ภายหน้าหากท่านพี่สอบติดจอหงวนขึ้นมา ข้าก็จะได้กินดีอยู่ดีโดยไม่ต้องกังวลแล้ว”โจวเฉิงเหรินหันมองโจวเฉิงหย่าแล้วหัวเราะ “ก็ได้ พี่รองจะทำตามที่เสียวหย่าบอก” ขณะที่พูดอยู่นั้นก็เดินเข้าไปหาโจวไฉ แต่ความโดดเดี่ยวที่อยู่ในแววตาของเขากลับถูกจี้เสี่ยวชุ่ยจับสังเกตได้ โจวเฉิงเหรินผู้นี้อยากทำอะไรเพื่อครอบครัวบ้างจริง ๆ! ทำไมเสียวหย่าถึงไม่ยอมกันล่ะ?จี้เสี่ยวชุ่ยก้มหน้าแล้วถามออกมาเบาๆ ด้วยความสงสัย โจวเฉิงหย่าจึงได้อธิบายเหตุผลให้นางฟัง ที่แท้เป็นเพราะหลังจากโจวเฉิงเหรินล้มป่วย หมอ