“ฉันยังไม่หิว ถ้านายหิวละก็ สั่งเลย”
เนตราใช้สายตาสำรวจทั่วห้อง คะเนจากทำเล วิวและการตกแต่ง ราคาคงหลายบาท อาจเป็นสิบล้าน
ไม่น่าแปลกที่คนฐานะอย่างเขาจะเป็นเจ้าของห้องเช่นนี้ แปลกที่แปลกทางคือเธอต่างหาก ผู้หญิงธรรมดาๆ แถมความจำเสื่อม
“ผมสั่งพิซซ่ามานะ สั่งของสดเล็กๆ น้อยมาด้วย เผื่อดาวอยากทำอะไรกินเอง”
เขาบอกเมื่อละสายตาจากจอโทรศัพท์ ชวินทร์เปิดโทรทัศน์ นั่งบนโซฟา เธอยืนเก้ๆ กังๆ จะไปนั่งข้างบนโฟาตัวเดียวกันก็ยังเขินๆ
ชวินทร์รู้ทันแกล้งลุกไปเปิดตู้เย็น เนตราจึงนั่งลงได้อย่างสบายใจ เขารินน้ำส้มเผื่อเธอ ส่วนน้ำเปล่าให้ตัวเอง
“อะไรๆ เปลี่ยนไปเยอะนะตั้งหกปี” ในจอเป็นโฆษณาโทรศัพท์รุ่นใหม่ โดยดาราที่เธอไม่รู้จัก
“ฉันเหมือนคนหลงยุค”
“เวลาแค่นี้เอง ไม่ใช่สิบปีสักหน่อย อย่าคิดมากเลย”
ชวินทร์กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อีกแล้ว เขาก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยกับเธอเหมือนกัน
“เล่าเรื่องตอนเราเป็นแฟนกันให้ฟังหน่อยสิ”
“ตอนนี้เราก็ยังเป็นแฟนกันอยู่นะ” เขากลั้นยิ้ม
“ไม่ใช่ คือแบบ... ใครขอใครเป็นแฟนก่อน”
เนตราแพ้ยิ้มละลานตาแบบนี้เสียด้วยสิ มือยกเกะกะ ไม่รู้เอาไปไว้ไหนดี เขาอึ้งไปครู่ ดวงตาเปล่งประกายปลาบ
“อย่างที่เคยเล่า ผมเลิกกับแจง ไปเรียนต่อ กลับมาเมืองไทยเจอดาว เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เลยคบกันเป็นแฟน”
“ใครขอเป็นแฟนก่อน”
“ผมเอง”
“ไม่จริงน่า” คราวนี้เขาหัวเราะ
“ดาวร้องเหมือนตอนนั้นเปี๊ยบ”
เนตราหน้าง้ำ เธอไม่ใช่ตัวตลกนะ
“นายไม่โกรธเรื่องที่ฉันทำคืนนั้นเหรอ”
เธอหันข้างไม่ยอมมองหน้าเขาตรงๆ ด้วยความละอาย เขาเงียบไปอีกครั้งจนใจเริ่มเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
“ถ้าบอกว่าไม่โกรธ มันก็โกหก” ชวินทร์ปิดโทรทัศน์ เนตราหน้าม่อย
“แต่สุดท้ายผมกับแจงก็ไปกันไม่รอด เขามีแฟนใหม่ ผมก็มีคุณ ต่างคนต่างแฮปปี้กับชีวิตแล้ว”
ฟังแล้วใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ตงิดในใจว่าอะไรจะง่ายปานนั้น ช่างเถอะ คำถามต่อไป
“เราคบกันมากี่ปีแล้ว”
“ปีกว่าๆ”
“แล้ว... เราถึงขั้นไหน”
ถึงตรงนี้เสียงค่อยเบาลงเรื่อยๆ อายจนอยากละลายเป็นเนื้อเดียวกับโซฟา
“ก็...” ชวินทร์ขยับมาใกล้ เชยคางเนตราขึ้น
“ถึงขั้นแบบคนเป็นแฟนกันนั่นแหละ อยากพิสูจน์ไหม” หมาป่าเจ้าเล่ห์ท้า
“ไม่ต้องเลยๆ” เนตราหนีจนหลังชิดที่พักแขนโซฟา
“ฉันจำอะไรไม่ได้ นายต้องสัญญาว่าจะไม่รุ่มร่าม ล่วงเกิน หรือทำอะไรที่ฉันไม่ชอบ”
“ถ้าทำล่ะ” ดวงตาฉายแววยั่วล้อ เขาสนุกกับปฏิกิริยาเธอ
“ฉัน”
สมองอันวุ่นวายของเธอกำลังประมวลผล ขณะทำตัวลีบลงเรื่อยๆ หวังเลี่ยงสัมผัสเขา
“คนอย่างนายมีศักดิ์ศรีพอ ที่จะไม่บังคับใจใครหรอก คนที่ทำอย่างนั้น ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“ดาวพูดอะไรเหมือนนางเอกในละคร”
“จะเหมือนอะไรก็ช่าง รับปากมาก่อนสิ”
“แล้วผมจะได้อะไรตอบแทน” นิ้วโป้งสาก ไล้คางเธอเล่นอย่างสนุกมือ
“ความเชื่อใจไง”
“แล้วมันใช้ทำอะไรได้”
สัมผัสอุ่นทำเนตราหวั่นไหวมิใช่น้อย แต่ยังก่อนเธอต้องป้องกันตัวให้พ้นจากเพลย์บอย หมาป่า จอมเจ้าชู้ รวมๆ กันแล้วคือชวินทร์
“ถ้ามีใครสักคนเชื่อใจ นายจะไม่รู้สึกดีหรือไง”
“เถียงกับดาวนี่ปวดหัวจัง” เสียงเขาราวกับอ่อนใจกับเธอเสียเต็มประดา
“สงสัยต้องโทรถามหมออีกทีว่าความจำเสื่อมแน่นะ”
“นายรับปากก่อนสิว่าจะไม่ทำอะไรฉัน”
“คร๊าบๆ”
เธอฉุนกับการรับปากเหมือนเสียไม่ได้นั้น แต่ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะตอนนี้ตนเองอยู่ในสภาพลูกไก่ในกำมือเขา
“ผมอยู่ในห้องทำงานนะ มีอะไรก็เรียกได้”
ชวินทร์หมดความสนใจในตัวเธอเร็วเกินคาด เขาพยักหน้าไปทางประตูอีกบ้านใกล้ห้องนอน เนตราค่อยโล่งอก
ดูโทรทัศน์ด้วยใจปลอดโปร่ง
เธอนั่งอยู่นานจนเบื่อจึงเข้าห้องไปจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ เนตรายังชอบเสื้อผ้าเรียบๆ แบบเดิม มีชุดแซก กางเกงสแล็ค รองเท้าคัชชู ชวินทร์เอากระเป๋าเครื่องสำอางมาให้ด้วย
เนตราลองแต่งหน้า รวบผมหางม้า บุคลิกเป็นสาวทำงานขึ้นทันตา เธอคุ้นเคยกับการแต่งหน้าแต่งตัวแบบนี้
คนความจำเสื่อมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คิดว่าหากความจำไม่กลับมา ยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำเช่นไรดี
จะพึ่งชวินทร์ตลอดไปคงไม่ได้ เขาเป็นแค่แฟน ไม่รู้จะเลิกกันวันไหน
นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอรู้สึกเคว้งคว้างอีกครั้งหลังพ่อแม่เสียชีวิต หนทางข้างหน้ามัวซัว เต็มไปด้วยหมอก
อยากร้องไห้เหมือนกัน แต่ร้องไม่ออก ได้แต่มองไฟบนเพดานห้องนิ่ง... เนิ่นนานจนสายตาอ่อนล้า ล่วงเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
เนตราอยู่ในสำนักงาน เธอเดินไปตามทางเดินมุ่งสู่ห้องที่มีประตูกระจกขุ่น ในมือถือแฟ้ม คนในห้องเป็นผู้ชาย เธอไม่เห็นหน้าเพราะเขาอยู่หลังจอคอมพิวเตอร์
“เที่ยงนี้ผมนัดกินข้าวกับโน้ตนะ คุณไปด้วยไหม”
เธอรู้สึกได้ถึงก้อนเนื้อในอกซ้ายที่กำลังบีบตัวอย่างแรง เขายื่นมือรับแฟ้ม ใบหน้าเขามืดเหมือนภาพระบายด้วยดินสอดำ
“ไม่ละค่ะ คุณแป...”
“ดาว!”
ชวินทร์เขย่าไหล่เนตราอย่างแรง เธอลืมตาและกะพริบปริบๆ เขาพ่นลมหายใจยาว กลัวเธอจะเป็นอะไรไป เพราะเรียกหลายครั้งแล้ว
“นายรู้จักผู้ชายที่ชื่อแปไหม” ตาชวินทร์วาวโรจน์ ก่อนเขารีบปรับให้เป็นปรกติ
“ไม่รู้จัก”
“ความทรงจำฉันกำลังกลับมา ฉันเห็นออฟฟิศ เรียกผู้ชายคนหนึ่งว่าคุณแป”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้ จะยิ่งปวดหัวเปล่าๆ มาเถอะ กินข้าวกันแล้วจะได้กินยา”
“เขาเรียกชื่อนายด้วยนะ” เธอพยายามเค้นความทรงจำที่พร่าเลือนในความฝันให้ได้รายละเอียดมากที่สุด
“บอกแล้วไงผมไม่รู้จักผู้ชายคนที่คนพูดถึง ความทรงจำคุณอาจสับสน เอาเรื่องเก่าปนเรื่องใหม่”
เขาใช้มือช้อนหลังเธอออกจากเตียง แล้วรุนหลังไปข้างนอก เธอตั้งใจเก็บความสงสัยไว้ถามหมอ ว่านั่นคือความทรงจำที่ลืมไปหรือเปล่า
ชวินทร์ทำอาหารเย็นง่ายๆ ข้าวไข่เจียวกับยำปลากระป๋อง
“เหมือนกับข้าวไปเข้าค่ายเลยเนอะ”
“อาหารกันตายของโน้ตเลยนะสมัยอยู่อเมริกา” เขาเล่าอย่างภูมิใจ
“นายไม่ได้ไปกินอาหารร้านไทยหรอกเหรอ”
เธอไม่คิดเลย วันหนึ่งจะได้เห็นเขาทานอาหารพื้นๆ ง่ายๆ
“ไม่เจอกันกี่ปีนะ หกปีแล้วใช่ไหม นายเป็นยังไงบ้าง”ฟลุ๊คถามไถ่เริ่มต้นบทสนทนา“ก็ดี ฉันดูแลกิจการครอบครัว”“ถามจริงกับดาวนี่ นายกะจริงจังกับเขานานขนาดไหน”นิ้วเรียวแกร่งที่กำลังจะกดปุ่มเลือกกาแฟจากตู้ชะงัก ดวงตาฟลุ๊คแสดงความไม่เชื่อใจฉายชัด“ถามอย่างนี้มีเคืองนะเว้ย มาต่อยกันดีกว่า”ชวินทร์มองหน้าอีกฝ่ายหมิ่นๆ“ไม่เอาล่ะ ขืนต่อยนายดาวจะพาลโกรธฉัน ฉันกับพวกสาวๆ เป็นห่วงดาว ถ้านายคิดจะเล่นๆ กับเขาก็พอได้แล้ว”เขาพุ่งตัวมา สองมือกระชากคอเสื้อฟลุ๊ค เพื่อนเนตราดาวเตี้ยกว่าเขานิดหน่อย จึงกลายเป็นต้องเขย่งเท้า“อย่าพูดหมาๆ แบบนี้อีก”ชวินทร์กัดฟันกรอด“พูดเรื่องจริงต่างหาก เมื่อหกปีก่อนตอนดาวเสียใจก็มีพวกฉันนี่แหละที่อยู่ปลอบใจ ตอนนั้นนายยังไปง้อแจงอยู่เลย” อีกฝ่ายไม่กลัวเขาเสียด้วย คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ถ้าต้องมีเรื่องก็พร้อม“เออ เรื่องตอนนั้นฉันยอมรับผิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น ฉันจริงใจกับดาว”“ฉ
ชวินทร์กลับบ้านตอนห้าโมงเย็น เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมไปเฝ้าเนตรา คนรับใช้รีบรายงานเขาทันทีว่ารัชนีรออยู่ในห้องนั่งเล่น มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นที่ชื่อดาวน่ะ”เนตราเล่าว่าโดนไล่ออก ชวินทร์ไปไล่เบี้ยกับฉัตรบรรณ พบว่าคำสั่งมาจากฉวีวรรณ ฉัตรบรรณรอคุยกับมารดาช่วงเช้า แต่ท่านก็เลี่ยงด้วยเหตุผลไม่สบายสองหนุ่มวิเคราะห์กันว่ามารดาทั้งสองรวมหัวกันเล่นงานเนตรา เขาไม่แปลกใจนักที่ท่านรู้เรื่องเธอเข้าโรงพยาบาล“ฟื้นแล้วครับ ยังปวดหัวนิดหน่อย เพราะซ้ำรอยแผลที่เคยแตกเดิม”รัชนีพยักหน้า“แน่ใจแล้วเหรอกับคนนี้น่ะ แม่เห็นเขาหาแต่เรื่องเดือดร้อน เสียชื่อเสียง”“แล้วคนยังไงละครับที่คุณแม่ชอบ แบบแจงหรือเจมี่”ดวงตาภายใต้คิ้วเข้มวาวขึ้นทันใด เมื่อนึกถึงสิ่งสองคนนั้นทำ“อย่าประชดแม่นะ”นางเอ็ด แต่ลูกชายไม่สน“ถ้าเป็นดาว เขาจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัว ว่าร้ายใครก็ไม่เคย”“ลูกตีค่าผู้หญิงคนนี้สูงไปหรือเปล่า”
“ใครกันมาแต่ไก่โห่”บิดาตวาดด้วยอารมณ์กำลังขึ้น คนรับใช้หน้าเสีย“เขาบอกว่าเป็นลูกน้องเฮียไช้ค่ะ” ชื่อที่ได้ยินทำเอาชะงัก“คุณยังติดต่อกับไอ้เสี่ยนั่นอยู่เหรอ”ภรรยาเบ้ปากอย่างรังเกียจ“ไหนว่าคืนเงินที่ยืมมันหมดไปแล้วไง”สามีหลบตา เดินออกประตูไปหาแขกที่มิได้เต็มใจต้อนรับ“คุณเดี๋ยวก่อนสิ กลับมาพูดกันก่อน!”มารดาดุลยาร้องไล่หลัง“ใครมาหาพ่อคะแม่”“เสี่ยเจ้าของบ่อนที่พ่อแกไปยืมเงินไงล่ะ”นางตอบเสียงสะบัด“ไหนคุณพ่อบอกว่าเล่นพนันนิดๆ หน่อยๆ ไงคะ”บิดาเธอชอบแบบนี้ ท่านมีเพื่อนก้วนที่เล่นกันประจำ โดยเล่าว่ากินเงินกันขำๆ“นิดหน่อยกับผีล่ะสิ เป็นหนี้เสี่ยนั่นทีเป็นสิบล้าน ถามทีไรก็บอกแต่ว่าคืนแล้ว นี่ไม่รู้รอบใหม่เอามาอีกเท่าไร”ดุลยาอึ้งกับความจริงในฐานะครอบครัวที่ยอบแยบมากกว่าที่คิด“พ่อแกก็เป็นแบบนี้ บริหารงานรึก็ไปไม่รอด ญาติคนอื่นก็รอจะฮุบบริษัท”มาร
“แล้วนี่ละพี่”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตา“ทั้งไลน์ที่ส่งให้คุณเจมี่ คุณแจง ทั้งรูปถ่าย”ฉัตรบรรณรับมาสไลด์ดูช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ภิรมย์เหงื่อแตกอ้าปากพะงาบๆ“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะคุณแปง คือ...”“รูปนี้ของผมกับดาวมาอยู่ในกล้องพี่ได้ยังไง”ชายหนุ่มเปิดรูปที่เขาปลอบเนตรดาวในวันที่เธอร้องไห้“...พี่เซฟรูปมาจากที่เขาแชร์กันมา”โธ่เอ๋ย! เธอน่าจะตั้งรหัสโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เป็นผลจากความกลัวจำไม่ได้ ประมาทว่าจะไม่มีใครยุ่งกับของตัว“แล้วในไลน์ล่ะ”ฉัตรบรรณกดไปดูแอปพลิเคชั่นแชทสุดฮิตในทันใด แชทกลุ่มเจมิลลากับดุลยาปักหมุดไว้บนสุด เขาไล่สายตาตามบทสนทนาทุกบรรทัด ดุลยาเป็นตัวเสี้ยม ภิรมย์เป็นลูกคู่ ช่วยกันวางแผนบงการให้เจมิลลาไปทำเรื่องต่างๆ“ยังมีที่ไปปั่นเฟซอีกค่ะ”เจ้านายกดปิดหน้าจอ เพราะข้อมูลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว“พี่ไปเซ็นใบลาออกที่เอชอาร์ได
ชื่อสายเรียกเข้าจากจอมือถือทำดุลยาสะดุ้ง เธอสูดหายใจลึกรวบความกล้าส่งเสียงรับ“ไงคะโน้ต”“คุณแสบมากนะ ทำร้ายคนที่ผมรัก”...คนที่ผมรัก ยิ่งทำใจดุลยาร้อนรุ่ม แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวอ่อนวัย จนกรีดร้องเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่“แจงไม่ได้ทำอะไรนะ แค่อยู่ในเหตุการณ์เฉยๆ เจมี่ต่างหากเป็นคนลงมือ เขาหึงคุณแปง”“แล้วใครล่ะที่คอยยุเขา คุณไม่ใช่เหรอ”“อย่ามากล่าวหากันนะ!”ดุลยาไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างเพราะสถานการณ์บังคับ หรือไม่ก็กดดันจนเธอต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น หญิงสาวหาเหตุผลเข้าข้างตนเองได้เสมอ“ไปสอบสวนเจมี่โน่น”“ผมทำแน่”เขาย้ำเยือกเย็น แต่ดุลยาใจดีสู้เสือทำไม่กลัว“แล้วคุณจะได้รู้ว่าเจมี่เพ้อเจ้อขนาดไหน เขาน่ะเด็กเลี้ยงแกะตัวจริง เรียกร้องความสนใจ รู้เรื่องความแสบของเจมี่สมัยอยู่อเมริกาไหม”“ผมไม่อยากฟังจากคุณ จะคุยกับเจ้าตัวเอง”อย่างน้อยดุลยาก็ปล่อยพิษที่เรียกว่าความค้างคาใจไว้ให้เขาแล้ว
เนตรากะพริบตาปริบๆ เห็นเท้าตนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่นุ่มมาก สีขาวและบางเบาเรี่ยข้อเท้า ราวอยู่บนเมฆ ลมอ่อนพัดโชย กลิ่นสดชื่นเหมือนฝนตกใหม่ เธอกำลังก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตรงหน้าปรากฎคนคู่หนึ่ง“พ่อคะ...แม่”เธอวิ่งถลาเข้าไปหา เหมือนเวลาเด็กอนุบาลมีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ท่านทั้งสองโอบกอดเนตราอย่างอบอุ่น น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่อาย“หนูคิดถึงพ่อแม่ที่สุด”หญิงสาวบอกอู้อี้กับปกเสื้อพ่อ ซึ่งชื้นด้วยน้ำตา จำได้ว่าตัวนี้สวมให้กับมือก่อนนำร่างท่านบรรจุโลง“พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน เราอยู่กับลูกเสมอในความทรงจำ”แม่ยิ้มละไม มือลูบศีรษะเธอด้วยความรัก“หนูอยากอยู่กับพ่อแม่”การที่ได้เห็นทั้งสองแบบนี้ แสดงว่าชีวิตเธอดับไปแล้วแน่ และที่นี่คงเป็นสวรรค์ แม้ไม่มีนางฟ้า เทวดา ไม่มีทิพยวิมาน แต่ขอแค่มีพ่อแม่ลูก แค่นั้นก็พอแล้ว“ยังจ้ะดาว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”เนตราเงยหน้ามองแม่แบบเหวอๆ ท่านยกนิ้วแตะริมฝีปาก“หนูต้องเจอเรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ เข้มแข็