Share

บทที่ 9

“ท่านแม่ พวกนี้ล้วนแต่เป็นอาหารที่เสี่ยวชุ่ยลำบากขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรแลกมานะขอรับ”

โจวเฉิงจวินขมวดคิ้ว เมื่อก่อนหากแม่ของเขาทำตัวเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ถ้าหากทำกับจี้เสี่ยวชุ่ยละก็ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจเท่าใดนัก แม้แต่น้ำเสียงที่พูดออกไปก็ยังแฝงไปด้วยความเย็นชา ทว่าในขณะนี้อาสะใภ้โจวกำลังโกรธ ไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของเขาแต่กลับใช้เสียงที่ดังกว่าเดิมในการตะคอกพวกเขา

“ลำบากไม่ลำบากอะไรกัน เข้าในบ้านตระกูลโจวแล้วคิดจะแบ่งแยกคนนั้นคนนี้หรือ?”

“ฮ่วนเหนียง มันเป็นสิ่งที่เสี่ยวชุ่ยลำบากไปแลกมา อีกอย่างนางก็ไม่ได้ซื้ออะไรให้ตัวเอง ที่ซื้อมาก็มีแต่ของกินในบ้านทั้งนั้น!” โจวไฉทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วางของในมือลงแล้วพูดออกมาเสียงเข้ม

ฮ่วนเหนียงกลายเป็นคนที่ไร้เหตุผลขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เกรงว่าคงจะหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับบ้านสินะ!

โจวไฉถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง ล้วนแต่เป็นเพราะเขาไร้ความสามารถ มิฉะนั้นภาระในชีวิตประจำวันก็คงไม่ตกเป็นหน้าที่ของพวกเขา ทำให้ฮ่วนเหนียงกลายเป็นคนเช่นนี้ไป เงินหนึ่งอีแปะยังคิดจะแบ่งมาใช้เหมือนเงินสองอีแปะ

อู๋ฮ่วนเหนียงก็คืออาสะใภ้โจว แม้จะได้ยินคำพูดของเขาก็ยังไม่หายโกรธ “ต่อให้ซื้อของกินก็ไม่จำเป็นต้องซื้อมากมายขนาดนี้ ว่าแต่...เจ้าว่าอะไรนะเฉิงจวิน? พวกนี้ใช้เงินที่แลกมาด้วยสมุนไพรไปซื้อหรือ?”

เมื่อครู่โกรธจนร้อนใจจึงไม่ได้สังเกตคำพูดของเขา เมื่อมาคิดดี ๆ อีกครั้งก็พบว่าต่อให้เฉิงจวินไปล่าไก่ป่ามาจำนวนหนึ่งก็ไม่สามารถแลกมาซื้อของได้เยอะขนาดนี้! หรือจะเป็นสิ่งที่เหมือนกับผักจากป่าเมื่อวาน มีคนต้องการมันจริงหรือ? ทั้งยังเอาไปขายเป็นเงินได้ด้วย?

โจวเฉิงจวินพยักหน้ารับ แล้วพูดถึงราคาของโกฐขี้แมวให้พวกเขาได้ฟังอีกครั้ง เพียงพักเดียวก็ทำให้ทุกคนพากันส่งเสียงของความดีใจออกมา โดยเฉพาะโจวเฉิงเจี๋ย เพราะสมุนไพรเหล่านี้มีส่วนของเขาด้วยเช่นกัน แม้ว่าจี้เสี่ยวชุ่ยจะมอบหมายหน้าที่ให้เขาไปจำแนก แต่เขาก็มีประโยชน์ไม่ใช่หรือ เมื่อคิดแล้วก็อยากจะรีบขึ้นเขาไปกอบโกยเอาโกศขี้แมวนั้นทันที

แม้จะเป็นโจวเฉิงเหรินที่เอาแต่หลบอยู่ในห้องก็ยังอดไม่ได้ที่จะดีใจเมื่อได้ยิน แม้ว่าจี้เสี่ยวชุ่ยจะอายุน้อยกว่าเขาเล็กน้อย แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าพอมีความรู้อยู่บ้าง ไม่ได้เหมือนกับสิ่งที่คนอื่นพูดในวันนั้น ดูถูกตระกูลโจวของพวกเขา

“ท่านแม่ แท้จริงแล้วที่ข้าซื้อของมาเยอะขนาดนี้ก็ใช่จะไม่มีเหตุผล ยังไม่ต้องพูดถึงท่านพี่น้องสามหรือเสี่ยวหย่า แต่ทั้งท่านพ่อกับน้องสองต่างก็ถึงเวลาที่ต้องบำรุงร่างกายบ้างแล้ว พวกเขาต่างก็กำลังรักษาตัว จะให้กินของไม่มีประโยชน์พวกนั้นเป็นเวลานานได้อย่างไร” จี้เสี่ยวชุ่ยพูดเตือนด้วยความหวังดี ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกไม่ชอบใจเท่าใดนัก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ใครใช้ให้นางต้องพึ่งพาพวกเขาเล่า!

อู๋ฮ่วนเหนียงทำปากขมุบขมิบ ถึงแม้จะไม่ถูกชะตากับนางแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพราะจะอย่างไรก็เงินเหล่านี้นางก็เป็นคนหามา เอามาจับจ่ายบ้างก็เป็นเรื่องดี นางไม่จำเป็นต้องทำให้เรื่องแค่นี้กลายเป็นเรื่องใหญ่

“ท่านแม่ข้าอยากกินเนื้อแล้ว!” โจวเฉิงหย่าตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงแปลก ๆ เป็นคนสร้างความสนุกสนานเพื่อทำลายบรรยากาศในตอนนี้บ้าน

จี้เสี่ยวชุ่ยถลึงตามองโต ใช้นิ้วชี้ไปที่ศีรษะของนางอย่างเข้มงวดแต่หวังดี “เจ้าคนนี้ วัน ๆ รู้จักแต่กินอย่างเดียว มีประโยชน์นิดหน่อยก็ซื้อเจ้าได้แล้ว”

“ฮ่าฮ่า ไม่ใช่เพราะพี่สะใภ้ใหญ่รักข้าหรือเจ้าคะ?”

“เอาล่ะ พวกเจ้าเก็บของพวกนี้ให้ดี ข้าจะไปทำอาหารมาให้พวกเจ้ากินกัน” อู๋ฮ่วนเหนียงกลอกตาขาวอย่างจนปัญญา แต่พอจะเดินไปที่ห้องครัวก็โดนจี้เสี่ยวชุ่ยขวางเอาไว้เสียก่อน

ถึงแม้ว่าอาสะใภ้โจวจะมีฝีมือในการทำอาหารอยู่บ้าง แต่ปกติก็อยู่กับความยากจนจนรู้สึกชินไปเสียแล้ว ฉะนั้นต่อให้มีของดีก็คงจะตัดใจใส่เครื่องปรุงเยอะไม่ได้ อีกอย่างคนที่เคยกินอาหารรสเลิศมาก่อนอย่างนางก็ยิ่งอยากกินของเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้จึงพยายามโน้มน้าวอีกฝ่ายพักใหญ่

จี้เสี่ยวชุ่ยถึงขั้นเอาซาลาเปารวมไปถึงของกินเล่นที่นำมาจากเมืองแบ่งให้พวกเขาทุกคน ให้รองท้องกันไปก่อน เพราะประเดี๋ยวก็จะมีของที่อร่อยกว่านี้รอพวกเขาอยู่

ถึงแม้เมื่อวานจี้เสี่ยวชุ่ยจะทำอาหารไปแล้ว ทว่าแม้แต่ผู้หญิงที่ฉลาดและมีความสามารถก็ไม่สามารถทำอาหารได้หากไม่มีข้าว ฉะนั้นมันก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษ ซึ่งการที่นางต้องการทำเช่นนี้ทุก ๆ คนต่างก็ชอบใจ

สุดท้ายก็เป็นนางที่หิ้วของเข้าไปในครัว

แล้วจี้เสี่ยวชุ่ยก็เริ่มทำอาหาร ซึ่งเพียงไม่นานโจวเฉิงจวินก็เดินเข้ามา พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มลงมือช่วยนาง

“เหตุใดท่านถึงเข้ามาเล่า?”

จี้เสี่ยวชุ่ยประหลาดใจเล็กน้อย ไหนบอกว่าในอดีตเป็นสังคมศักดินา สุภาพบุรุษต้องเลี่ยงจากครัวให้ไกลไม่ใช่หรือ? ต่อให้เขาเป็นห่วงนาง อู๋ฮ่วนเหนียงก็ควรจะไม่เห็นด้วยถึงจะถูก!

แต่เมื่อได้เห็นท่าทีที่ชำนาญของเขา การเข้าครัวก็คงจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วล่ะ!

ไม่มีประโยคสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นกับทั้งสอง บางครั้งโจวเฉิงจวินก็จะเอ่ยถามว่าต่อไปต้องทำอะไร จะให้พูดอีกอย่างก็คือยกหน้าที่การควบคุมการทำอาหารให้ครั้งนี้ให้กับนาง

แต่ยิ่งมีคนช่วยเช่นนี้ก็ยิ่งเห็นผลเร็ว เมื่อกระทะร้อนก็เอาเนื้อหมูลงไป เพียงพักเดียวก็มีเสียง ‘ซี่’ ดังขึ้นมา แล้วกลิ่นหอมของเนื้อก็คละคลุ้ง

อาจเพราะร่างนี้ไม่ได้กินเนื้อมานาน เมื่อได้กลิ่นหอมของมันก็อดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล เพียงพักเดียวโจวเฉิงหย่าก็กระโดดโลดเต้นเข้ามา อ้อนออดว่าอยากจะช่วย

เด็กที่มาจากบ้านที่ลำบากมักเป็นผู้นำได้เร็ว ปีนี้โจวเฉิงหย่าก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ในชนบทเช่นนี้ อายุเท่านี้ก็สามารถช่วยเหลืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถทำได้บ้างแล้ว จึงได้มอบหมายงานง่าย ๆ ให้เขาทำ เมื่อกรองน้ำมันออกดีแล้วก็ทำเกลือโรยลงไปบนกากหมูทอดจำนวนหนึ่ง แล้วยกไปให้คนข้างนอกกินแก้หิวไปก่อน

จี้เสี่ยวชุ่ยก็กินไปหนึ่งชิ้น ทั้งหอมทั้งกรอบ ถูกปากอย่างมาก เมื่อปรายตามองชายที่ก้มหน้าทำงานอยู่ข้าง ๆ จี้เสี่ยวชุ่ยก็เอากากหมูยื่นไปข้างปากของเขา

“ลองชิมดู มันหอมมากเลยเชียว”

เมื่อได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม โจวเฉิงจวินก็หวั่นไหวในหัวใจ เช็ดไม้เช็กมือมุ่งหมายจะรีบกากหมูทอดจากมือของนาง ไม่รู้เลยว่าอยู่ ๆ จี้เสี่ยวชุ่ยก็ดึงมือกลับ ทำให้โจวเฉิงจวินไม่เข้าใจในการกระทำ

“มือของท่านเพิ่งจะหั่นเนื้อและไม่ได้ล้าง มีเชื้อโรค ข้าจะป้อนท่านเอง!” จี้เสี่ยวชุ่ยไม่เคยใกล้ชิดกับชายคนใดเช่นนี้มาก่อน รู้สึกว่าเป็นแค่เรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรไม่เหมาะไม่ควร

โจวเฉิงจวินยิ้มออกมา ก่อนจะอ้าปากรับกากหมูทอดจากมือของนาง เพราะไม่ระวังจึงทำให้ริมฝีปากไปโดนมือที่อ่อนนุ่มของนางเข้า

จี้เสี่ยวชุ่ยตกใจจึงรีบดึงมือกลับ ถึงได้รู้ตัวว่าการกระทำของตนเองไม่เหมาะไม่ควรเท่าใดนัก ใบหน้าแดงก่ำ เก้อเขินอยู่พักใหญ่ ซึ่งนั่นก็ทำให้จี้เสี่ยวชุ่ยต้องหาเรื่องมาคุย

“ท่านเข้ามาช่วยข้าในครัวเช่นนี้แม่ท่านไม่ว่าหรือ?”

โจวเฉิงจวินทำงานของตนเองอีกครั้ง “เมื่อก่อนบทที่ยังไม่เกิดเรื่องกับท่านพ่อ ก็เป็นท่านพ่อที่คอยทำอาหารให้คนในบ้าน นอกจากจะเป็นช่วงที่พวกข้าไม่อยู่”

แบบนี้เองเหรอ? ถึงว่าทำไมอู๋ฮ่วนเหนียงถึงไม่ว่าอะไร รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับบ้านนางก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมากเลยสินะ!

ในระหว่างที่พูดจี้เสี่ยวชุ่ยก็เอาน้ำตาลทรายแดงใส่ลงในกระทะแล้วเริ่มคน ไม่มีทางเลือก ที่นี่ไม่มีน้ำตาลก้อนขาย จะต้องใช้สิ่งนี้แก้ขัดไปก่อน เมื่อน้ำตาลทรายแดงละลายจี้เสี่ยวชุ่ยก็เอาเนื้อที่หั่นเสร็จใส่ลงไปทั้งหมด รวมถึงต้นหอม ขิง บรรดาเครื่องชูรสต่าง ๆ หลังจากนั้นก็เติมน้ำลงไปแล้วตุ๋นอย่างใจเย็น

โจวเฉิงจวินมองด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดมาก่อนว่าน้ำตาลทรายแดงก็สามารถนำมาทำอาหารได้ หากเป็นเช่นนี้ประเดี๋ยวเนื้อจะหวานเกินไปหรือไม่ เมื่อคิดถึงรสชาติของมันก็ทำให้โจวเฉิงจวินขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมา

นอกจากอาหารหลัก จี้เสี่ยวชุ่ยก็ยังทำอาหารง่าย ๆ อีกหลายอย่าง อาจกล่าวได้ว่าทั้งหน้าตาและรสชาติต่างก็ครบครัน กลิ่นหอมของมันลอยออกไปไกล ทำให้โจวเฉิงหย่าวิ่งเข้ามาที่ครัวเร็วกว่าเดิม เพื่อดูว่าจะลองชิมได้หรือไม่

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status