เมื่อทานข้าวเสร็จติณณ์กับมาเรียมทำตัวให้ปกติที่สุด เดินออกมาจากร้านอาหารอย่างใจเย็น ก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปในรถแล้วหยิบปืนออกมาส่งให้มาเรียม "ปืนสองกระบอกกับลูกที่จำกัดหมดแล้วคือหมดเลยไม่มีสำรอง" ติณณ์พูดขณะที่สตาร์ทรถ เตรียมจะขับออกจากร้านอาหาร "ปืนสองกระบอกกับลูกกระสุนประมาณยี่สิบสี่นัดคุณคิดว่าพวกนั้นมากันกี่คนสองโหลพอไหม” ครั้งแรกกับคำถามยาวๆ ของมาเรียม ถ้าไม่ใช่เรื่องเป็นเรื่องตายเธอคงไม่พูดออกมาสินะ เธอก็พอมีความรู้ด้านปืนไม่น้อยหญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดาสมแล้วกับที่เขาสนใจเธอเป็นพิเศษ
view more#การเริ่มต้นบางครั้งมันก็เป็นจุดจบได้เหมือนกัน#
หญิงสาวสวยร่างสูงเพรียวโปร่ง ผิวขาวจมูกโด่งดวงตากลมโตดั่งดวงจันทราที่สว่างไสวยามค่ำคืนเดือนเพ็ญ แต่ภายใต้ดวงตาคู่สวยนั้น มันเริ่มแดงและบวมเป่งอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้างามของเธอนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา บ่งบอกให้รู้ว่าเธอเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เขมิกาเดินเข้ามาช้าๆ ในสถานที่ ซึ่งผู้หญิงหลายคนอยากหนีห่างไปให้พ้นๆ ผู้ชายมาเยือนที่นี่ พวกเขาเหล่านั้นหวังเพียงแค่เชยชมร่างสตรีเท่านั้น ไม่มีใครเห็นค่าหรือเมตตาพวกเธอเลยสักนิด พวกเขาใช้เงินเพื่อแลกกับตัณหาราคะ ซึ่งมันก็ไม่ผิดหากชายพวกนั้นไม่มีภรรยาหรือว่าลูกเมียรออยู่ที่บ้าน
หญิงสาวตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่มีเพื่อนัดเจอ เมื่อเข้ามาถึงด้านในก็มีคนมารับและพาเธอไปยังห้องของหญิงที่ถูกนัดเอาไว้ เมื่อเปิดประตูเข้าไปเพียงแค่สบตาและพบหน้า ทั้งสองก็วิ่งเข้าสวมกอดกันทันที พร้อมทั้งเสียงสะอื้นดังระงมไปทั่วทั้งห้อง
"มันเกิดอะไรขึ้นกับแกเขมิกา แกหยุดร้องก่อน! ยังไงแกก็ยังมีฉันฉันคนนี้ไม่มีวันทิ้งแก" ลัลนาพูดปลอบพร้อมทั้งโอบกอดเพื่อนรักเอาไว้แน่น
"ลัลนาเขมไม่ไหวแล้ว คนที่เขมแต่งงานด้วยไม่ใช่ชรัญ! เขาหลอกเขมมาโดยตลอด ทำไมเขมถึงโง่อย่างนี้ แค่นี้ก็ดูไม่ออกว่าเขาไม่ใช่ชรัญ!" เขมิกาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือก่อนจะร้องไห้โฮออกมาไม่หยุด
“ฮึก! ฮือ ฮื้อ! เขมโง่เอง” เธอร้องไห้จนตัวโยนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ภายใต้อ้อมกอดของเพื่อนสาวคนสนิท ความขมขื่นที่ได้รับ เธอต้องแต่งงานกับชายอื่นมาเป็นแรมปี แต่นั่นมันไม่เท่าเหตุผลที่เขาแต่งงานกับเธอ เมื่อชรัญฆ่าตัวตายโดยทิ้งปมเอาไว้ รูปของเขมิกาเกลื่อนเต็มห้อง ทำให้ชยันต์แฝดผู้น้องของเขาคิดว่าสาเหตุการฆ่าตัวตายของพี่ชายคือเขมมิกา ซึ่งเธอนั้นไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
เขมิกาเล่าเรื่องราวทั้งหมด ให้กับลัลนาฟังทั้งน้ำตา แต่แล้วอยู่ๆ ร่างขาวสูงโปร่งก็ได้ทรุดลงไปกองกับพื้น โดยมีลัลนารับไว้ทัน ก่อนที่ก้นของเธอจะกระแทกกับพื้นกระเบื้องแข็ง
"เฮ้ย! เขม! เขมิกาแกเป็นอะไรไปเนี่ย ใครอยู่ข้างนอกบ้างเข้ามาช่วยกันเร็ว!" เด็กๆ ของลัลนาเข้ามาช่วยยกเขมิกาไปนอนบนเตียง เธออ่อนล้าหมดแรงจากการเดินทางทั้งวัน ร่างที่นอนอยู่บนเตียงอย่างน่าสมเพชนั้น ใครจะรู้ว่าเธอต้องแบกรับชะตากรรมกับสิ่งที่เธอไม่ได้เป็นผู้กระทำเลยแม้แต่น้อย
ผู้ชายที่ทำตัวราวกับเทพบุตรมาเป็นแรมปี ก่อนจะกลายร่างเป็นอสุรกาย เมื่อเขารู้ว่าร่างกายและหัวใจของเธอ ยกให้ผู้ชายอย่างเขาเพียงคนเดียวไปจนสิ้น ชายหนุ่มไม่รอช้าเขาทำทุกอย่าง เพื่อให้เธอเจ็บปวดลึกสุดใจ เท่าที่จะทำได้
ลัลนาเอาผ้าเย็นมาซับหน้า ให้กับเพื่อนรักของเธออย่างเบามือ ซึ่งเธอพอจะเดาเหตุการณ์ได้ เขมิกากำลังผ่านอะไรมา เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่ประถมและโตมาด้วยกัน เขมิกาค่อนข้างมีฐานะถือว่าร่ำรวยเลยก็ว่าได้ แต่เธอก็ไม่เคยรังเกียจลัลนาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นค่าเทอม ค่าที่พักค่าอาหาร เขมิกามักออกให้ลัลนาก่อนเสมอ โดยที่ไม่เคยทวงถามหรือขอให้ทำอะไรตอบแทนเลยแม้แต่น้อย
จวบจนกระทั่งวันที่ครอบครัวของเขมิกาล้มละลาย พ่อกับแม่ของเธอได้ฆ่าตัวตายไปทั้งคู่ ทำให้เขมิกาต้องเผชิญกับโลกกว้างเพียงลำพังอย่างอดสูน่าหดหู่ใจ แต่เธอก็เข้มแข็งผ่านมันมาได้
จนวันที่เธอได้เป็นผู้หญิงที่อยู่บนข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ในวันที่เธอแต่งงานกับลูกชายของตระกูลรชนิภานุพงศ์ผู้ดีเก่าแก่และร่ำรวยติดอันดับของประเทศใครๆ ต่างก็อิจฉาเขมิกา อย่างน้อยในความโชคร้าย เธอก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ที่ได้ผู้ชายแบบชรัญที่คบหาดูใจกันมานานเป็นคู่ชีวิต แต่ใครจะรู้ภายใต้คราบของชรัญนั้น เป็นชยันต์แฝดผู้น้อง คนที่หยิบยื่นความเจ็บปวดมาให้กับเธอ
เขมิกาค่อยๆ ลืมตาขึ้น น้ำตาของเธอไหลรินออกมาอีกครั้ง ความจริงมันไหลจนไม่มีจะให้ไหลแล้วด้วยซ้ำ เธอค่อยๆ ขยับแล้วหลับลงอย่างช้าๆ ก่อนจะหายใจเข้าออกลึกๆ
"ลัลนา เขมไม่คิดเลยว่า เขาจะเป็นคนเลวได้ถึงเพียงนี้ เขาพาผู้หญิงเข้าบ้าน ในแต่ละวันไม่ซ้ำหน้า แต่นั่นมันก็ไม่เท่ากับสิ่งที่เขาสั่งให้เขมไปทำ เขาให้เขมไปทำแท้ง เขาสั่งให้เขมฆ่าลูกตัวเอง! ฮือ! ฮื้อ! ต้องเลวแค่ไหน ถึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้ ทำไมจิตใจเขาถึงได้เลวทรามต่ำช้าผิดมนุษย์มนา เขาไม่ใช่คน! แต่เขาคืออสุรกายลัลนา! เขาก็อสุรกาย”
เขมิกาพูดพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายออกมา ทำให้ลัลนานั่งขยับเข้าใกล้แล้วก้มลงโอบกอดเพื่อนรักเอาไว้ ทำไมชีวิตของเขมิกาถึงได้เผชิญกับเรื่องเลวร้ายเพียงนี้ ทำไมคนดีๆ ถึงต้องเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดครั้งแล้วครั้งเล่า
"ตอนนี้เข็มท้องได้กี่เดือนแล้วไม่เป็นไรนะ" ลัลนาเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
"เขมท้องได้สามเดือนแล้ว"
"เขมพักอยู่ที่นี่กับนาก่อน แล้วค่อยขยับขยาย หรือว่าเขมจะรอคลอดก่อน แล้วเราค่อยมาคิดหาทางออกกันอีกทีก็ได้"
"ขอบคุณมากนะนา ชีวิตเขมไม่เหลือใครแล้ว เขมทำกรรมอะไรไว้ ทำไมต้องมารับกรรมที่เขมไม่ได้เป็นคนก่อด้วย ลูกที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ต้องพลอยโดนชะตากรรมเล่นงานไปด้วยอีกคน โลกใบนี้ช่างไร้ความยุติธรรม” เขมิกาพูดพร้อมกับก้มลงไปเอามือลูบเบาๆ ที่หน้าท้องของตัวเอง น้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ใครจะรู้ว่าชีวิตของเธอจะอาภัพเช่นนี้
"หยุดร้องได้แล้ว หิวข้าวไหม เดี๋ยวนาจะให้เด็กไปซื้อมาให้ ยังไงก็ต้องกิน ลูกในท้องจะได้แข็งแรงอย่าคิดมาก เขมจะเป็นแม่คนแล้วนะต้องทำเพื่อลูกรู้หรือเปล่า" เขมิกาเพียงแค่พยักหน้าให้กับลัลนา ยังไงเธอก็ต้องเข้มแข็งเพื่อลูก
เมื่อเพื่อนรักเดินออกจากห้องไป เขมิกาก้มหน้าลงกับเข่าที่ตั้งชันขึ้น เมื่อเธอคิดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่มีร่วมกับเขา มันยากมากสำหรับเธอกับการจะลืมใครสักคน ที่เข้ามาเติมเต็มในช่วงชีวิตที่เคว้งคว้างไม่มีใคร แต่เมื่อนึกถึงอีกด้านของเขาทีไร การที่เขากระทำระยำกับเธอ มันไม่ต่างอะไรเลยกับการที่เขาเอามีดมากรีดที่ขั้วหัวใจ มันปวดหนึบ เมื่อภาพที่เขาพาหญิงอื่นมาคลอเคลียกอดจูบลูบคลำบนเตียงที่เธอเคยนอน ที่ชอกช้ำสุดใจ เมื่อเขาพาหญิงอื่นมา
ถ้าเธอไม่ยอมออกไป เขาก็จะแสดงหนังสดให้เธอดูทุกครั้ง มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน เธอ แทบทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหว เขมิกาเกือบทำอะไรบ้าๆ ลงไป เธอเกือบฆ่าตัวตาย เพียงเพราะหัวใจโดนเขาเหยียบย่ำ และกระทืบซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องขอบคุณลูกน้อยในครรภ์ ที่ทำให้เธอคิดได้ เด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ลูกไม่สมควรตาย เพราะอารมณ์ชั่ววูบของผู้เป็นมารดา
ในเวลานี้ลูกคือสิ่งเดียวและความหวังเดียวที่ทำให้เธออยากมีชีวิตอยู่ต่อ เธอไม่อาจรู้ได้ว่าวันข้างหน้าจะต้องเผชิญกับอะไร ที่มันหนักหนาสาหัสมากไปกว่าวันนี้ไหม แต่เธอก็ยังคิดว่าวันพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าเมื่อวานยังไงเธอก็ต้องอยู่ต่อให้ได้ ตราบาปบริสุทธิ์ในครรภ์นี้จะต้องเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์และแข็งแกร่ง เมื่อโลกใบนี้มันโหดร้ายกับคนอ่อนแอ ลูกของเธอต้องมีภูมิคุ้มกันรู้เท่าทันคน
เวลาผ่านไปสามปีกว่า มาเรียมได้ให้กำเนิดลูกสาวคน ชื่อว่ามาติยา ดวงหน้าและแววตาของหนูน้อยมีความคล้ายคลึงเขมิกามารดาของเธอมาก ใครเห็นต่างก็รักและเอ็นดู เพราะมาติยาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายไม่งอแง ซึ่งวันนี้เป็นวันหยุด ในช่วงบ่ายแก่ๆ มาเรียมและติณณ์ได้พาลูกสาวไปเล่นกับคุณตาและคุณทวดที่บ้านรชศภานุพงศ์ ส่วนชนัญหลังจากที่บิดาให้ไปเรียนรู้งานกับตุลย์พี่ชายของติณณ์ความใกล้ชิด ทำให้คนทั้งคู่ตกหลุมรักกัน จากนั้นในปีถัดมาคนทั้งสองได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน จนตอนนี้ชนัญตั้งครรภ์ท้องแก่ กำหนดคลอดต้นเดือนหน้านี้แล้ว ซึ่งหญิงสาวยังคงอยู่ที่บ้านรชศภานุพงศ์ เพราะมาเรียมได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของติณณ์ จึงทำให้พี่ชายของเขาต้องจำใจย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แทน เนื่องจากชยันต์ไม่ยอมให้ลูกสาวอีกคนย้ายออกไปทางด้านแชมเปญหลังจากที่ชยันต์วิ่งเต้นประกันตัวให้ออกมาห้องขัง หล่อนได้ย้ายออกไปอยู่คอนโดใช้ชีวิตเพียงลำพัง เพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับชยันต์ให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อกันอีก แต่ชนัญก็ได้แวะเวียนไปหามารดาของเธอบ่อยๆ เพราะกลัวว่าแชมเปญจะเหงา ที่ต้องไปอยู่อย่างโดเดี่ยวแบบนั้น เพราะตั้งแต่นายทรงพลบิดาของเธอเ
"คุณสวยมากรู้ตัวหรือเปล่ามาเรียม ตรงนี้เป็นของผม ตรงนี้เป็นของผม และตรงนี้มันก็เป็นของผม ตัวของคุณทุกซอกทุกมุมเป็นของผม เพียงคนเดียว" ติณณ์ใช้สายตากวาดมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของภรรยาด้วยความรู้สึกเสน่หา พร้อมกับจับตรงนั้นตรงนี้จนมาเรียมรู้สึกเขินอายแทบจะมุดลงใต้เตียงแล้วในตอนนี้"ผมรักคุณจัง" ติณณ์พูดออกมาพร้อมกับจับมาเรียมนอนราบลงไปกับเตียง ขณะชายหนุ่มได้เข้าไปคร่อมร่างอรชรเอาไว้ ทั้งสองจ้องมองไปที่ดวงตาของกันและกัน ซึ่งเวลานี้มันได้หวานหยาดเยิ้ม ใบหน้าหวานกับเรียวปากอวบอิ่มที่ถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยลิปสติกสีแดง ทำให้หญิงสาวแลดูเซ็กซี่และเย้ายวนเกินห้ามใจ"มาเรียมก็รักคุณค่ะ" หญิงสาวบอกรักชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่เขินอาย เมื่อสายตาคมของเขาจ้องมองลงต่ำไปหยุดที่ทรวงอกเปลือยเปล่าของเธอ"แม่บอกว่าอยากอุ้มหลานแล้ว คืนนี้จัดเต็มนะที่รัก" เสียงทุ้มของชายหนุ่มกระซิบลงไปที่ข้างหูของภรรยา ก่อนที่เขานั้นจะซุกไซ้ใช้ปลายจมูกคม กดลงไปที่ลำคอระหง พร้อมกับพรมจูบลงไป ติณณ์ใช้ปลายลิ้นลากเลียลงมาที่เม็ดบัวอมชมพู พร้อมกับใช้มือเคล้นคลึงเบาๆ"อืม...อ๊า คุณติณณ์ขา" หญิงสาวร้องเรียกชายหนุ่มออกมา เมื่อปลายล
วันเวลาผ่านไป งานแต่งระหว่างมาเรียมกับติณณ์ ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้คนหลายร้อยพันมาเป็นสักขีพยาน ทุกคนล้วนแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ ที่ได้เป็นฝั่งเป็นฝาสมใจสักที ชนัญก็มาร่วมงานนี้ด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคนละสายเลือด เริ่มสนิทและคุ้นเคยรักกันไม่ต่างพี่น้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา คนที่สุขใจที่สุดเห็นจะเป็นชยันต์บิดาของมาเรียม เมื่อเขานั้นไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเรื่องราวดีๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเขา เมื่อลูกสาวทั้งสองรักใคร่ปรองดองกัน แม้ชนัญจะไม่มีสายเลือดของเขาสักหยด แต่ชยันต์ก็รักไม่ต่างจากมาเรียม เพราะเขาเป็นคนเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก ส่วนมาเรียมนั้นไม่ต้องบอกเขารักลูกสาวคนนี้ โดยไร้เงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น"ขอให้ทั้งสองครองรักกัน ตราบชั่วนิรันดรขอให้แต่ละวันคืนในชีวิตคู่เป็นวันที่แสนพิเศษ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กันนะลูก ย่ารักหนูนะมาเรียม" หญิงสูงวัยอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว ก่อนที่ทั้งสองจะลงก้มลงกราบที่เท้าด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ"ขอบคุณนะคะคุณหญิงย่า มาเรียมก็รักคุณหญิงย่านะคะ" มาเรียมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับหญิงสูงวัย ด้วยความรู้สึกรัก แม้จะเข้ามาอยู่ในบ้านรชนิศนุพงศ์ได้ไม่นาน แต่ควา
ณ บ้านรชนิศภานุพงศ์วันนี้ชยันต์ได้ออกจากโรงพยาบาล คุณหญิงขวัญเรียมได้จัดแจงให้แม่บ้านทำอาหารไว้ต้อนรับลูกชาย ซึ่งสิ่งที่หญิงสูงวัยมีความสุขมากที่สุด นั่นคือการที่มาเรียมและบิดาได้ปรับความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนชนัญยังคงเก็บตัวเงียบ เธอไม่สนใจโลกภายนอกตั้งแต่วันนั้นที่เกิดเรื่อง ชนัญลงมาทานข้าวแล้วขึ้นห้องเธอทำแบบนี้ตั้งแต่แชมเปญถูกจองจำ และที่น่าสมเพชไปยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครไปเยี่ยมมารดาเธอเลยสักครั้ง แชมเปญคงต้องอยู่ในนั้นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เหมือนดั่งที่เขมิกาเคยใช้ชีวิตอย่างลำพัง พร้อมกับความยากลำบากแสนเข็ญ คนที่พูดปดมดเท็จไปทั่วแย่งสามีชาวบ้านอย่างแชมเปญ ผลของกรรมเหล่านั้นกำลังจะตามเธอทัน เหมือนดั่งที่เขมิกาเคยได้รับ แต่แชมเปญคงเจ็บปวดกว่าหลายเท่า เมื่อเธอต้องไร้ซึ่งอิสรภาพและต้องตกอยู่ในสถานที่แบบนั้น อีกไม่นานศาลชั้นต้นก็คงจะพิพากษาแชมเปญ ที่มีได้กระทำความผิด แน่นอนเธอคงได้นอนอยู่ในกรงขังนานหลายปี เมื่อไม่มีใครไปประกันตัวซึ่งอีกคนที่ได้รับกรรมครั้งนี้อีกคนคือชนัญ เมื่อเธอรู้ความจริงหมดทุกอย่างแล้วสิ้น ชยันต์ไม่ใช่บิดาแท้ๆ แม้เขาจะดูแลเธอมาทั้งชีวิต และมันคงถึงเวลา
ภายใต้ห้องสี่เหลี่ยมที่มีชายวัยกลางคนนอนหลับใหล ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนเขาถึงจะตื่นฟื้นขึ้นมา หมอบอกว่าชยันต์บิดาของเธอพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มาเรียมคลายความกังวลลงเลยแม้แต่น้อย เมื่อชยันต์ยังคงนอนเป็นผักอยู่แบบนี้มาหลายวันแล้ว"ทานอะไรบ้างสิมาเรียม คุณต้องเข้มแข็งหากคุณอาชยันต์ฟื้นขึ้นมา คุณจะเอาแรงจากไหนมาดูแลพ่อ" คำพูดของติณณ์ไม่ได้เข้ามาอยู่ในหูของมาเรียมเลยสักนิด หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เธอกุมมือผู้เป็นบิดาเอาไว้นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จนฝ่ามือของคนทั้งสองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ“นี่ก็หลายวันแล้ว พ่อควรฟื้นได้แล้วนะคะ ทุกคนเป็นห่วงพ่อมาก มาเรียมเองก็เป็นห่วงอยากให้พ่อกลับมา กลับมาเป็นพ่อของมาเรียมเถอะนะคะ" มาเรียมพูดพร้อมกับเอามือของชยันต์ขึ้นมาแนบไว้ที่แก้มนวลของเธอ ก่อนที่น้ำตาใสๆ จะไหลหยดลงใส่หลังมือของผู้เป็นบิดา สายใยความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก คงไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้น แต่มาเรียมกับชยันต์สองพ่อลูกช่างมีอุปสรรคเหลือเกินเมื่อเธอมุ่งแต่จะเอาคืนผู้เป็นบิดา จนลืมนึกถึงความถูกต้อง หญิงสาวเกือบพลั้งมือทำลายบริษัท ที่บิดานั้นเก็บรักษาเอาไว้ให้เธอ แต่นั่นมันก็ไ
ซึ่งความรู้สึกผิดที่มาเรียมมีต่อบิดานั้น ไม่ได้เกิดมาจากการที่เขายกสมบัติอะไรนั่นให้เธอเลยสักนิด แต่มันเกิดจากความรู้สึกผิด ที่บิดานั้นต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทำของเขาที่มีต่อแม่เขมิกามาโดยตลอด แต่พอมาเรียมเดินเข้ามาในชีวิตของชยันต์ ไม่ต่างอะไรกับที่เธอนั้นใช้มีดกรีดลงไปซ้ำที่แผลเดิม"ใจเย็นไม่ร้องนะครับคนดี คุณอาชยันต์ต้องปลอดภัยเชื่อผม แม่เขมิกาคงไม่อยากเอาพ่อของมาเรียมไปอยู่ด้วยหรอก เพราะแม่อยากให้คุณอาชยันต์ดูแลมาเรียมมากกว่า" คำพูดของติณณ์แม้จะเป็นเพียงแค่คำปลอบโยน มาเรียมก็ได้แต่ภาวนาหากดวงวิญญาณมีจริง ก็ขอให้แม่เขมิกาปกป้องให้บิดากลับมาอย่างปลอดภัย เพราะเธอยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับมารดาอยากจะเล่าให้บิดาฟัง ซึ่งเขมิกาก็ไม่เคยให้ใจใครไปเช่นกัน ความรักที่นางมีให้กับชยันต์นั้น มันยังมั่นคงตราตรึงตราบจนนางสิ้นลมหายใจ"พ่อของมาเรียมเป็นคนดี เคยได้ยินไหมคนดีผีคุ้ม ยังไงก็ต้องปลอดภัย" เมฆเพื่อนเพียงคนเดียวที่ไม่เคยทอดทิ้งมาเรียมไปไหนตั้งแต่เล็กจนโต และคงไม่มีใครเป็นเพื่อนแท้เท่าเมฆได้อีกแล้ว แม้ยามสุขหรือยามทุกข์เขาก็มักจะอยู่ข้างๆ มาเรียมเสมอ"ขอบใจมากนะเมฆ" มาเรียมพูดออกมา ขณ
Mga Comments