เนตราที่ตื่นมาพร้อมกับความจำแค่สมัยมหาวิทยาลัย คนที่อยู่ข้างเธอคือชวินทร์ เขาบอกความจริงที่น่าตกใจว่าทั้งสองเป็นแฟนกัน แถมพาตัวตัวเองกระแซะเข้ามาใกล้ ท่ามกลางความสับสนและงงของเธอ ก็เขาน่ะเพลย์บอยตัวพ่อ ส่วนเธอเป็นผู้หญิงระดับกลางๆ ไหงมาคบกันได้ล่ะ
View Moreภาพแรกที่ค่อยๆ แจ่มชัดในสายตาเนตราคือ แสงไฟสว่างจ้าจากหลอดฟูลออเรสเซนต์ในห้องขาว
เธอกระพริบตากลมโตถี่ๆ เรียกสติคืนจากความง่วงงุน ศีรษะหนักอึ้ง คอแห้งเหมือนคนหลงในทะเลทรายมานาน
เมื่อสายตาชินกับแสงจึงเห็นสภาพห้อง เธอนอนบนเตียง มีขวดน้ำเกลือแขวนเหนือศีรษะ สายเล็กเรียวมาหยุดอยู่ที่กลางแขนขวา
ทีแรกคิดว่าตนเองอยู่ลำพัง แต่เหลือบเห็นประตูกระจกกั้นระเบียง ใครบางคนยืนอยู่ด้านนอก
“มีใครอยู่บ้างคะ สวัสดีค่ะ”
อยากลุก แต่จนด้วยเนื้อตัวระบมไปหมด ได้แต่ส่งเสียงทัก ประตูเคลื่อนเปิด เผยให้เห็นสมาชิกร่วมห้อง ชวินทร์! เนตราอ้าปากเหวอ
“จะเอาอะไรเหรอ เดี๋ยวเรียกพยาบาลให้”
เขาเดินมากดปุ่มเหนือหัวเตียง เผยให้เห็นไหล่กว้าง ท่อนแขนเข็งแรง
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วฉันล่ะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คำถามยิงรัวเร็วเกือบเท่าจังหวะการหายใจถี่กระทั้น
“คุณล้ม หัวฟาดกระถางต้นไม้ ผมพามาโรงพยาบาล”
สรรพนามก็เปลี่ยนไป จากที่เคยเรียก “เธอ” กลายเป็น “คุณ” ท่าทีเย็นชาเปลี่ยนเป็นห่วงใย
“หลับไปสองวันเต็มๆ”
“แล้วนายไปเจอฉันหัวฟาดกระถางต้นไม้ได้ยังไง ไหนบอกว่าเราอย่าเจอกันสองต่อสองอีก”
ชวินทร์ขมวดคิ้ว
“อย่างนี้แฟนนายจะคิดยังไง”
ดวงตายาวรีดำสนิทของเขาพินิจเธอแปลกๆ
“แล้วเพื่อนๆ ล่ะ มีใครรู้ว่าฉันป่วยหรือยัง ไปเรียกมาหน่อย จะได้ไม่กลายเป็นว่าเราอยู่ด้วยกัน”
“คุณป่วยนะ ไม่มีใครมาคิดมากหรอก”
“เพราะคิดน้อยนี่แหละถึงได้เกิดเรื่องไง ขอร้องล่ะ เรียกใครสักคนมาเถอะ อย่างน้อยก็มาเป็นพยานว่าเราไม่ได้อยู่กันตามลำพัง”
อาการหนักอึ้งในศีรษะเปลี่ยนเป็นปวดตุบๆ จนต้องยกมือคลึงบริเวณปวดเบาๆ
“นายจะได้ไม่มีปัญหากับแฟน”
“คุณห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอีกแล้ว”
“ฉันห่วงตัวเองมากกว่า ไม่อยากโดนแฟนนายที่ชื่ออะไรนะ ...เออ ใช่ ชื่อแจงหักอก”
ชวินทร์หรี่ตา
“แฟนผมชื่ออะไรนะ”
“ก็แจงไง”
ใจเจ็บแปลบ เขาจะให้ย้ำชื่อเจ้าของหัวใจตัวเองทำไมหลายรอบ ชวินทร์สูดลมหายใจลึก ก่อนจะพ่นออกมาพร้อมคำถาม
“ดาว วันนี้เดือนปีอะไร”
“หือ”
เธอครางในลำคอ
“ตอบมาเถอะน่า”
“ยี่สิบสี่เมษาสองห้าห้าเจ็ด”
พยาบาลชุดขาวสาวเท้าเข้ามาในห้องเพราะเสียงกดเรียกในทีแรก เนตราหน้าเหรอหรา ขณะชวินทร์เสียงก้อง
“ผมต้องการพบหมอ ด่วนที่สุดครับ!”
แล้วเขาก็หายลับสายตาไปท่ามกลางสีขาวของห้องและชุดพยาบาล หมอเข้ามาตรวจและถามประวัติเธอ สลับกับถามเรื่องทั่วๆ ไป ชีวิตส่วนตัวในมหาวิทยาลัย งานที่อยากทำ ก่อนจะกลับออกไป ปล่อยเธอไว้กับความเงียบในห้อง
“มีใครเห็นโทรศัพท์มือถือฉันไหมคะ”
เนตราเรียกพยาบาลอีกครั้ง
“ไม่ทราบสิคะ ปรกติของส่วนตัวผู้ป่วยจะได้รับคืนวันที่ออกจากโรงพยาบาลค่ะ”
“ฉันมีเรื่องที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ค่ะ จะติดต่อฝ่ายไหนได้บ้าง”
“งั้นต้องให้ญาติไปเซ็นชื่อรับที่ชั้นล่างค่ะ”
เธอมีเสียทีไหนกันล่ะญาติที่ว่านั่น คงต้องรอชวินทร์ เขาเป็นความหวังเดียว ที่เธอไม่อยากจะหวังเอาเสียเลย
ชวินทร์กลับมาในอีกหลายชั่วโมงต่อมา เขาเปลี่ยนชุดใหม่เป็นเชิ้ตขาวทับด้วยสูทสีเทา ยิ่งขับเน้นมาดนักธุรกิจหนุ่ม ตัวเขาหอมกลิ่นฝนจางๆ จนเนตราอาย ด้วยตัวเธอมีแต่กลิ่นยา
“นายช่วยโทรตามเพื่อนคนอื่นให้ฉันหน่อยสิ”
“ทำไม”
“เราจะได้ไม่อยู่ด้วยกันสองต่อสองอีก”
สถานการณ์แบบนี้แหละที่พาไปสู่ “เรื่องนั้น” จนเขาและเธอมองหน้ากันไม่ติด
“คุณป่วยอยู่นะ”
ชวินทร์เลื่อนเก้าอี้กลมมาข้างเตียง แล้วนั่งลง กลายเป็นเธอที่ทอดตามองเขา
“ฉันอยากกลับบ้าน”
เขาสงบ ต่างกับเธอที่ใจเต้นแรงจนกลัวมันจะหลุดจากขั้ว
“หมอขอดูอาการก่อน”
“ฉันเป็นอะไร”
เนตราขยับตัวไปอยู่คนละฝั่งเตียงกับเขา ชวินทร์หลุบเปลือกตาลง ขนตาหนาเป็นแพจนเธออยากยื่นนิ้วไปไล้เล่นเหมือนดังครั้งก่อน กลับมาๆ เนตราบอกตัวเอง ถ้าไม่อยากเสียใจซ้ำสอง
“หมอบอกว่าคุณความจำเสื่อม มันหยุดอยู่แค่ความจำสมัยมหาวิทยาลัย”
“ห๋า”
เธอชี้หน้าตัวเอง ย้ำกับเขาว่านี่เรื่องจริงใช่ไหม ชวินทร์พยักหน้ายืนยัน
“คิดว่าเรื่องอย่างนี้มีแต่ในละครซะอีก”
“แล้วนี่ผ่านมากี่ปีแล้ว หมอบอกไหมความจำฉันจะกลับมาหมดเมื่อไร”
“ตอนนี้ผ่านมาหกปี”
ชวินทร์ทำหน้าปั้นยาก เขากำลังตัดสินใจบางอย่าง
“หมอบอกว่าความทรงจำทั้งหมดจะค่อยๆ กลับมา ระบุเวลาแน่นอนไม่ได้”
เธอได้ยินแล้วค่อยโล่งหน่อย
“แล้วนายมาเจอฉันล้มหัวแตกได้ยังไง”
ห้องเงียบไปครู่ ความกดอากาศหนักๆ ลอยวนเหนือเขาและเธอ เวลาหกปีชวินทร์เปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่นักศึกษาหน้าใส เครื่องหน้าบึกบึนเข้มขึ้น มีไรหนวดเขียวจางๆ บริเวณแก้มและเหนือริมฝีปาก
ระหว่างคิ้วปรากฏรอยย่นจางๆ แบบคนคิดมาก ส่วนเธอก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน จากเด็กสาวหลายเป็นหญิงสาว แก้มป่องกลายเป็นเรียว ผิวขาวขึ้นและผอมลง
“เราเป็นแฟนกัน”
เนตราเบิกตาเท่าที่รอยช้ำบนเปลือกตาจะเอื้ออำนวย
“เป็นไปไม่ได้”
นานพอดูกว่าเธอจะหาเสียงตัวเองเจอ ซึ่งก็แหบแห้งเสียเหลือเกิน
“นายจะมาเป็นแฟนฉันได้ยังไง”
เธอพยายามนึก ค้นลึกลงไปในความทรงจำ แต่ได้กลับมาเพียงอาการปวดจี๊ดที่กำเริบขึ้นจนต้องยกมือแตะศีรษะ
“อย่าเพิ่งเครียด หมอบอกว่าหัวคุณกระทบกระเทือน ความทรงจำบางส่วนหายไป”
และเป็นบางส่วนที่สำคัญสุดๆ เสียด้วย
“นายเป็นแฟนกับแจงอยู่นี่”
“ผมเลิกกับเขานานแล้ว”
ชวินทร์เล่าเหมือนกำลังบอกว่าไปซื้อของ ไม่มีอาการหวั่นไหวเมื่อพาดพิงถึงความรักครั้งเก่า
“ฉันเป็นต้นเหตุหรือเปล่า”
เขายิ้มเห็นไรฟัน
“เปล่าหรอก มันมีหลายสาเหตุ อย่าไปคิดถึงเรื่องคนอื่นเลย พักผ่อนเถอะ”
ในสายตาเนตรา ชวินทร์รักแฟนเขามาก เห็นได้จาก “คืนนั้น” ที่เขาคร่ำครวญเรียกชื่อเธอเสียหนักหนา
“แล้วเรามาคบกันได้ยังไง”
ความสงสัยใคร่รู้ตะกุยผ่านช่องท้อง เคลื่อนขึ้นฉายในดวงตา เหงื่อซึมทั้งอยู่ในห้องปรับอากาศ ใจจดจ่อรอคำตอบจากปากเขา ที่นานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์
“ไม่เจอกันกี่ปีนะ หกปีแล้วใช่ไหม นายเป็นยังไงบ้าง”ฟลุ๊คถามไถ่เริ่มต้นบทสนทนา“ก็ดี ฉันดูแลกิจการครอบครัว”“ถามจริงกับดาวนี่ นายกะจริงจังกับเขานานขนาดไหน”นิ้วเรียวแกร่งที่กำลังจะกดปุ่มเลือกกาแฟจากตู้ชะงัก ดวงตาฟลุ๊คแสดงความไม่เชื่อใจฉายชัด“ถามอย่างนี้มีเคืองนะเว้ย มาต่อยกันดีกว่า”ชวินทร์มองหน้าอีกฝ่ายหมิ่นๆ“ไม่เอาล่ะ ขืนต่อยนายดาวจะพาลโกรธฉัน ฉันกับพวกสาวๆ เป็นห่วงดาว ถ้านายคิดจะเล่นๆ กับเขาก็พอได้แล้ว”เขาพุ่งตัวมา สองมือกระชากคอเสื้อฟลุ๊ค เพื่อนเนตราดาวเตี้ยกว่าเขานิดหน่อย จึงกลายเป็นต้องเขย่งเท้า“อย่าพูดหมาๆ แบบนี้อีก”ชวินทร์กัดฟันกรอด“พูดเรื่องจริงต่างหาก เมื่อหกปีก่อนตอนดาวเสียใจก็มีพวกฉันนี่แหละที่อยู่ปลอบใจ ตอนนั้นนายยังไปง้อแจงอยู่เลย” อีกฝ่ายไม่กลัวเขาเสียด้วย คิดว่าเป็นไงเป็นกัน ถ้าต้องมีเรื่องก็พร้อม“เออ เรื่องตอนนั้นฉันยอมรับผิด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น ฉันจริงใจกับดาว”“ฉ
ชวินทร์กลับบ้านตอนห้าโมงเย็น เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมไปเฝ้าเนตรา คนรับใช้รีบรายงานเขาทันทีว่ารัชนีรออยู่ในห้องนั่งเล่น มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา“อาการเขาเป็นยังไงบ้าง เด็กคนนั้นที่ชื่อดาวน่ะ”เนตราเล่าว่าโดนไล่ออก ชวินทร์ไปไล่เบี้ยกับฉัตรบรรณ พบว่าคำสั่งมาจากฉวีวรรณ ฉัตรบรรณรอคุยกับมารดาช่วงเช้า แต่ท่านก็เลี่ยงด้วยเหตุผลไม่สบายสองหนุ่มวิเคราะห์กันว่ามารดาทั้งสองรวมหัวกันเล่นงานเนตรา เขาไม่แปลกใจนักที่ท่านรู้เรื่องเธอเข้าโรงพยาบาล“ฟื้นแล้วครับ ยังปวดหัวนิดหน่อย เพราะซ้ำรอยแผลที่เคยแตกเดิม”รัชนีพยักหน้า“แน่ใจแล้วเหรอกับคนนี้น่ะ แม่เห็นเขาหาแต่เรื่องเดือดร้อน เสียชื่อเสียง”“แล้วคนยังไงละครับที่คุณแม่ชอบ แบบแจงหรือเจมี่”ดวงตาภายใต้คิ้วเข้มวาวขึ้นทันใด เมื่อนึกถึงสิ่งสองคนนั้นทำ“อย่าประชดแม่นะ”นางเอ็ด แต่ลูกชายไม่สน“ถ้าเป็นดาว เขาจะไม่ทำให้ใครเจ็บตัว ว่าร้ายใครก็ไม่เคย”“ลูกตีค่าผู้หญิงคนนี้สูงไปหรือเปล่า”
“ใครกันมาแต่ไก่โห่”บิดาตวาดด้วยอารมณ์กำลังขึ้น คนรับใช้หน้าเสีย“เขาบอกว่าเป็นลูกน้องเฮียไช้ค่ะ” ชื่อที่ได้ยินทำเอาชะงัก“คุณยังติดต่อกับไอ้เสี่ยนั่นอยู่เหรอ”ภรรยาเบ้ปากอย่างรังเกียจ“ไหนว่าคืนเงินที่ยืมมันหมดไปแล้วไง”สามีหลบตา เดินออกประตูไปหาแขกที่มิได้เต็มใจต้อนรับ“คุณเดี๋ยวก่อนสิ กลับมาพูดกันก่อน!”มารดาดุลยาร้องไล่หลัง“ใครมาหาพ่อคะแม่”“เสี่ยเจ้าของบ่อนที่พ่อแกไปยืมเงินไงล่ะ”นางตอบเสียงสะบัด“ไหนคุณพ่อบอกว่าเล่นพนันนิดๆ หน่อยๆ ไงคะ”บิดาเธอชอบแบบนี้ ท่านมีเพื่อนก้วนที่เล่นกันประจำ โดยเล่าว่ากินเงินกันขำๆ“นิดหน่อยกับผีล่ะสิ เป็นหนี้เสี่ยนั่นทีเป็นสิบล้าน ถามทีไรก็บอกแต่ว่าคืนแล้ว นี่ไม่รู้รอบใหม่เอามาอีกเท่าไร”ดุลยาอึ้งกับความจริงในฐานะครอบครัวที่ยอบแยบมากกว่าที่คิด“พ่อแกก็เป็นแบบนี้ บริหารงานรึก็ไปไม่รอด ญาติคนอื่นก็รอจะฮุบบริษัท”มาร
“แล้วนี่ละพี่”ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือเครื่องคุ้นตา“ทั้งไลน์ที่ส่งให้คุณเจมี่ คุณแจง ทั้งรูปถ่าย”ฉัตรบรรณรับมาสไลด์ดูช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ภิรมย์เหงื่อแตกอ้าปากพะงาบๆ“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะคุณแปง คือ...”“รูปนี้ของผมกับดาวมาอยู่ในกล้องพี่ได้ยังไง”ชายหนุ่มเปิดรูปที่เขาปลอบเนตรดาวในวันที่เธอร้องไห้“...พี่เซฟรูปมาจากที่เขาแชร์กันมา”โธ่เอ๋ย! เธอน่าจะตั้งรหัสโทรศัพท์ตั้งแต่แรก เป็นผลจากความกลัวจำไม่ได้ ประมาทว่าจะไม่มีใครยุ่งกับของตัว“แล้วในไลน์ล่ะ”ฉัตรบรรณกดไปดูแอปพลิเคชั่นแชทสุดฮิตในทันใด แชทกลุ่มเจมิลลากับดุลยาปักหมุดไว้บนสุด เขาไล่สายตาตามบทสนทนาทุกบรรทัด ดุลยาเป็นตัวเสี้ยม ภิรมย์เป็นลูกคู่ ช่วยกันวางแผนบงการให้เจมิลลาไปทำเรื่องต่างๆ“ยังมีที่ไปปั่นเฟซอีกค่ะ”เจ้านายกดปิดหน้าจอ เพราะข้อมูลเพียงแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว“พี่ไปเซ็นใบลาออกที่เอชอาร์ได
ชื่อสายเรียกเข้าจากจอมือถือทำดุลยาสะดุ้ง เธอสูดหายใจลึกรวบความกล้าส่งเสียงรับ“ไงคะโน้ต”“คุณแสบมากนะ ทำร้ายคนที่ผมรัก”...คนที่ผมรัก ยิ่งทำใจดุลยาร้อนรุ่ม แต่เธอไม่ใช่เด็กสาวอ่อนวัย จนกรีดร้องเก็บอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่“แจงไม่ได้ทำอะไรนะ แค่อยู่ในเหตุการณ์เฉยๆ เจมี่ต่างหากเป็นคนลงมือ เขาหึงคุณแปง”“แล้วใครล่ะที่คอยยุเขา คุณไม่ใช่เหรอ”“อย่ามากล่าวหากันนะ!”ดุลยาไม่เคยทำอะไรผิด ทุกอย่างเพราะสถานการณ์บังคับ หรือไม่ก็กดดันจนเธอต้องตัดสินใจทำอย่างนั้น หญิงสาวหาเหตุผลเข้าข้างตนเองได้เสมอ“ไปสอบสวนเจมี่โน่น”“ผมทำแน่”เขาย้ำเยือกเย็น แต่ดุลยาใจดีสู้เสือทำไม่กลัว“แล้วคุณจะได้รู้ว่าเจมี่เพ้อเจ้อขนาดไหน เขาน่ะเด็กเลี้ยงแกะตัวจริง เรียกร้องความสนใจ รู้เรื่องความแสบของเจมี่สมัยอยู่อเมริกาไหม”“ผมไม่อยากฟังจากคุณ จะคุยกับเจ้าตัวเอง”อย่างน้อยดุลยาก็ปล่อยพิษที่เรียกว่าความค้างคาใจไว้ให้เขาแล้ว
เนตรากะพริบตาปริบๆ เห็นเท้าตนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่นุ่มมาก สีขาวและบางเบาเรี่ยข้อเท้า ราวอยู่บนเมฆ ลมอ่อนพัดโชย กลิ่นสดชื่นเหมือนฝนตกใหม่ เธอกำลังก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อยๆ ตรงหน้าปรากฎคนคู่หนึ่ง“พ่อคะ...แม่”เธอวิ่งถลาเข้าไปหา เหมือนเวลาเด็กอนุบาลมีพ่อแม่มารับหลังเลิกเรียน ท่านทั้งสองโอบกอดเนตราอย่างอบอุ่น น้ำตาเธอไหลพรากอย่างไม่อาย“หนูคิดถึงพ่อแม่ที่สุด”หญิงสาวบอกอู้อี้กับปกเสื้อพ่อ ซึ่งชื้นด้วยน้ำตา จำได้ว่าตัวนี้สวมให้กับมือก่อนนำร่างท่านบรรจุโลง“พ่อกับแม่ไม่ได้ไปไหน เราอยู่กับลูกเสมอในความทรงจำ”แม่ยิ้มละไม มือลูบศีรษะเธอด้วยความรัก“หนูอยากอยู่กับพ่อแม่”การที่ได้เห็นทั้งสองแบบนี้ แสดงว่าชีวิตเธอดับไปแล้วแน่ และที่นี่คงเป็นสวรรค์ แม้ไม่มีนางฟ้า เทวดา ไม่มีทิพยวิมาน แต่ขอแค่มีพ่อแม่ลูก แค่นั้นก็พอแล้ว“ยังจ้ะดาว ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน”เนตราเงยหน้ามองแม่แบบเหวอๆ ท่านยกนิ้วแตะริมฝีปาก“หนูต้องเจอเรื่องต่างๆ อีกเยอะแยะ เข้มแข็
จนสักพักคนเริ่มซา ดุลยาจึงเดินเชิดหน้ากลับไปลานจอดรถ ทิ้งให้ภิรมย์กับเจมิลลาอยู่บนชั้นสอง โดยไม่สนใจเลยฉัตรบรรณรู้เรื่องเนตรดาวจากผู้จัดการฝ่ายบุคคล แต่รู้แค่เพียงเธอตกบันได ยังไม่รู้เรื่องคำสั่งไล่ออก เพราะผู้จัดการเกรงอำนาจฉวีวรรณ เนื่องด้วยรู้ว่าเงินทุนในบริษัทมาจากมารดาเจ้านาย ฉวีวรรณคือผู้ชี้เป็นชี้ตายที่แท้จริงมีไม่กี่ครั้งในชีวิตที่หัวใจชวินทร์เต้นแรงจนรู้สึกเหมือนจะหลุดจากขั้ว ไม่ใช่ด้วยความยินดี แต่ด้วยความกลัว ฉัตรบรรณโทรมาบอกว่าเนตราตกบันไดศีรษะฟาดพื้น“แม่งเอ๊ย!”ชายหนุ่มสบถให้รถคันหน้าที่บีบแตรยามเขาขับแซง เนตราก็ซุ่มซ่ามเหลือเกิน หกล้มหัวฟาดถึงสองหน คราวนี้จะความจำเสื่อมอีกหรือเปล่า แต่ชวินทร์ไม่รอแล้ว ตั้งใจจับแต่งงานเสียเลย เธอจะได้ไม่อยู่ไกลสายตาจนเกิดเหตุแบบนี้ดุลยาขับรถไปจอดร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอเลือกร้านเงียบๆ ห่างไกลผู้คน กะเวลาสักประมาณยี่สิบนาทีแล้วก็โทรหาฉัตรบรรณ“ครับ คุณแจง”เขารับสายในทันทีทันใด เธอทำเสียงอ่อนๆ“คุณแปงว่าหรือเปล่าคะ แจงมีเรื่องจะสารภาพค่ะ”
เนตรามองของในกล่องกระดาษสลับกับโต๊ะทำงานโล่งโจ้ง หกปีที่ผ่านมากับการทำงานที่นี่ เธอมีสมบัติน้อยชิ้นขนาดนี้เชียวหรือ แต่ที่น้อยกว่านั้นคือเพื่อนร่วมงาน เนตราเข้าใจว่าทุกคนเกรงอำนาจฉวีวรรณจึงได้แต่แอบดูเธอเก็บของอยู่ห่างๆ“รีบเก็บของเร็วจัง ฉันคิดว่าเธอจะย่องมาเก็บดึกๆ เสียอีก เหมือนที่ชอบย่องทำอะไรลับหลังคนอื่น”ตัวเป้งๆ มากันครบ ทั้งดุลยา ภิรมย์ เจมิลลา แขกไม่ได้รับเชิญทั้งนั้น“ไปแล้วขอให้ไปลับ อย่ากลับมานะ”ดุลยาส่งยิ้มหวานเคลือบยาพิษ“เราได้เจอกันอีกแน่ ในงานแต่งฉันกับโน้ต”ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงตัวตัวแท้จริงว่า ...ฉันเป็นนางร้ายนะจ๊ะ เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นนางเอก จึงกวนกลับเสียเลย“คิดเหรอว่าจะได้แต่ง”“ไม่ได้คิดแต่มีคนมาขอแล้ว”ชวินทร์เคยพูดกับเธอแล้วนะ ถือว่าเนตราไม่ได้โกหก“หน้าด้าน! โกหก!”พอเอ่ยถึง “คนที่ว่า” อีกฝ่ายรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร ยิ่งเพิ่มความฉุนหนัก“ยังดีกว่าคนที่ชอบยุแยงคนอื่นไปทั่วอย่างเธอละ
“แจงทำผิดเหรอคะ”“แล้วทำไมไม่เล่าด้วยล่ะ ว่าสาเหตุที่เมาจนมีอะไรกับดาวมันมาจากที่คุณนอกใจผม”ชวินทร์เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่แฉฝ่ายหญิง แต่ดูที่เธอทำสิ“เราเลิกกันแล้วนะคะ โน้ตจะรื้อฟื้นเรื่องขึ้นมาทำไม”“หยุดปล่อยข่าวเรื่องดาวซะ ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการคุณ”“โน้ตจะทำอะไรแจงเหรอคะ”เธอเหยียดยิ้มท้าทายให้กระจก“บริษัทที่อยากจะขายให้จีนใจจะขาดนั่น ถ้าเขารู้ปัญหาที่ซุกไว้จะเป็นยังไงนะ”ฉัตรบรรณเคยเล่าให้ฟังเรื่องกิจการบ้านดุลยา เพราะเจมิลลาเคยถูกขอให้ช่วยเหลือ แต่เขาแนะนำให้คู่หมั้นปฏิเสธ ด้วยไม่ไว้ใจในรายงานผลประกอบการประจำปีของบริษัท กลัวจะเป็นการตกแต่งตัวเลข“คุณจำได้ไหมว่าผมมีเพื่อคนจีนหลายคนสมัยเรียนโท บางคนก็กลับไปทำกิจการหนังสือพิมพ์ของที่บ้าน”“อย่ามาขู่แจงเลยค่ะ อยากทำอะไรก็ทำไป”ชวินทร์เคยอ่อนโยนมากกว่านี้ เขาทั้งรัก ทั้งหลงเธอ สาเหตุที่เลิกกันไปเพราะดุลยาเลือกนรธิป เธอเคยอยู่เหนือเขา แล้ววันนี้ชวินทร์กลับมาข
Comments