จางเมี่ยวเหรินเห็นว่าตนอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ จึงต้องการลากตัวหวังหยวนโซ่วกลับบ้าน นางเถียงสู้คนอื่นไม่ได้แล้วจะให้นางอยู่ไปทำไม ไม่ใช่ว่าหวังเถาเอ๋อร์ไม่อยากแต่งงานหรอกหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้นนางก็จะทำให้หวังเถาเอ๋อร์แต่งงานให้ได้“นางจาง...” โจวไฉเอ่ยขึ้นน้ำเสียงทุ้มลึกจางเมี่ยวเหรินหันกลับ เดิมที่อยากจะเดินออกไป แต่ได้ยินโจวไฉพูดขึ้นเสียก่อน“หยวนเหล่าชีผู้นั้นให้เงินท่านเท่าไร ข้าก็จะให้ท่านเท่านั้น เพียงท่านให้เถาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ก็พอ”เมื่อจางเมี่ยวเหรินได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็สว่างวาบขึ้นมา ในตอนนี้สิ่งที่นางขาดแคลนมากที่สุดคือเงิน ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่รีบให้หวังเถาเอ๋อร์แต่งงานออกไปเร็วขนาดนี้ ทว่าในตอนนี้ครอบครัวโจวกลับกล่าวอย่างนี้...ทันทีที่โจวไฉพูดขึ้นมาแบบนี้ ทุกคนที่ได้ยินก็ตกตะลึง เดิมที่โจวเฉิงเหรินและหวังเถาเอ๋อร์เคยหมั้นหมายกันมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าการหมั้นหมายนั้นจะถูกจางเมี่ยวเหรินบังคับเช่นกัน แต่การหมั้นก็เป็นเพียงแค่การหมั้น จากนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นกับครอบครัวโจว ไม่เพียงแต่ทรัพย์สินของครอบครัวถูกขายเท่านั้น กระทั่งโจวเฉิงเหรินก็ป่วยด้วยโรคแปลกประหลาด ทำให้ทั้งสอง
ที่หน้าบ้านของครอบครัวโจว เพื่อป้องกันไม่ให้ครอบครัวโจวหลอกลวงตน จางเมี่ยวเหรินจึงเชิญผู้รู้หนังสืออีกคนของหมู่บ้านมา แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่มีความสามารถเท่าโจวเฉิงเหริน แต่เขาก็ยังมีชื่อเสียงในหมู่บ้านอยู่บ้างคัดสำเนาสองชุด หลังจากลงลายนิ้วมือ ทะเบียนสมรสก็จะถือว่ามีผลทางกฎหมายแล้ว“เถาเอ๋อร์ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรบกวนท่านหลี่” นายหลี่ผู้นั้นเป็นผู้ชายในหมู่บ้านต้าถาว อายุประมาณสี่สิบปีแล้วแต่ยังสอบไม่ผ่านขั้นซิ่วไฉ อย่างไรก็ตามชายผู้นี้ได้ตั้งแผงเขียนจดหมายอยู่ในหมู่บ้าน ปกติแล้วเขาก็เป็นคนใจดีและมักจะช่วยชาวบ้านเขียนบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งทำให้ชาวบ้านไว้ใจเขามากเมื่อเห็นหวังเถาเอ๋อร์ขยับตัว จางเมี่ยวเหรินก็อดหนังตากระตุกไม่ได้ หากที่นี่มีคนไม่มาก นางคงจะบุกไปทุบตีหวังเถาเอ๋อร์เสียสองสามครั้งให้สาแก่ใจ ความแข็งแกร่งของนางมีมากพอตัว“เจ้าว่ามา” นายหลี่ยังคงเอ็นดูหวังเถาเอ๋อร์ นางโตพอ ๆ กันกับลูกสาวของเขา แต่นางลำบากกว่าลูกสาวของเขาเป็นร้อยเท่า เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ในใจของเขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เพียงแต่ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นหวังเถาเอ๋อร์มองหวังห
“เถาเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้...” ดวงตาของโจวเฉิงเหรินเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และยิ่งเกลียดหวังหยวนโซ่วและภรรยาที่ไร้ใจมากกว่าเดิมหวังเถาเอ๋อร์หันไปยิ้มอย่างสดใสให้กับโจวเฉินเหริน “พี่เฉินเหริน ถ้าแต่งงานกับท่านแล้วทำให้ท่านลำบาก ข้ายอมตายดีกว่าปล่อยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย” นางไม่สนใจใยดีพวกเขาไปนานแล้ว อีกทั้งยังเจ็บปวดเจียนตายขนาดนี้ นางจึงไม่อยากเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกต่อไปทุกคนโกรธขึ้นมาอีกครั้ง จะมีพ่อแม่ที่ไหนโหดร้ายได้ขนาดนี้ ช่างน่าละอายจริง ๆ“เจ้าลูกทรพีเอ๋ย เจ้าลูกทรพี... ถ้าข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าจะบีบคอให้ตายไปเสีย ดีกว่าให้เจ้ามาทำให้ข้าโกรธอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้…” ในความทรงจำของหวังหยวนโซ่วที่มีต่อลูกสาวคนนี้ช่างขี้อายและขี้ขลาด ใครจะรู้ว่าหากนางกบฏขึ้นมาจะเป็นอย่างตอนนี้“ท่านตำหนิข้าว่าเป็นลูกทรพี? ถ้าไม่มีลูกทรพีอย่างข้า ก็คงไม่มีใครทำอาหารให้ท่านกินทุกวันและรอให้พวกท่านลุกขึ้นมาดุด่าก่อนกินข้าวหรอก ถ้าไม่มีลูกทรพีอย่างข้า แม้ว่าที่บ้านจะมีเสื้อผ้ากองโตเท่าภูเขาก็จะไม่มีใครซักให้พวกท่าน ถ้าไม่ใช่เพราะลูกทรพีอย่างข้าที่ต้องทำงานทุกประเภทและทำงานทุกวัน ไก่ เป็ด
หมู่บ้านต้าถาวในช่วงรุ่งสางเงียบสงัดไร้สิ่งใดเปรียบ เมื่อแสงแรกส่องทะลุม่านหมอกอันเบาบาง หมู่บ้านต้าถาวก็ต้อนรับรุ่งอรุณอันอบอุ่นหอมหวน ทุกสิ่งในหมู่บ้านต้าถาวถูกปกคลุมด้วยแสงอันอบอุ่นในยามเช้า“แย่แล้ว มีใครอยู่ไหม... สะใภ้ตระกูลโจวกระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้ว...”แต่ทว่า เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำลายความเงียบสงัดของหมู่บ้านเล็ก ๆ ผู้คนที่เดิมทีรับประทานอาหารเช้ากันอยู่ในบ้านกำลังจะออกไปทำงาน เมื่อได้ยินเสียงร้องต่างก็พากันวิ่งไปยังจุดกำเนิดเสียงกันอย่างรวดเร็ว “เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น?” ในตอนนี้เอง สตรีที่ม้วนผมดำขลับทั้งหมดไว้ในผ้าผืนสีเขียวน้ำทะเลผู้หนึ่งได้วิ่งปรี่เข้ามา บนใบหน้าของนางมีความตกตะลึงปนประหลาดใจ“อาสะใภ้โจว เจ้ามาแล้วหรือ เสี่ยวชุ่ยลูกสะใภ้บ้านเจ้ากระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้ว...”“สมควรถูกมีดแทงสักพันแผล นี่ข้าเพิ่งจะจ่ายเงินซื้อมาเองนะ ห้าตำลึงเงินของข้า~ ” อาสะใภ้โจวมองดูลำธารที่ไหลเชี่ยวกรากที่อยู่ตรงหน้า ในใจก็ก่นด่าจี้เสี่ยวชุ่ยไม่ต่ำกว่าแปดร้อยรอบ คราแรกที่นางหญิงชั่วคนนี้แต่งเข้ามา นางมองอย่างไรก็ขัดหูขัดตา แต่ด้วยความที่ตระกูลของพวกนางอับจน ไร้ซึ่งหนทาง จ
“ปัง...”ขณะที่ซุนเสี่ยวหย่ากำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้อง จู่ ๆ ประตูก็ถูกคนถีบเข้ามาเสียงดัง“นางเด็กดื้อด้านน่ารังเกียจนี่...”ซุนเสี่ยวหย่าเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสตรีที่สวมอาภรณ์สีน้ำเงินนางหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของสตรีนางนั้นแสดงถึงความไม่สบอารมณ์ เมื่อเปิดปากก็เริ่มด่าทอไม่หยุด พอเห็นว่าซุนเสี่ยวหย่ายังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า อาสะใภ้โจวก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่“นางเด็กน่ารังเกียจนี่กำลังหาเรื่องใช่หรือไม่ ได้สิ ตระกูลโจวของเราไม่คู่ควรกับเจ้า รีบไปเปลี่ยนชุดเสีย ข้าจะหาคนส่งเจ้ากลับไป กล้าหลอกเอาห้าตำลึงเงินของข้าหรือ? คิดว่าข้าเป็นพวกรังแกง่ายหรืออย่างไร...”“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงด่าทอพี่สะใภ้?” โจวเฉิงหย่าน้องสาวคนที่สี่ที่เดินตามมาเอ่ยถาม ปีนี้โจวเฉิงหย่าเพิ่งอายุเจ็ดขวบปี นางมีความสนใจใคร่รู้ในตัวพี่สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาเมื่อวานเป็นอย่างมาก และดีใจมากเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรเสียในครอบครัวก็ไม่มีสตรีอื่นนอกจากมารดา หากนางอยากพูดเรื่องส่วนตัวก็ไม่อาจพูดกับมารดาได้ ตอนนี้นางมีพี่สะใภ้แล้ว ในยามที่มีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ยังสามารถขอคำแนะนำจากพี่สะใภ้ได้“อย่าไปสนใจนาง นางสมควรโดนด่า”“ท
“ท่านพี่ ท่านรอข้าประเดี๋ยวได้หรือไม่?”เมื่อเห็นว่าพวกโจวเฉิงจวินจะไปขึ้นเขา จี้เสี่ยวชุ่ยก็กระวนกระวายใจอยู่เล็กน้อย“มีธุระอะไร?” โจวเฉิงจวินหันกลับมาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ“มีธุระอะไรที่รอให้เขากลับมาก่อนค่อยคุยไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ช้ามาครึ่งค่อนวันแล้วนะ” และก็เป็นอาสะใภ้โจวที่พอหาเหตุผลได้ก็หาเรื่องขึ้นมา“เจ้าก็พูดให้มันน้อยลงหน่อยเถอะ!” โจวไฉขมวดคิ้ว รู้สึกว่าอาสะใภ้โจวมักหาเรื่องโดยไร้เหตุผลบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าอยากขึ้นเขากับท่านด้วย”“หา ท่านเองก็อยากไปหรือ!” โจวเฉิงเจี๋ยตะลึงไปเล็กน้อย บนเขามีอะไรน่าสนุกกัน“เจ้าเป็นสตรีต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จะขึ้นเขาไปทำไม? ไม่ได้ช่วยเหลือแล้วยังทำให้พวกเฉิงจวินต้องมาเหนื่อยช่วยเหลือเจ้าอีก” อยู่อย่างสงบไม่ได้เลยจริง ๆโจวไฉขมวดคิ้ว เขาคิดว่าสะใภ้นางนี้เอาแต่ใจอยู่บ้าง แค่นี้ครอบครัวก็ไม่มีอะไรจะกินอยู่แล้ว ยังจะตามไปก่อเรื่องอีก“มิใช่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเรียนกับหมอเฒ่าพเนจรในหมู่บ้าน ข้ารู้จักพวกสมุนไพรอยู่บ้าง ข้าแค่คิดว่าอาจจะสามารถหาสมุนไพรแล้วนำไปแลกเป็นเงินในเมืองได้บ้าง” นี่คือข้ออ้างที่จี้เสี่ยวชุ่ยคิดขึ้นมาได้ตั้งแต่ก
สภาพอากาศช่วงเดือนกรกฎาคมมักจะร้อนเหมือนถูกแผดเผา แต่สภาพอากาศบนภูเขาปลอดโปร่งถึงเพียงนี้จี้เสี่ยวชุ่ยมองโกฐขี้แมวกองใหญ่ตรงหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาเข้ากับดวงตาของโจวเฉิงเจี๋ยเข้าพอดี ทั้งสองคนยิ้มให้แก่กัน จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังโจวเฉิงจวินที่เพิ่งล่าสัตว์กลับมาเห็นภาพนี้เข้า ทั้งสองคนราวกับเพิ่งขึ้นมาจากบึงโคลน บนชุดมีดินเปื้อนอยู่เต็มไปหมด ด้านหน้ามีพวกสมุนไพรอยู่หนึ่งกอง? แต่ทว่า...ในดวงตาของโจวเฉิงจวินมีแววประหลาดใจ เสี่ยวชุ่ยบอกไว้ว่าจะมาหาสมุนไพร หรือเจ้าพวกนี้ก็คือสมุนไพรงั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นละก็ เขาจำได้ว่าบริเวณไม่ไกลจากตรงนี้ก็มีสมุนไพรประเภทนี้อยู่มากเช่นกัน!“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ท่านดูสิ เจ้าพวกนี้ล้วนแต่เป็นสมุนไพรที่ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ขุดขึ้นมา...” โจวเฉิงเจี๋ยยังเป็นแค่เด็กหนุ่มที่มีความเป็นผู้ใหญ่เพียงครึ่ง พอเห็นโจวเฉิงจวินแล้วก็แทบอยากจะรีบเอาผลงานออกมาอวด“เฉิงเจี๋ยเก่งมาก” ใบหน้าของโจวเฉิงจวินมีรอยยิ้มเบิกบานใจ เขาเอ่ยชมอย่างไม่ตระหนี่เลยแม้แต่น้อยโจวเฉิงเจี๋ยถูกเขาชมจนเขิน แล้วจึงชี้ไปที่จี้เสี่ยวชุ่ย “เปล่าเสียหน่อย นี่เป็นความชอบของพี่สะใภ
ทิวทัศน์ยามราตรีของหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ถนนภายใต้แสงจันทร์ไร้เงาผู้คน เพียงเงาของต้นไม้ ลมเอื่อย ๆ พัดโชย ใบไม้โบกไหว เงาบนพื้นเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่าง ๆ มองไกล ๆ สามารถมองเห็นแสงไฟสลัวเลือนรางวับ ๆ แวม ๆ เพิ่มความลึกลับให้มากขึ้นหลายส่วนจี้เสี่ยวชุ่ยนั่งอยู่ที่ขอบเตียง จิตใจไม่สงบสุข สายตามองไปที่ประตูห้องอยู่เนือง ๆ เมื่อนานเข้าก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้น ประตูถูกเปิดออก เป็นโจวเฉิงจวินที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ในมือถืออ่างไม้เดินเข้ามาจี้เสี่ยวชุ่ยลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว มือเท้าไม่รู้ควรจะวางไว้ตรงไหน ทำอย่างไรดี? ทั้งสองคนแต่งงานกันแล้ว จะต้องร่วมหอหลับนอนกันอย่างนั้นหรือ? จี้เสี่ยวชุ่ยรับไม่ไหวนะ สำหรับเธอแล้วเขายังเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น“มาเถอะ ล้างหน้าล้างตาก่อน”“อื้ม!”เธอล้างหน้าอย่างแข็งทื่อ โจวเฉิงจวินหยิบอ่างไม้อีกอ่างขึ้นมาแล้วเทน้ำลงไปให้เธอล้างเท้า เสร็จแล้วจึงนำน้ำไปเททิ้งแล้วกลับเข้ามา เห็นจี้เสี่ยวชุ่ยนั่งเหม่ออยู่ที่ขอบเตียง“เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ขึ้นเตียงนอน?”ประโยคนี้เป็นราวกั