Share

บทที่ 8

เมื่อถึงช่วงบ่ายในยามเซิน ผู้คนในเมืองต่างก็เริ่มแยกย้ายกันไป เมื่อจี้เสี่ยวชุ่ยกับโจวเฉิงจวินรีบไปถึงก็พบว่าบนเกวียนมีหญิงที่แต่งงานแล้วสองสามคน ด้านหน้าของพวกนางต่างก็มีตะกร้าวางอยู่บนละหนึ่งใบ ข้างในว่างเปล่าแต่กลับมีใบผักที่เหี่ยวเฉาพาดอยู่ที่ขอบตะกร้า เช่นนี้ก็รู้ได้เลยว่าพวกนางน่าจะมาเพื่อขายผักกาดเขียว

ส่วนพวกนางก็เห็นว่าจี้เสี่ยวชุ่ยถือตะกร้ามาหนึ่งใบ ใส่ของเอาไว้จนเต็ม มองผ่านช่องจากข้างนอกก็ยังรู้ได้ว่าข้างในมีกระดูกชิ้นใหญ่อยู่จนเต็ม ส่วนเครื่องในหมูก็ใช้เชือกมัดแล้วถือเอาไว้ แท้จริงแล้วเนื้อที่อยู่ข้างในต่างก็โดนบังเอาไว้ทั้งหมด ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น เมื่อเทียบกันแล้วข้าวและเส้นหมี่ที่โจวเฉิงจวินแบกเอาไว้ก็ค่อนข้างเป็นที่สะดุดตา แต่ก็เอาใส่ถุงมัดอย่างดีจนมองไม่ออกว่ามันคืออะไร

“แหม~ นี่พวกเจ้าร่ำรวยแล้วหรือสหายเฉิงจวิน? ถึงได้ซื้อของมากมายขนาดนี้?” คนที่นั่งอยู่ข้างในเป็นหญิงแต่งงานแล้วอายุราวสามสิบปีชื่อว่าเซียงเหนียง แท้จริงแล้วอายุสามสิบปีก็ไม่ได้แก่เท่าใด เพียงแต่ทำงานมาเป็นเวลานาน ทำให้ดูมีอายุมากกว่าอายุจริงไม่น้อย พอเห็นของในมือพวกเขาก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนอยู่บ้าง

“พี่สะใภ้พูดเกินไปแล้ว มันก็แค่สิ่งที่แลกมาด้วยของป่าจำนวนหนึ่งเท่านั้น” โจวเฉิงจวินมีสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่ได้พูดถึงเรื่องสมุนไพรให้รับรู้ เขาไม่ใช่คนโง่ ไม่มีทางบอกให้คนอื่นรู้จนหมดไส้หมดพุงแน่

สำหรับของครอบครัวของโจวเฉิงจวิน ทุก ๆ ต่างก็รู้ดีแจ่มแจ้ง เมื่อเห็นเขาพูดออกมาเช่นนี้ก็ไม่รู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเขาซื้อของกลับไปเยอะขนาดนี้! หรือแม้แต่ภรรยาของเขาก็พลอยมีโชคดีไปด้วย?

“สหายเฉิงจวิน ภรรยาของเจ้าชื่อว่าอะไร? พวกข้ายังไม่รู้จักเลย!” หญิงที่อายุพอ ๆ กันและนั่งอยู่ข้างเซียงเหนียงพูดออกมา นางพูดอย่างเป็นมิตร ไม่ได้มีอารมณ์ที่รุนแรงเหมือนเซียงเหนียง แต่เป็นน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม

“นางชื่อว่าเสี่ยวชุ่ย จี้เสี่ยวชุ่ย” เมื่อพูดถึงชื่อของจี้เสี่ยวชุ่ย ก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าของโจวเฉิงจวินเล็กน้อย “เสี่ยวชุ่ย นี่เป็นสะใภ้ของตระกูลพี่วั่งเถียน เจ้าเรียกว่าพี่สะใภ้อาเหลียนก็พอ ข้าง ๆ กันก็พี่คือพี่สะใภ้เซียงเหนียง”

“สวัสดีพี่เจ้าค่ะสะใภ้ทั้งหลาย” จี้เสี่ยวชุ่ยพูดออกมาเสียงใส ทำให้คนอื่นรู้สึกดีอย่างมาก ซึ่งทำให้หยางเหลียนชอบอย่างมาก

“อื้ม เจ้าก็ไม่เลว บ้านตระกูลเราอยู่ไม่ไกลกัน ถ้าหากรู้สึกเบื่อก็มาคุยเล่นกับข้าได้”

จี้เสี่ยวชุ่ยพยักหน้ารับ ซึ่งในขณะนี้ประชากรของหมู่บ้านต้าถาวก็จับกลุ่มกันเดินมา ถือของบางอย่างอยู่ในมือ มันเป็นของที่เอาจากบ้านมาขาย แต่ขายไม่หมด ซึ่งบางส่วนที่ขายได้ก็นำไปซื้อของกลับไปสำรองไว้ที่บ้าน

เมื่อพวกนาขึ้นบนเกวียน ถึงได้มองมาที่จี้เสี่ยวชุ่ยด้วยแววตาที่ประหลาดใจและสงสัย ถึงขั้นซุบซิบนินทากันขึ้นมา

“สหายเฉิงจวินกับภรรยาดูไม่เลวเลยนี่ สองคนนี้แยกกันแล้วไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าไม่เข้าใจหรือ! ไม่ใช่เพราะเสแสร้งหรือไร? มิฉะนั้นเพิ่งแต่งงานเสร็จจะไปกระโดดน้ำหรือ?”

“ไม่ใช่หรือ? เมื่อวานทำให้คนแตกตื่นไปตั้งมากมาย!”

“แต่ถ้าไม่คืนดีกันพวกเขาจะออกมาด้วยกันได้อย่างไร พวกเจ้าเห็นหรือไม้ว่าของพวกนั้นต่างก็มีราคาทั้งสิ้น!”

“......”

เสียงซุบซิบของชาวบ้านเหล่านั้นจี้เสี่ยวชุ่ยได้ยินทั้งหมด เพียงแค่รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อยและไม่ง่ายเลยที่จะตอบโต้กลับไป จึงทำได้เพียงทำทีว่าไม่ได้ยินเท่านั้น

โจวเฉิงจวินไม่ได้นั่งบนเกวียนกับพวกนั้น แต่เดินอยู่ข้างเกวียนแทน นอกจากเป็นการประหยัดเงินที่ต้องนั่งถึงสองคน ก็เพราะนอกจากเด็กน้อยส่วนใหญ่แล้วบนเกวียนก็เป็นผู้หญิง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สะดวกที่จะนั่งกับพวกนาง

“ท่านอาสะใภ้พี่สะใภ้ทั้งหลายไม่ต้องกังวลเรื่องของพวกข้าหรอก พวกข้าจะเป็นอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของพวกข้า”

จี้เสี่ยวชุ่ยทำทีเหมือนไม่ได้ยิน แต่เขากลับทำไม่ได้ ถ้าหากไม้ถือโอกาสพูดให้เข้าใจ เกรงว่าหากเล่าลือกันไปมากกว่านี้ก็คงจะไม่น่าฟังกว่าเดิมแน่

เมื่อทุกคนได้ยินที่เขาบอกก็มีสีหน้าที่ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย แต่มันก็จริง ต่อให้จะนินทาคนอื่นก็คงจะทำได้แค่ลับหลัง มีที่ไหนมานินทาต่อหน้าอีกฝ่ายเช่นนี้ มันไม่เท่ากับตบหน้าอีกฝ่ายหรือ?

“สหายเฉิงจวิน พวกข้าก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น ก็แค่รู้สึกว่ามันแปลกเท่านั้น เจ้าสาวคนใหม่แต่งงานวันแรกก็กระโดดน้ำเสียแล้ว เรื่องนี้ได้ยินไปถึงไหนคนอื่นก็ต้องเอามาพูดกันอยู่แล้ว!” หญิงแต่งงานแล้วคนนั้นว่าแล้วก็ปรายตามองจี้เสี่ยวชุ่ย

“พี่สะใภ้ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง เสี่ยวชุ่ยของตระกูลข้าไม่ได้กระโดดน้ำ เมื่อวานตอนเช้านางก็แค่ไปซักผ้าให้บ้านข้า ไม่ทันระวังแล้วเท้าลื่นก็เลยตกไปในแม่น้ำ” โจวเฉิงจวินพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แต่กลับไม่เปิดโอกาสให้สงสัย เมื่อคนอื่นเห็นท่าที่เช่นนี้ของเขาก็หดตัว ตอนอยู่ในหมู่บ้านเป็นคนที่พูดง่าย มีเรื่องใดแล้วเรียกหาเขา เขาก็จะเข้ามาช่วย เพียงแค่ยากจะมีสีหน้าไม่ดี หน้าดำคร่ำเครียดเช่นนี้

“เช่นนี้หรือ? เช่นนั้นก็ดี เป็นเพราะพวกข้าคิดมากไปเองสินะ แต่มันก็เพราะเป็นห่วงเจ้านั่นแหละ ภรรยาคนนี้ของเจ้าชื่อว่าเสี่ยวชุ่ยสินะ? เสี่ยวชุ่ย เจ้าอย่าถือสาพวกข้าเลยนะ!”

เมื่อเห็นว่าอาสะใภ้ที่อยู่ข้าง ๆ กำลังจะพูดบางอย่าง หญิงอายุมากอีกคนก็รีบไกล่เกลี่ย จึงทำให้สีหน้าของโจวเฉิงจวินดีขึ้นเล็กน้อย

จี้เสี่ยวชุ่ยฝืนยิ้มรับ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อโจวเฉิงจวินออกหน้าแทนเช่นนี้ก็ดีขึ้นอย่างมาก ต่อจากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพวกนางก็สนทนาในเรื่องอื่นแทน จี้เสี่ยชุ่ยมองแผ่นหลังของโจวเฉิงจวิน ซึ่งเจ้าของแผ่นหลังนั้นก็เหมือนจะรู้สึกถึงสายตาที่มอง จึงได้หันหลังมามองด้วยแววตาที่ทำให้หายกังวล ทำให้จี้เสี่ยวชุ่ยรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง

เมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้านต้าถาว โจวเฉิงจวินกับจี้เสี่ยวชุ่ยและคนอื่นก็แยกย้ายกันไป พวกเขาโดยส่วนใหญ่ต่างก็อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน แต่บ้านของโจวเฉิงจวินที่ย้ายมาก็อยู่ที่ชายเขารอบนอกตั้งแต่ตอนต้น เพื่อจะได้ล่าสัตว์ป่าบนเขาได้สะดวกกว่าเดิม

จากหน้าหมู่บ้านเดินมาถึงที่บ้านของพวกเขาก็เป็นระยะทางแค่สั้น ๆ เท่านั้น โจวเฉิงจวินมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นต่อให้แบกข้าวและหมี่รวมกับของอื่น ๆ เอาไว้ก็ยังไม่ใช่ปัญหา โชคดีที่เสี่ยวเอ้อร์คนก่อนช่วยห่อให้อย่างดี ไม่อย่างนั้นก็คงจะยากต่อการนำกลับมาจริง ๆ !

ในขณะที่เหลือระยะทางอีกไม่ไกลก่อนจะถึงบ้าน โจวเฉิงหย่าที่ยืนรอพวกเขากลับมาที่หน้าประตูก็มองเห็นแล้ว จึงได้ตะโกนเรียกโจวเฉิงเจี๋ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ แล้วทั้งสองก็วิ่งมารับของในมือพวกเขาอย่างรวดเร็ว กลับบ้านไปด้วยความสุขใจ

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร แต่ในเมื่อพี่ใหญ่ซื้อของกลับมาครั้งเดียวตั้งมากมายเช่นนี้ก็ต้องมีสองสามอย่างที่กินได้แน่ ซึ่งนั่นก็มากพอให้พวกเขาดีใจชั่วครู่แล้ว เมื่อมาถึงลานบ้าน โจวไฉยังคงสานตะกร้าอย่างตั้งใจ ส่วนอาสะใภ้โจวก็ได้วางมือจากงานเย็บปักในมือเพื่อมองพวกเขามานานแล้ว เมื่อเห็นของที่มากมายเช่นนี้ก็สบถมั่วซั่วด้วยความเสียดาย

“เหตุใดถึงได้ซื้อของมาเยอะขนาดนี้กัน! กินมื้อเสร็จก็จะไม่กินมื้ออื่นแล้วหรือไร?”

“ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้ดูเลยนะเจ้าคะ!” โจวเฉิงหย่ากัดเม้มริมฝีปากล่างด้วยความไม่พอใจพลางช่วยโจวเฉิงจวินปลดห่อผ้า เผยให้เห็นสิ่งของข้างใน

เมื่อได้เห็นข้าวและหมี่จำนวนมากรวมไปถึงเนื้อและข้างอื่น ๆ ทุกคนต่างกับชะงักงัน โจวเฉิงเจี๋ยกับโจวเฉิงหย่าล้วนแต่เป็นเด็กวัยรุ่น เมื่อเห็นของพวกนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับบ้านก็อย่าว่าแต่เนื้อ แม้แต่ผัดผักผู้เป็นแม่ก็ยังตัดใจใส่น้ำมันเยอะไม่ได้ ทั้งยังเอาแต่กินพวกรำข้าวไม่ก็มันเทศมาตลอด เคยได้เห็นเมล็ดข้าวสีขาวเช่นนี้เมื่อไรกัน แต่วันนี้กลับซื้อมามากมาย ทั้งยังมีเนื้ออีกเยอะ!

“สวรรค์ พวกเจ้ามันตัวล้างผลาญตระกูลจริง ๆ นี่ต้องใช้เงินมากขนาดไหนกัน!” อาสะใภ้โจวเดินวนไปมาด้วยความเสียดาย

“ท่านแม่ พวกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ควรซื้อมาทั้งนั้น” ของพวกนี้เป็นสิ่งที่จี้เสี่ยวชุ่ยซื้อมา นางทำได้เพียงกัดฟันเอ่ยออกไป

“ควรซื้อไม่ควรซื้ออะไรกัน มีเงินพวกนั้นยังมิสู้เก็บไว้ให้ข้าซื้อรำข้าวมาเยอะ ๆ พวกนี้จะกินได้สักกี่มื้อ? ไม่นานก็โดนพวกเจ้าผลาญจนหมดแล้ว”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status