บนเส้นทางที่มืดมนคงไม่อับจนไร้สิ้นซึ่งทางเดิน วันนี้เขมิกาขอติดรถมาส่งลูกสาวด้วย ลัลนาก็ไม่ได้แย้งอะไร เพราะความเป็นจริงแล้วก็อยากให้เขมิกาได้ไปส่งลูกบ้าง อย่างน้อยมาเรียมก็จะรู้สึกอบอุ่นที่มีมารดามาส่งเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง เมื่อมาถึงโรงเรียน เขมิกาขอรอในรถไม่ต้องเอ่ยถึงเหตุผล เพื่อนอย่างลัลนาก็เข้าใจดี
"เป็นเด็กดีนะคะเชื่อฟังคุณครูรู้ไหมลูก"
"ค่ะ สวัสดีค่ะ หนูไปแล้วนะคะคุณแม่" เด็กน้อยพูดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเข้าไปสวมกอดผู้เป็นมารดา จากนั้นจึงลงจากรถไปพร้อมกับลัลนา ก่อนจะโบกมือลามารดาของเธอ ซึ่งเขมิกานั่งอยู่ในรถที่ติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบ ทำให้คนที่มองเข้ามาไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร แต่คนอยู่ด้านในสามารถมองออกไปเห็นคนด้านนอกอย่างชัดเจน
รถคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบกับคันที่เขมิกานั่งอยู่ ผู้ชายร่างกำยำที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ค่อยๆ เปิดประตู พร้อมกับอุ้มเด็กหญิงหน้าตาน่ารักวัยเดียวกับมาเรียมลงมาจากรถ ก่อนจะมีผู้หญิงสาวสวยก้าวเท้าตามลงมา สามคนพ่อแม่ลูกเดินเข้าไปภายในโรงเรียน โดยมีสายตาของเขมิกาทอดมองไปยังสามคนจนลับตา ด้วยความรู้สึกชอกช้ำในอุรา
เมื่อเขมิกานั่งมองภาพตรงหน้า เธอถึงกับกำมือแน่น เพื่อระงับความโกรธ ซึ่งเธอกับลูกอยู่กันอย่างยากลำบาก แต่เขากลับมีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ชยันต์จะต้องเสียใจกับสิ่งที่เขาสั่งให้เธอทำ มาเรียมต้องมีพร้อมทุกอย่างและต้องโตมาอย่างมีคุณภาพ เขมิกาบอกกับตัวเองจนขึ้นใจ มาเรียมจะต้องเพอร์เฟกต์ ลูกสาวของเธอต้องเก่งทุกด้าน เวลานี้เขมิกาจะทำทุกอย่าง เพียงเพื่อให้มาเรียมอยู่เหนือลูกของชยันต์ให้ได้
สักพักลัลนาก็เดินมาขึ้นรถ ประจำที่ตำแหน่งคนขับ แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเพื่อนรักกำมือแน่นดวงตาเหม่อลอย เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่อย่างมีนัยแอบแฝง
"เขม เขมิกาเธอเป็นอะไร ยัยเขม!" เมื่อเรียกแล้วแต่เขมิกาก็ยังเหม่อ จึงทำให้ลัลนาเอื้อมมือไปเขย่าที่แขนของเพื่อนรักอย่างแรง เธอจึงมีสติกลับคืนมา
"อาการแบบนี้คงเป็นเพราะชยันต์ใช่ไหม นาเดินสวนกับเขาเมื่อตะกี้ รู้สึกว่าลูกของเขาจะอยู่ห้องเดียวกับมาเรียมด้วยนะ" ลัลนาพูดขณะขับรถออกมาจากโรงเรียน เธอไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขมิกากำลังคิดจะทำ เพราะมันเสี่ยงเกินไป ที่จะให้มาเรียมเรียนที่เดียวกับลูกของชยันต์ แต่เธอก็ไม่สามารถขัดเขมิกาได้
"นาช่วยหาแขกกระเป๋าหนักให้เขมสักคนสิ"
เอี๊ยดดด!! ลัลนาเหยียบเบรกกระทันหัน ก่อนจะหักรถหลบเข้าข้างทาง ดีนะที่ไม่มีรถตามหลังมา ไม่อย่างนั้นคงเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ
"ลัลนาแกขับรถยังไงเนี่ย เขมยังมีลูกที่ต้องดูแลนะ ตกใจหมดเลย!" เขมิกาพูดพร้อมกับเอามือขึ้นมาทาบที่อก แต่คนที่ดูจะตกใจกว่าคือลัลนา เมื่อหญิงสาวไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เพื่อนรักคิดจะทำอะไรแบบที่พูดออกมา
"นี่เขมเธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอ เขมกำลังคิดจะทำอะไร รู้ใช่ไหมสิ่งที่เขมกำลังคิดจะทำ มันจะส่งผลให้ชีวิตของเขมพังพินาศได้เลยนะ"
"เขมคิดและตัดสินใจดีแล้ว มันคือทางเดียวที่เขมมีในเวลานี้" หญิงสาวพูดออกมาด้วยแววตาที่มุ่งมั่น เมื่อเธอนั้นมีความปรารถนาที่จะเอาชนะชยันต์
"เขมไม่สงสารมาเรียมเลยหรือไง คิดจะทำอะไรก็นึกถึงลูกบ้าง ถ้ามาเรียมโตขึ้นรู้ว่าแม่ทำงานอะไร ถ้าเพื่อนที่โรงเรียนรู้และเอามาล้อ มาเรียมอาจจะเป็นเด็กเก็บกดหรือกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้นะเขม" ลัลนาพยายามพูดโน้มน้าวให้เพื่อนรักเปลี่ยนใจ
"เรื่องนี้มันเป็นความลับระหว่างเราสองคน ถ้านาไม่บอกมาเรียมก็ไม่รู้”
"แต่นาไม่อยากให้เขมทำ บอกตรงๆ นะเขมอาชีพนี้มันไม่เหมาะกับเขมเลย เราไม่รู้ว่าจะเจอแขกแบบไหนบ้าง บางคนก็ดีอ่อนโยนนุ่มนวล แต่บางคนซาดิสม์มีความต้องการที่รุนแรง นั่นมันคือสิ่งที่ผู้หญิงอย่างเราหวาดกลัวที่สุดในชีวิต แล้วไหนจะถูกเขาตราหน้าว่าไร้เกียรติและศักดิ์ศรีอีก"
"ต่อให้แลกมันมาด้วยชีวิตเขมก็จะทำ สิ่งที่เขมได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีอะไรคือใครมาเปลี่ยนใจเขมได้หรอกนา" ลัลนาเหนื่อยหน่ายกับความดื้อรั้นของเขมิกา เพราะหญิงสาวยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ฟังคำห้ามปรามของเธอเลยสักนิด
ในที่สุดลัลนาตีไฟเลี้ยวขับรถมุ่งสู่ถนนใหญ่ พร้อมทั้งถอนหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง สรุปแล้วเธอต้องช่วยเพื่อน ในสิ่งที่ไม่อยากช่วยเอาเสียเลย
"นาคงห้ามเขมไม่ได้เลยสินะ" ลัลนายังคงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตัดพ้อ เมื่อเพื่อนรักยืนกรานจะทำอาชีพนี้ให้ได้
"อย่าห้ามเลยนา มันเป็นทางเดียวสำหรับเขม ในเวลานี้สิ่งที่เขมอยากจะขอจากนาอีกอย่างคือมาเรียม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนกิริยามารยาท การทำอาหารหรือแม้แต่ศิลปะการป้องกันตัว นาช่วยจัดการทุกอย่างแทนเขมด้วยนะ"
"โอ๊ย! เขม แกไม่ต้องฝากฝังขนาดนั้นก็ได้พูดยังจะไปออกรบอย่างนั้นแหละ"
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เสียงหัวเราะของเขมิกาดังขึ้น
"ไปเถอะ ฉันพร้อมออกรบแล้ว ฉันขอเริ่มงานคืนนี้เลยนะ"
"ฮ่ะ! นาจะบ้าตาย เขมเป็นคนหัวร้อนตั้งแต่เมื่อไหร่ เขมไม่ซีเรียสเลยเหรอ คุณหนูเขมของฉัน ทำไมต้องมาเจอกับเรื่องบ้าๆ พวกนี้ด้วย"
เมื่อลัลนาขับรถมาถึงสถานเริงรมย์ ทั้งสองก็เดินตรงขึ้นไปยังห้องที่เขมิกาพักอยู่ พอถึงห้องปุ๊บเขมิกาก็รีบสอบถามถึงเรื่องงานที่จะทำคืนนี้ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เขมิกากลัวอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็แสแสร้งแกล้งทำเป็นชิลๆ เพื่อให้เพื่อนรักสบายใจกับสิ่งที่เธอกำลังจะทำเพื่อลูก
"เขมไปตามที่อยู่นี้นะที่คอนโด xxx เดี๋ยวน่าจะส่งพิกัดและรายละเอียดทั้งหมดไปให้อีกที"
"นาคัดให้เขมแล้วใช่ไหม พุงปลิ้นหัวล้านแก่คราวพ่อไม่เอานะ"
"สวยเลือกได้ว่างั้น" ลัลนาแซวเพื่อนออกมาด้วยความหมั่นไส้ ทั้งที่ภายในใจก็รู้สึกห่วงใยเพื่อนไม่น้อย
"เถอะน่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วขอดูดีหน่อยละกัน"
"เขมไม่เปลี่ยนใจแน่นะ คิดอีกรอบก่อนก็ได้ อย่าใช้อารมณ์ในการด่วนตัดสินใจ"
"คำไหนคำนั้นบอกแล้วไง เขมไม่เปลี่ยนใจหรอก ต่อให้ช้างมาฉุดก็ฉุดเขมไม่ได้ ให้เขมทำเถอะนะลัลนา"
"ยังไงก็ดูแลตัวเองให้ดีๆ ป้องกันทุกครั้ง ห้ามพลาด เพราะนอกจากเขมจะติดโรคแล้ว โอกาสที่จะตั้งท้องก็มีสูงมาก"
"เขมจะทำตามกฎของที่นี่และจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี นาไม่ต้องห่วงหรอกนะ"
"เอานี่ไปไว้ใช้"
"ทำไมมันเยอะแยะอย่างนี้ล่ะนา"
"นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ" ลัลนาหยิบถุงยางออกจากกระเป๋ายัดใส่มือให้กับเขมิการาวสิบกล่องจนล้นมือ เธอหวังให้เพื่อนรักเปลี่ยนใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เขมิกาได้ใช้ความคิดไต่ตรองอยู่เพียงลำพัง
แต่ทว่านาทีนี้ไม่มีอะไรหยุดเธอได้ เพราะเขมิกาตัดสินใจที่จะทำแล้ว ซึ่งความจริงนั้นเธอคิดไว้ตั้งแต่มาเรียมเกิดมาลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ เมื่อเขมิกาทำใจอยู่นานหลายปี ก่อนจะตัดสินใจทำอาชีพนี้ ซึ่งวันนี้ชยันต์คือแรงผลักดันให้เธอต้องในสิ่งที่เธอหวาดกลัว
ใครเล่าจะรู้กับความระทมที่มี เมื่อชีวิตถูกกำหนดมาให้เป็นเช่นนี้ เด็กน้อยกลับมาจากโรงเรียน เธอพบเพียงห้องว่างเปล่า มาเรียมมองซ้ายแลขวาหามารดาผู้ให้กำเนิด จนลัลนาอดที่จะสงสารไม่ได้ เมื่อเด็กตัวแค่นี้ต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ลัลนาได้แต่หวังว่าอนาคตของมาเรียม โชคชะตาคงไม่เล่นตลกเหมือนกับที่มารดาของเธอพบเจอมา"มาเรียมคืนนี้อยู่กับแม่นานะ แม่เขมไปทำงานพรุ่งนี้เช้าก็กลับ""แม่เขมทำงานที่ไหนคะ ทำไมถึงทำตอนกลางคืน แม่เขมบอกว่าตอนกลางคืนมันอันตราย" คำถามของมาเรียมทำให้ลัลนาถึงกับสะอึก ทุกคนต่างพร่ำสอนให้มาเรียมเป็นเด็กดี ผ้าขาวผืนนี้ใครจะระบายสีอะไรลงไป จะสวยงามแค่ไหนมันคงอยู่ที่คนแต่งแต้ม อย่างน้อยมาเรียมก็โชคดีที่คนแต่งแต้มสีลงไปเป็นเขมิกา มารดาที่รักลูกปานดวงใจ คอยผลักดันส่งเสริมให้หนูน้อยมีอนาคตที่สดใจ แม้ว่าตัวเธอต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตามที"แม่เขมไปทำงาน ไปร้องเพลง มาเรียมไปอาบน้ำนะคะคนเก่ง จะได้มาทานข้าวเย็นด้วยกัน""ค่ะ แม่นา" มาเรียมเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ลัลนากลับรู้สึกผิด เมื่อสิ่งที่พูดไปนั้นมันคือการโกหก ซึ่งมาเรียมเป็นเด็กฉลาด การปกปิดเรื่องนี้คงทำได้เพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
บนเส้นทางที่มืดมนคงไม่อับจนไร้สิ้นซึ่งทางเดิน วันนี้เขมิกาขอติดรถมาส่งลูกสาวด้วย ลัลนาก็ไม่ได้แย้งอะไร เพราะความเป็นจริงแล้วก็อยากให้เขมิกาได้ไปส่งลูกบ้าง อย่างน้อยมาเรียมก็จะรู้สึกอบอุ่นที่มีมารดามาส่งเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง เมื่อมาถึงโรงเรียน เขมิกาขอรอในรถไม่ต้องเอ่ยถึงเหตุผล เพื่อนอย่างลัลนาก็เข้าใจดี"เป็นเด็กดีนะคะเชื่อฟังคุณครูรู้ไหมลูก""ค่ะ สวัสดีค่ะ หนูไปแล้วนะคะคุณแม่" เด็กน้อยพูดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเข้าไปสวมกอดผู้เป็นมารดา จากนั้นจึงลงจากรถไปพร้อมกับลัลนา ก่อนจะโบกมือลามารดาของเธอ ซึ่งเขมิกานั่งอยู่ในรถที่ติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบ ทำให้คนที่มองเข้ามาไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร แต่คนอยู่ด้านในสามารถมองออกไปเห็นคนด้านนอกอย่างชัดเจนรถคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบกับคันที่เขมิกานั่งอยู่ ผู้ชายร่างกำยำที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ค่อยๆ เปิดประตู พร้อมกับอุ้มเด็กหญิงหน้าตาน่ารักวัยเดียวกับมาเรียมลงมาจากรถ ก่อนจะมีผู้หญิงสาวสวยก้าวเท้าตามลงมา สามคนพ่อแม่ลูกเดินเข้าไปภายในโรงเรียน โดยมีสายตาของเขมิกาทอดมองไปยังสามคนจนลับตา ด้วยความรู้สึกชอกช้ำในอุราเมื่อเขมิกานั่งมองภาพตรงหน้า
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป การเปิดภาคเรียนใหม่ก็มาถึง เด็กหญิงมาเรียมหน้าตาบ้องแบ๊ววัยน่ารัก เดินเข้ามาในโรงเรียน พร้อมกับมารดาที่ชื่อว่าลัลนา ทำให้ผู้ปกครองบางคนที่รู้ถึงอาชีพของเธอต่างมองมาอย่างเหยียดๆ แต่ลัลนาก็ไม่สนใจ"สวัสดีค่ะคุณครู" ลัลนาพูดพร้อมทั้งพนมมือไหว้ทักทายคุณครู ซึ่งคุณครูเองก็รีบรับไหว้พร้อมทั้งยิ้มกว้างให้กับทั้งสองอย่างเป็นกันเอง"สวัสดีค่ะคุณลัลนา หนูมาเรียม" มาเรียมยกมือขึ้นไหว้ครูไม่สวยเท่าไรนัก เพราะเด็กน้อยเริ่มจะรู้แล้วว่าที่นี่จะไม่มีมารดาของเธอ"ไหว้สวยๆ ค่ะหนูมาเรียม" ลัลนาเอ็ดมาเรียมเล็กน้อย ซึ่งเป็นการติเพื่อก่อ เมื่อลัลนสต้องการให้เด็กน้อยทำกิริยาให้งดงาม สมกับที่เป็นลูกหลานของบ้านรชนิศภานุพงศ์"ซาหวัดดีคะคุณครู" แม้จะพูดยังไม่ชัดสักเท่าไหร่นัก แต่เด็กหญิงมาเรียมก็พูดออกเสียงรอเรือได้ชัดเจน กว่าพยัญชนะตัวอื่น"สวัสดีค่ะ หนูมาเรียมไหว้สวยมากเลยนะคะ ไปค่ะคุณครูจะพาเอาของไปเก็บ แล้วไปเล่นกับเพื่อนๆ นะคะ""ฝากด้วยนะคะคุณครู""ไม่ต้องห่วงค่ะคุณลัลนา หน้าที่ของคุณครูคือการอบรมดูแลและเอาใจใส่เด็กทุกคนเป็นอย่างดีค่ะ"เมื่อลัลนาส่งมาเรียมเข้าห้องเรียนเสร็จแล้ว เธอก็
แม้ชยันต์รู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเขา แต่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เมื่อเด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ซึ่งเธอโชคร้ายที่มาเกิดในท้องของแชมเปญ เธอเป็นมารดาที่ไม่เคยแม้แต่จะอุ้มลูกด้วยซ้ำตั้งแต่คลอดออกมา แชมเปญได้ลูกสาวชื่อว่าชนัญ แปลว่าว่าคนที่แตกต่าง เพราะเธอแตกต่างจริงๆ เมื่อมีแชมเปญเป็นแม่และชยันต์เป็นพ่อด้วยเหตุผลที่เขาต้องจำยอม ไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ไปได้ เวลาที่เขามองหน้าเด็กน้อยคนนี้ทีไร ทำให้นึกถึงผู้หญิงอีกคน ถ้าลูกของเขายังอยู่ป่านนี้เธอก็คงจะคลอดแล้ว เมื่อนึกถึงเขมิกาทีไร ชยันต์ก็มักเดินเข้าไปในห้องของชรัญเสมอ เพราะของทุกอย่างเขาเก็บมันเอาไว้ที่นี่เพื่อรอให้เขมิกากลับมาทั้งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันคงไม่มีวันจะเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังหลอกตัวเองว่าสักวันเขมิกาจะกลับมาพร้อมกับลูกน้อย เมื่ออยู่ลำพังน้ำตาของลูกผู้ชายอกสามศอกได้ไหลหยดลงมาอีกครั้ง กรอบรูปงานแต่งที่มีเขาเป็นเจ้าบ่าวเขมิกาเป็นเจ้าสาวใบหน้าอันงดงามที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้ชยันต์นึกถึงวันที่เขาพรากทุกอย่างไปจากเธอ ตั้งแต่วันที่เขาเดินเข้ามาในชีวิตของเขมิกา รอยยิ้มนั่นก
บางครั้งความเจ็บปวดมันก็ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังทุกข์ เพราะการเจ็บปวดครั้งนี้มันมาพร้อมกับความสุข รถพยาบาลแล่นเข้ามาหน้าตึกทางเข้าห้องฉุกเฉิน โดยมีหญิงท้องแก่นอนปวดท้องอยู่ภายในรถ ก่อนที่เธอจะถูกพยาบาลและบุรุษพยาบาลพาขึ้นรถเข็นเข้าไปยังห้องคลอด ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวเขมิกากำลังนอนรอให้กำเนิดทารกน้อย ความเจ็บปวดและการบีบรัดบวกกับการหดตัวเป็นจังหวะของมดลูกนั้น มันมีความรุนแรงสม่ำเสมอและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าบวกกับความเจ็บปวดที่บ่งบอกถึงนาทีเป็นนาทีตาย ซึ่งมันเจ็บเกินคำบรรยายใดๆ หากเวลานี้มีบิดาของลูกยืนอยู่ข้างๆ คอยกุมมือให้กำลังใจและซับเหงื่อให้ มันคงจะรู้สึกดีหรืออาจจะบรรเทาความเจ็บปวดลงได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่เวลานี้เขมิกากำลังเผชิญกับความเจ็บปวดนี้เพียงลำพัง เมื่อความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวดีขึ้นเรื่อยๆ นิการู้สึกเจ็บมากที่สุดที่เคยเจ็บมาในชีวิตนี้ ความรู้สึกครั้งนี้ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นมารดา ในวันนั้
อดีตมันคือเรื่องราวของเมื่อวาน..แม้เพิ่งผ่านมาไม่นานจะขอจดจำแต่สิ่งดี บ้านรชนิศภานุพงศ์ คุณหญิงขวัญเรียมนั่งถอนหายใจอยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อเห็นสภาพของลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวตอนนี้ชยันต์ไม่ต่างอะไรกับศพที่เดินได้ หน้าตาที่เคยหล่อเหลาเวลานี้มันรุงรังไปด้วยหนวดเครา เนื้อตัวที่ซูบผอมเสื้อผ้าที่เคยเนี้ยบ คนรีดต้องใช้เวลาและพิถีพิถันเป็นอย่างดีเขาจึงจะสวมใส่แต่เวลานี้เขากลับสวมเพียงแค่เสื้อยืดกางเกงยีนที่ไม่ได้ถอดไปซักเป็นเวลาหลายวันแล้ว มันดูมอซอเสียจนผู้เป็นมารดาแทบทนไม่ได้ กลิ่นน้ำเมาส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลคละคลุ้งไปทั่วร่าง แทนน้ำหอมแบรนด์เนมที่เคยใช้ น้ำที่ไม่ได้ไหลชำระล้างผ่านร่างกายมาหลายวันนั้น ทำให้สภาพของเขาเวลานี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ใครเห็นคงไม่เชื่อแน่ว่าเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อไฟแรง ที่บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่เคยแย่งกันขายขนมจีบ "ชยันต์แกจะหยุดดื่มได้หรือยังแม่ขอเถอะนะ แม่เหลือแกแ