“ขนมเค้กหวานจริงๆ ด้วยแฮะ”
ชวินทร์เลียริมฝีปาก เหมือนเด็กอาลัยอาวรณ์รสชื่นของน้ำตาล
“นายทำงี้ ทำไม”
เธอรู้สึกเหมือนอยู่ในนิยายสักเรื่อง ประเภทนางเอกโดนลักจูบ อยากตบแต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย
ดวงตาที่แหงนมองเขานั้นมีน้ำคลอหน่วย สองมือยกขืนตัวออกจากวงแขนรัดแน่นเหมือนงูเหลือมรัดเหยื่อ
“ไม่รู้สิ ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ” งูเหลือมเอ๊ย! ชวินทร์ตอบหน้าตาย
“แล้วมาจูบฉันทำไม”
“... ก็เราเป็นแฟนกัน” เขาพึมพำอยู่เรือนผมยุ่งๆ ของเธอ
“แต่ไม่ใช่ให้มารุ่มร่ามแบบนี้”
“ใช้คำเชยจัง”
“นายอย่ามาลวนลามฉัน”
“แรงนะนั่น ฟังแล้วเหมือนผมเป็นพวกโรคจิต” เขาชะงัก ทำเสียงฮึ ในลำคอ
“ก็ใช่ไหมล่ะ นายทำอะไรโดยฉันไม่ยินยอม”
เนตราพยายามเปลี่ยนความรู้สึกอยากจะร้องไห้เป็นฮึดสู้ ไม่สนล่ะว่าเธอกับเขาขณะนี้มีสถานะเป็นอะไรกัน แต่เธอความจำเสื่อม ควรได้ความปลอดภัย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“ห้ามแตะต้องฉันอีก”
ชวินทร์ปล่อยวงแขนหลวมๆ มองเธอนิ่ง ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“หมายถึง ฉันยังไม่พร้อม ความทรงจำยังไม่กลับมา มันสับสนไปหมด”
เนตราโน้มน้าวให้เขาเชื่อ ตามสมองจะคิดได้ ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เหมือนกัน กลัวเขาจะโกรธ ก็ตอนนี้เธอยังพึ่งเขาอยู่นะ
“ผมเข้าใจ ผมขอโทษ”
ชวินทร์ถอนหายใจยาว ลุกขึ้นจากเตียง ปล่อยเธอเป็นอิสระ จัดท่านอนและคลุมผ้าห่มให้
“พักผ่อนซะเถอะ พรุ่งนี้ผมจะมารับ”
ชวินทร์กลับออกไปพร้อมกับอาการปวดหนึบในศีรษะ จนเธอต้องขอยาแก้ปวดจากพยาบาล ค่อยช่วยบรรเทาจนหลับ ในฝันเนตรานั่งอยู่บนม้านั่งใต้ซุ้มเฟื่องฟ้าสีชมพูสดหน้าบ้าน
ใครบางคนจับมือเธออยู่ เนตรารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยก่อนภาพจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นชวินทร์ในชุดนักศึกษา และแววตาห่างเหินเหมือนในเช้าวันนั้น
เนตราสะดุ้งตื่น แล้วหลับไม่ลง จนต้องขอยานอนหลับอีกรอบ นั่นแหละเธอจึงหลับลึกจนไม่ฝันอีกเลย
หมอให้เนตราออกจากโรงพยาบาลในวันต่อมา ชวินทร์เอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน ในนั้นมีบราเซียร์สีฟ้าและกางเกงในสีเดียวกันลายจุด ยิ่งตอกย้ำความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
เขารู้ว่าเธอชอบสีอะไร เขาเข้านอกออกในบ้านกระทั่งรู้จักตู้เสื้อผ้าในห้องนอน แต่เธอตอนนี้สิ รู้จักเขาแค่ในนามเพื่อนและคนที่แอบรัก
ไม่เอาละ... เธอจะไม่คิดมาก ให้สมองฟื้นฟูตัวเอง หมอบอกเองนี่ว่าความทรงจำเธอต้องกลับมาสมบูรณ์พร้อมในสักวัน เนตราปลอบตัวเองอย่างมีความหวัง
ชวินทร์ยังชอบรถสปอร์ตเหมือนเดิม คราวนี้เปลี่ยนจากสีแดงเป็นดำจากยี่ห้ออิตาลีเป็นเยอรมัน เขาไม่ได้พากลับบ้าน รถคันงามเลี้ยวเข้าคอนโดหรูแห่งหนึ่ง
“นายพาฉันมาที่ไหน”
เธอเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทางที่เขาขับขึ้นลานจอดรถ มีรถจอดอยู่ไม่กี่คัน ล้วนเป็นยี่ห้อแพงๆ ไม่ค่อยเห็นวิ่งบนท้องถนน
“คอนโดผม” เขาปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยตัวเอง แล้วเอื้อมมาทำให้เธอด้วย
“ดาวยังไม่แข็งแรง อยู่ที่นี่สะดวกกว่า”
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“ที่บ้านห้องคุณอยู่ชั้นบน เดินขึ้นลงลำบาก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง”
“ฉันโทรบอกนายก็ได้” เธอพยายามหาเหตุผล
“ถึงตอนนั้นจะใช้โทรศัพท์ได้เหรอ”
“แล้วถ้าฉันเป็นอะไรตอนอยู่ที่นี่ ระหว่างนายไปทำงาน” เธอยังไม่ยอมแพ้อยู่ดี
“อย่างน้อยผมก็กลับมาเจอพาส่งโรงพยาบาลได้เร็วกว่าบ้านดาว”
ระหว่างทางเธอเห็นแล้วว่าคอนโดเขาอยู่ในเมือง ใกล้ทั้งสรรพสินค้าและรถไฟฟ้า โรงพยาบาลก็อยู่ไม่ไกล
ผิดกับบ้านเธอ อยู่ชานเมือง เงียบสงบ ห้างที่ใกล้ที่สุดต้องขับรถไปประมาณครึ่งชั่วโมง โรงพยาบาลไม่ต้องพูดถึง ขับไปห้าสิบนาทีอย่างต่ำ
“คนอื่นเขาจะคิดยังไงที่เราอยู่ด้วยกัน” เนตราพยายามหาเหตุผลอื่นมาจนได้
“จะคิดยังไงก็ช่างเขา ถ้าดาวเป็นอะไรไป คนอื่นไม่ได้มาช่วยดูแลเสียหน่อย”
ก็จริงนั่นแหละ เธอป่วยตั้งหลายวัน มีแต่ชวินทร์มาดูแล
“แล้วฉันต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”
“สักสองอาทิตย์ หลังไปฟอลโลว์อัพอาการกับหมอค่อยคิดเรื่องนี้กันอีกที”
ชวินทร์หยิบกระเป๋าเดินทางใบย่อมออกมาจากเบาะหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของเนตรา เพราะพลาสติกสีเทาเข้มดูไม่เข้ากับบุคลิกคนถือเอาเสียเลย
คอนโดมิเนียมชวินทร์เป็นห้องเพ้นท์เฮ้าส์ มีหน้าต่างกว้างมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
ห้องรับแขกมีโซฟายาวและโทรทัศ์จอใหญ่ ประตูห้องต่างๆ เป็นไม้แข็งแรง ยกเว้นประตูกระจกสีขุ่นที่เดาว่าเป็นครัว
“ดาวใช้ห้องนี้นะ”
เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนที่มีเตียงเดี่ยว คลุมด้วยผ้าห่มสีเทา ข้างกันเป็นโต๊ะหัวเตียง ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้าแบบบิลท์อิน
“ห้องผมอยู่ข้างๆ มีอะไรเรียกได้ หิวไหม เดี๋ยวสั่งอาหารมากินกัน ดาวอยากกินอะไร”
“ไม่เจอกันกี่ปีนะ หกปีแล้วใช่ไหม นายเป็นยังไงบ้าง”ฟลุ๊คถามไถ่เริ่มต้นบทสนทนา“ก็ดี ฉันดูแลกิจการครอบครัว”“ถามจริงกับดาวนี่ นายกะจริงจังกับเขานานขนาดไหน”นิ้วเรียวแกร่งที่กำลังจะกดปุ่มเลือกกาแฟจากตู้ชะงัก ดวงตาฟลุ๊คแสดงความไม่เชื่อใจฉายชัด“ถามอย่างนี้มีเคืองนะเว้ย มาต่อยกันดีกว่า”ชวินทร์มองหน้าอีกฝ่ายหมิ่นๆ“ไม่เอาล่ะ ขืนต่อยนายดาวจะพาลโกรธฉัน ฉันกับพวกสาวๆ เป็นห่วงดาว ถ้านายคิดจะเล่นๆ กับเขาก็พอได้แล้ว”เขาพุ่งตัวมา สองมือกระชากคอเสื้อฟลุ๊ค เพื่อนเนตราดาวเตี้ยกว่าเขานิดหน่อย จึงกลายเป็นต้องเขย่งเท้า“อย่าพูดหมาๆ แบบนี้อีก”ชวินทร์กัดฟันกรอด“พูดเรื่องจริงต่างหาก เมื่อหกปีก่อนตอนดาวเสียใจก็มีพวกฉันนี่แหละที่อยู่ปลอบใจ ตอนนั้นนายยังไปง้อแจงอยู่เลย” อีกฝ่ายไม่กลัวเขาเสียด้วย คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ถ้าต้องมีเรื่องก็พร้อม“เออ เรื่องตอนนั้นฉันยอมรับผิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น ฉันจริงใจกับดาว”“ฉ
ชวินทร์กลับบ้านตอนห้าโมงเย็น เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมไปเฝ้าเนตรา คนรับใช้รีบรายงานเขาทันทีว่ารัชนีรออยู่ในห้องนั่งเล่น มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นที่ชื่อดาวน่ะ”เนตราเล่าว่าโดนไล่ออก ชวินทร์ไปไล่เบี้ยกับฉัตรบรรณ พบว่าคำสั่งมาจากฉวีวรรณ ฉัตรบรรณรอคุยกับมารดาช่วงเช้า แต่ท่านก็เลี่ยงด้วยเหตุผลไม่สบายสองหนุ่มวิเคราะห์กันว่ามารดาทั้งสองรวมหัวกันเล่นงานเนตรา เขาไม่แปลกใจนักที่ท่านรู้เรื่องเธอเข้าโรงพยาบาล“ฟื้นแล้วครับ ยังปวดหัวนิดหน่อย เพราะซ้ำรอยแผลที่เคยแตกเดิม”รัชนีพยักหน้า“แน่ใจแล้วเหรอกับคนนี้น่ะ แม่เห็นเขาหาแต่เรื่องเดือดร้อน เสียชื่อเสียง”“แล้วคนยังไงละครับที่คุณแม่ชอบ แบบแจงหรือเจมี่”ดวงตาภายใต้คิ้วเข้มวาวขึ้นทันใด เมื่อนึกถึงสิ่งสองคนนั้นทำ“อย่าประชดแม่นะ”นางเอ็ด แต่ลูกชายไม่สน“ถ้าเป็นดาว เขาจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัว ว่าร้ายใครก็ไม่เคย”“ลูกตีค่าผู้หญิงคนนี้สูงไปหรือเปล่า”
“ใครกันมาแต่ไก่โห่”บิดาตวาดด้วยอารมณ์กำลังขึ้น คนรับใช้หน้าเสีย“เขาบอกว่าเป็นลูกน้องเฮียไช้ค่ะ” ชื่อที่ได้ยินทำเอาชะงัก“คุณยังติดต่อกับไอ้เสี่ยนั่นอยู่เหรอ”ภรรยาเบ้ปากอย่างรังเกียจ“ไหนว่าคืนเงินที่ยืมมันหมดไปแล้วไง”สามีหลบตา เดินออกประตูไปหาแขกที่มิได้เต็มใจต้อนรับ“คุณเดี๋ยวก่อนสิ กลับมาพูดกันก่อน!”มารดาดุลยาร้องไล่หลัง“ใครมาหาพ่อคะแม่”“เสี่ยเจ้าของบ่อนที่พ่อแกไปยืมเงินไงล่ะ”นางตอบเสียงสะบัด“ไหนคุณพ่อบอกว่าเล่นพนันนิดๆ หน่อยๆ ไงคะ”บิดาเธอชอบแบบนี้ ท่านมีเพื่อนก้วนที่เล่นกันประจำ โดยเล่าว่ากินเงินกันขำๆ“นิดหน่อยกับผีล่ะสิ เป็นหนี้เสี่ยนั่นทีเป็นสิบล้าน ถามทีไรก็บอกแต่ว่าคืนแล้ว นี่ไม่รู้รอบใหม่เอามาอีกเท่าไร”ดุลยาอึ้งกับความจริงในฐานะครอบครัวที่ยอบแยบมากกว่าที่คิด“พ่อแกก็เป็นแบบนี้ บริหารงานรึก็ไปไม่รอด ญาติคนอื่นก็รอจะฮุบบริษัท”มาร
“แล้วนี่ละพี่”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตา“ทั้งไลน์ที่ส่งให้คุณเจมี่ คุณแจง ทั้งรูปถ่าย”ฉัตรบรรณรับมาสไลด์ดูช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ภิรมย์เหงื่อแตกอ้าปากพะงาบๆ“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะคุณแปง คือ...”“รูปนี้ของผมกับดาวมาอยู่ในกล้องพี่ได้ยังไง”ชายหนุ่มเปิดรูปที่เขาปลอบเนตรดาวในวันที่เธอร้องไห้“...พี่เซฟรูปมาจากที่เขาแชร์กันมา”โธ่เอ๋ย! เธอน่าจะตั้งรหัสโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เป็นผลจากความกลัวจำไม่ได้ ประมาทว่าจะไม่มีใครยุ่งกับของตัว“แล้วในไลน์ล่ะ”ฉัตรบรรณกดไปดูแอปพลิเคชั่นแชทสุดฮิตในทันใด แชทกลุ่มเจมิลลากับดุลยาปักหมุดไว้บนสุด เขาไล่สายตาตามบทสนทนาทุกบรรทัด ดุลยาเป็นตัวเสี้ยม ภิรมย์เป็นลูกคู่ ช่วยกันวางแผนบงการให้เจมิลลาไปทำเรื่องต่างๆ“ยังมีที่ไปปั่นเฟซอีกค่ะ”เจ้านายกดปิดหน้าจอ เพราะข้อมูลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว“พี่ไปเซ็นใบลาออกที่เอชอาร์ได
ชื่อสายเรียกเข้าจากจอมือถือทำดุลยาสะดุ้ง เธอสูดหายใจลึกรวบความกล้าส่งเสียงรับ“ไงคะโน้ต”“คุณแสบมากนะ ทำร้ายคนที่ผมรัก”...คนที่ผมรัก ยิ่งทำใจดุลยาร้อนรุ่ม แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวอ่อนวัย จนกรีดร้องเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่“แจงไม่ได้ทำอะไรนะ แค่อยู่ในเหตุการณ์เฉยๆ เจมี่ต่างหากเป็นคนลงมือ เขาหึงคุณแปง”“แล้วใครล่ะที่คอยยุเขา คุณไม่ใช่เหรอ”“อย่ามากล่าวหากันนะ!”ดุลยาไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างเพราะสถานการณ์บังคับ หรือไม่ก็กดดันจนเธอต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น หญิงสาวหาเหตุผลเข้าข้างตนเองได้เสมอ“ไปสอบสวนเจมี่โน่น”“ผมทำแน่”เขาย้ำเยือกเย็น แต่ดุลยาใจดีสู้เสือทำไม่กลัว“แล้วคุณจะได้รู้ว่าเจมี่เพ้อเจ้อขนาดไหน เขาน่ะเด็กเลี้ยงแกะตัวจริง เรียกร้องความสนใจ รู้เรื่องความแสบของเจมี่สมัยอยู่อเมริกาไหม”“ผมไม่อยากฟังจากคุณ จะคุยกับเจ้าตัวเอง”อย่างน้อยดุลยาก็ปล่อยพิษที่เรียกว่าความค้างคาใจไว้ให้เขาแล้ว
เนตรากะพริบตาปริบๆ เห็นเท้าตนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่นุ่มมาก สีขาวและบางเบาเรี่ยข้อเท้า ราวอยู่บนเมฆ ลมอ่อนพัดโชย กลิ่นสดชื่นเหมือนฝนตกใหม่ เธอกำลังก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตรงหน้าปรากฎคนคู่หนึ่ง“พ่อคะ...แม่”เธอวิ่งถลาเข้าไปหา เหมือนเวลาเด็กอนุบาลมีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ท่านทั้งสองโอบกอดเนตราอย่างอบอุ่น น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่อาย“หนูคิดถึงพ่อแม่ที่สุด”หญิงสาวบอกอู้อี้กับปกเสื้อพ่อ ซึ่งชื้นด้วยน้ำตา จำได้ว่าตัวนี้สวมให้กับมือก่อนนำร่างท่านบรรจุโลง“พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน เราอยู่กับลูกเสมอในความทรงจำ”แม่ยิ้มละไม มือลูบศีรษะเธอด้วยความรัก“หนูอยากอยู่กับพ่อแม่”การที่ได้เห็นทั้งสองแบบนี้ แสดงว่าชีวิตเธอดับไปแล้วแน่ และที่นี่คงเป็นสวรรค์ แม้ไม่มีนางฟ้า เทวดา ไม่มีทิพยวิมาน แต่ขอแค่มีพ่อแม่ลูก แค่นั้นก็พอแล้ว“ยังจ้ะดาว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”เนตราเงยหน้ามองแม่แบบเหวอๆ ท่านยกนิ้วแตะริมฝีปาก“หนูต้องเจอเรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ เข้มแข็