เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป การเปิดภาคเรียนใหม่ก็มาถึง เด็กหญิงมาเรียมหน้าตาบ้องแบ๊ววัยน่ารัก เดินเข้ามาในโรงเรียน พร้อมกับมารดาที่ชื่อว่าลัลนา ทำให้ผู้ปกครองบางคนที่รู้ถึงอาชีพของเธอต่างมองมาอย่างเหยียดๆ แต่ลัลนาก็ไม่สนใจ
"สวัสดีค่ะคุณครู" ลัลนาพูดพร้อมทั้งพนมมือไหว้ทักทายคุณครู ซึ่งคุณครูเองก็รีบรับไหว้พร้อมทั้งยิ้มกว้างให้กับทั้งสองอย่างเป็นกันเอง
"สวัสดีค่ะคุณลัลนา หนูมาเรียม" มาเรียมยกมือขึ้นไหว้ครูไม่สวยเท่าไรนัก เพราะเด็กน้อยเริ่มจะรู้แล้วว่าที่นี่จะไม่มีมารดาของเธอ
"ไหว้สวยๆ ค่ะหนูมาเรียม" ลัลนาเอ็ดมาเรียมเล็กน้อย ซึ่งเป็นการติเพื่อก่อ เมื่อลัลนสต้องการให้เด็กน้อยทำกิริยาให้งดงาม สมกับที่เป็นลูกหลานของบ้านรชนิศภานุพงศ์
"ซาหวัดดีคะคุณครู" แม้จะพูดยังไม่ชัดสักเท่าไหร่นัก แต่เด็กหญิงมาเรียมก็พูดออกเสียงรอเรือได้ชัดเจน กว่าพยัญชนะตัวอื่น
"สวัสดีค่ะ หนูมาเรียมไหว้สวยมากเลยนะคะ ไปค่ะคุณครูจะพาเอาของไปเก็บ แล้วไปเล่นกับเพื่อนๆ นะคะ"
"ฝากด้วยนะคะคุณครู"
"ไม่ต้องห่วงค่ะคุณลัลนา หน้าที่ของคุณครูคือการอบรมดูแลและเอาใจใส่เด็กทุกคนเป็นอย่างดีค่ะ"
เมื่อลัลนาส่งมาเรียมเข้าห้องเรียนเสร็จแล้ว เธอก็เดินตรงมาที่รถ แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อพบว่าคนที่เปิดรถลงมาคือชยันต์ และก็ต้องแปลกใจที่มีเพียงชยันต์กับลูกลงมาจากรถ แม่ของลูกกลับนั่งตากแอร์รออยู่ที่รถนั่นไม่ยอมลงมาด้วย ความจริงแล้วลัลนาไม่ต้องแอบก็ได้ เพราะชยันต์ไม่รู้จักเธอ ลัลนาไม่ได้ไปงานแต่งของชยันต์กับเขมิกา และไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน นั่นคือเหตุผลที่เขมิกาไว้วางใจ ที่จะให้ลัลนาเป็นคนรับส่งมาเรียม เมื่อชยันต์เดินเข้าไปในโรงเรียน ลัลนาจึงรีบก้าวขึ้นรถและขับออกจากโรงเรียนมุ่งหน้าสู่สถานเริงรมย์
~โรงเรียน~ "นี่เธอชื่ออะไร" มาเรียมมองเด็กชายอย่างสงสัย เพราะเธอไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน ส่วนมากจะอยู่แต่กับแม่เขมิกาแม่ลัลนา แล้วก็ป้าน้าอาที่สถานเริงรมย์เท่านั้น ทำให้เธอยังคงก้มหน้าอยู่กับของเล่น ไม่สนใจคำถามเมื่อสักครู่
"เธอชื่ออะไรเราชื่อเมฆนะ" มาเรียมเงยหน้ามองเด็กชายอีกครั้ง ในความรู้สึกของเด็กหญิงในเวลานี้นั้น คือคำว่าเพื่อน ที่มารดาเคยบอกมันหมายถึงการแบ่งปัน การคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าจะเป็นยามทุกข์หรือยามสุขก็ตามที
"เราชื่อมาเรียม" มาเรียมพูดทั้งที่ยังก้มหน้าเล่นตัวต่อจิ๊กซอว์ การมีเพื่อนมันเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเด็กหญิงอย่างมาเรียมมาก เพราะเธอโตมากับห้องสี่เหลี่ยม แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย เธอจึงยังไม่ชินกับสังคมแบบนี้
"ชื่อมาเรียมเหรอ ชื่อเพราะจังเลย วันนี้ใครมาส่งมาเรียม คุณพ่อหรือคุณแม่ล่ะ" คำถามของเด็กชายเมฆ ทำให้มาเรียมหยุดชะงัก คำว่าพ่อมาเรียมแทบจะไม่ได้สัมผัสและไม่เคยได้ยินมารดาพูดถึง แต่เด็กที่ฉลาดอย่างเธอก็พอจะรู้ความหมายของคำว่าพ่ออยู่บ้าง
หลังเลิกเรียนแม่ลัลนามารับกลับและส่งเด็กหญิงมาเรียมถึงห้อง ก่อนที่เธอจะรีบเดินออกไป เพราะมีสายเรียกเข้าของแขกคนสำคัญเข้ามาพอดี ขณะที่เขมิกากำลังง่วนอยู่กับการทำงานบ้าน
เมื่อถึงบ้าน สิ่งแรกที่เด็กหญิงมาเรียมสงสัยมาทั้งวัน นั่นคือพ่อของเธอหายไปไหน ทำไมถึงมีแต่แม่ มาเรียมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ผู้ให้กำเนิด ก่อนจะไหว้ทักทายและถามขึ้น
"สวัสดีค่ะคุณแม่ แม่คะพ่อของมาเรียมหายไปไหน" คำถามของมาเรียม ทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับเจ็บจี๊ดที่อกข้างซ้าย เพิ่งไปโรงเรียนวันแรกมาเรียมก็ได้คำถามนี้มาแล้ว แม้ว่าเขมิกาเตรียมตั้งรับไว้ก่อนหน้าแล้วก็ตามที แต่ความรู้สึกลึกๆ มันก็อดที่จะเจ็บปวดแทนลูกสาวไม่ได้ ที่เธอไม่มีบิดาเหมือนกับคนอื่นเขามีกัน
เขมมิกาจูงแขนลูกสาวไปที่โซฟา เธออุ้มลูกน้อยขึ้นมานั่งที่ตัก ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มซ้ายขวา พร้อมกับส่งยิ้มกว้างให้กับมาเรียม เพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกให้ลูกรู้ว่าเธอจะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้เอง
"แม่จะเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้หนูเองนะ ไม่ต้องกลัว แม่จะปกป้องลูกเอง ถ้าใครถามว่าพ่อของลูกอยู่ที่ไหน มาเรียมบอกเขาไปว่าพ่อของหนูอยู่บนท้องฟ้า พ่อเป็นเทวดาอยู่ที่ดวงดาวดวงใดสักดวงที่ไกลแสนไกล แต่พ่อก็มองมาที่หนูเสมอนะ" เขมิกากำลังโกหกลูกสาว ซึ่งเธอคิดว่านั่นมันคือทางออกที่ดีที่สุด
"ถ้าหนูคิดถึงพ่อ หนูต้องมองไปที่ท้องฟ้า ที่มีดาว พ่อจะมาหาหนูตอนกลางคืนเหรอคะ"
"ใช่แล้วจ้า"
"กลางวันพ่อก็มองไม่เห็นหนู เพราะว่าไม่มีดาวมีแต่พระอาทิตย์"
"กลางวันเราต่างหากที่มองไม่เห็นพ่อ แต่พ่อมองมาที่หนูตลอดเลยนะ"
"หนูเข้าใจแล้วค่ะ พ่อจะมองมาที่หนูเสมอ หนูรักแม่นะคะ" เขมิกาโอบเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมกอด เธอได้แต่หวังว่าความรักทั้งหมดของเธอที่มีนั้น จะสามารถทดแทนสิ่งที่ขาดหายให้กับมาเรียมได้
เมื่อเขมิกาอธิบายทุกอย่างให้เด็กน้อยที่พอจะเข้าใจอยู่บ้าง จากนั้นมาเรียมก็นั่งลงที่พื้นตั้งหน้าตั้งตาเล่นของเล่นต่อตามประสาของเด็ก หลังจากลูกน้อยจับจ้องอยู่แต่การเล่นของเล่นทำให้เขมิการีบเช็ดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ เวลานี้มันไหลอาบแก้มสองข้าง สุดที่จะห้ามไว้ได้ เธอไม่รู้เลยว่าในอนาคตข้างหน้ามาเรียมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เด็กน้อยจะผ่านมันไปได้ไหม เธอจะสร้างภูมิคุ้มกันและเกราะกำบังให้กับลูกได้นานและดีแค่ไหน เขมิกาได้แต่หวังว่าลูกสาวของเธอจะแข็งแกร่ง จนสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ในวันที่ไม่มีเธอ
ใครเล่าจะรู้กับความระทมที่มี เมื่อชีวิตถูกกำหนดมาให้เป็นเช่นนี้ เด็กน้อยกลับมาจากโรงเรียน เธอพบเพียงห้องว่างเปล่า มาเรียมมองซ้ายแลขวาหามารดาผู้ให้กำเนิด จนลัลนาอดที่จะสงสารไม่ได้ เมื่อเด็กตัวแค่นี้ต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ลัลนาได้แต่หวังว่าอนาคตของมาเรียม โชคชะตาคงไม่เล่นตลกเหมือนกับที่มารดาของเธอพบเจอมา"มาเรียมคืนนี้อยู่กับแม่นานะ แม่เขมไปทำงานพรุ่งนี้เช้าก็กลับ""แม่เขมทำงานที่ไหนคะ ทำไมถึงทำตอนกลางคืน แม่เขมบอกว่าตอนกลางคืนมันอันตราย" คำถามของมาเรียมทำให้ลัลนาถึงกับสะอึก ทุกคนต่างพร่ำสอนให้มาเรียมเป็นเด็กดี ผ้าขาวผืนนี้ใครจะระบายสีอะไรลงไป จะสวยงามแค่ไหนมันคงอยู่ที่คนแต่งแต้ม อย่างน้อยมาเรียมก็โชคดีที่คนแต่งแต้มสีลงไปเป็นเขมิกา มารดาที่รักลูกปานดวงใจ คอยผลักดันส่งเสริมให้หนูน้อยมีอนาคตที่สดใจ แม้ว่าตัวเธอต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตามที"แม่เขมไปทำงาน ไปร้องเพลง มาเรียมไปอาบน้ำนะคะคนเก่ง จะได้มาทานข้าวเย็นด้วยกัน""ค่ะ แม่นา" มาเรียมเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่ลัลนากลับรู้สึกผิด เมื่อสิ่งที่พูดไปนั้นมันคือการโกหก ซึ่งมาเรียมเป็นเด็กฉลาด การปกปิดเรื่องนี้คงทำได้เพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
บนเส้นทางที่มืดมนคงไม่อับจนไร้สิ้นซึ่งทางเดิน วันนี้เขมิกาขอติดรถมาส่งลูกสาวด้วย ลัลนาก็ไม่ได้แย้งอะไร เพราะความเป็นจริงแล้วก็อยากให้เขมิกาได้ไปส่งลูกบ้าง อย่างน้อยมาเรียมก็จะรู้สึกอบอุ่นที่มีมารดามาส่งเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง เมื่อมาถึงโรงเรียน เขมิกาขอรอในรถไม่ต้องเอ่ยถึงเหตุผล เพื่อนอย่างลัลนาก็เข้าใจดี"เป็นเด็กดีนะคะเชื่อฟังคุณครูรู้ไหมลูก""ค่ะ สวัสดีค่ะ หนูไปแล้วนะคะคุณแม่" เด็กน้อยพูดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ก่อนจะเข้าไปสวมกอดผู้เป็นมารดา จากนั้นจึงลงจากรถไปพร้อมกับลัลนา ก่อนจะโบกมือลามารดาของเธอ ซึ่งเขมิกานั่งอยู่ในรถที่ติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบ ทำให้คนที่มองเข้ามาไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใคร แต่คนอยู่ด้านในสามารถมองออกไปเห็นคนด้านนอกอย่างชัดเจนรถคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบกับคันที่เขมิกานั่งอยู่ ผู้ชายร่างกำยำที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี ค่อยๆ เปิดประตู พร้อมกับอุ้มเด็กหญิงหน้าตาน่ารักวัยเดียวกับมาเรียมลงมาจากรถ ก่อนจะมีผู้หญิงสาวสวยก้าวเท้าตามลงมา สามคนพ่อแม่ลูกเดินเข้าไปภายในโรงเรียน โดยมีสายตาของเขมิกาทอดมองไปยังสามคนจนลับตา ด้วยความรู้สึกชอกช้ำในอุราเมื่อเขมิกานั่งมองภาพตรงหน้า
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป การเปิดภาคเรียนใหม่ก็มาถึง เด็กหญิงมาเรียมหน้าตาบ้องแบ๊ววัยน่ารัก เดินเข้ามาในโรงเรียน พร้อมกับมารดาที่ชื่อว่าลัลนา ทำให้ผู้ปกครองบางคนที่รู้ถึงอาชีพของเธอต่างมองมาอย่างเหยียดๆ แต่ลัลนาก็ไม่สนใจ"สวัสดีค่ะคุณครู" ลัลนาพูดพร้อมทั้งพนมมือไหว้ทักทายคุณครู ซึ่งคุณครูเองก็รีบรับไหว้พร้อมทั้งยิ้มกว้างให้กับทั้งสองอย่างเป็นกันเอง"สวัสดีค่ะคุณลัลนา หนูมาเรียม" มาเรียมยกมือขึ้นไหว้ครูไม่สวยเท่าไรนัก เพราะเด็กน้อยเริ่มจะรู้แล้วว่าที่นี่จะไม่มีมารดาของเธอ"ไหว้สวยๆ ค่ะหนูมาเรียม" ลัลนาเอ็ดมาเรียมเล็กน้อย ซึ่งเป็นการติเพื่อก่อ เมื่อลัลนสต้องการให้เด็กน้อยทำกิริยาให้งดงาม สมกับที่เป็นลูกหลานของบ้านรชนิศภานุพงศ์"ซาหวัดดีคะคุณครู" แม้จะพูดยังไม่ชัดสักเท่าไหร่นัก แต่เด็กหญิงมาเรียมก็พูดออกเสียงรอเรือได้ชัดเจน กว่าพยัญชนะตัวอื่น"สวัสดีค่ะ หนูมาเรียมไหว้สวยมากเลยนะคะ ไปค่ะคุณครูจะพาเอาของไปเก็บ แล้วไปเล่นกับเพื่อนๆ นะคะ""ฝากด้วยนะคะคุณครู""ไม่ต้องห่วงค่ะคุณลัลนา หน้าที่ของคุณครูคือการอบรมดูแลและเอาใจใส่เด็กทุกคนเป็นอย่างดีค่ะ"เมื่อลัลนาส่งมาเรียมเข้าห้องเรียนเสร็จแล้ว เธอก็
แม้ชยันต์รู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเขา แต่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เมื่อเด็กไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ซึ่งเธอโชคร้ายที่มาเกิดในท้องของแชมเปญ เธอเป็นมารดาที่ไม่เคยแม้แต่จะอุ้มลูกด้วยซ้ำตั้งแต่คลอดออกมา แชมเปญได้ลูกสาวชื่อว่าชนัญ แปลว่าว่าคนที่แตกต่าง เพราะเธอแตกต่างจริงๆ เมื่อมีแชมเปญเป็นแม่และชยันต์เป็นพ่อด้วยเหตุผลที่เขาต้องจำยอม ไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ไปได้ เวลาที่เขามองหน้าเด็กน้อยคนนี้ทีไร ทำให้นึกถึงผู้หญิงอีกคน ถ้าลูกของเขายังอยู่ป่านนี้เธอก็คงจะคลอดแล้ว เมื่อนึกถึงเขมิกาทีไร ชยันต์ก็มักเดินเข้าไปในห้องของชรัญเสมอ เพราะของทุกอย่างเขาเก็บมันเอาไว้ที่นี่เพื่อรอให้เขมิกากลับมาทั้งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันคงไม่มีวันจะเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังหลอกตัวเองว่าสักวันเขมิกาจะกลับมาพร้อมกับลูกน้อย เมื่ออยู่ลำพังน้ำตาของลูกผู้ชายอกสามศอกได้ไหลหยดลงมาอีกครั้ง กรอบรูปงานแต่งที่มีเขาเป็นเจ้าบ่าวเขมิกาเป็นเจ้าสาวใบหน้าอันงดงามที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้ชยันต์นึกถึงวันที่เขาพรากทุกอย่างไปจากเธอ ตั้งแต่วันที่เขาเดินเข้ามาในชีวิตของเขมิกา รอยยิ้มนั่นก
บางครั้งความเจ็บปวดมันก็ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังทุกข์ เพราะการเจ็บปวดครั้งนี้มันมาพร้อมกับความสุข รถพยาบาลแล่นเข้ามาหน้าตึกทางเข้าห้องฉุกเฉิน โดยมีหญิงท้องแก่นอนปวดท้องอยู่ภายในรถ ก่อนที่เธอจะถูกพยาบาลและบุรุษพยาบาลพาขึ้นรถเข็นเข้าไปยังห้องคลอด ภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวเขมิกากำลังนอนรอให้กำเนิดทารกน้อย ความเจ็บปวดและการบีบรัดบวกกับการหดตัวเป็นจังหวะของมดลูกนั้น มันมีความรุนแรงสม่ำเสมอและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าบวกกับความเจ็บปวดที่บ่งบอกถึงนาทีเป็นนาทีตาย ซึ่งมันเจ็บเกินคำบรรยายใดๆ หากเวลานี้มีบิดาของลูกยืนอยู่ข้างๆ คอยกุมมือให้กำลังใจและซับเหงื่อให้ มันคงจะรู้สึกดีหรืออาจจะบรรเทาความเจ็บปวดลงได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่เวลานี้เขมิกากำลังเผชิญกับความเจ็บปวดนี้เพียงลำพัง เมื่อความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวดีขึ้นเรื่อยๆ นิการู้สึกเจ็บมากที่สุดที่เคยเจ็บมาในชีวิตนี้ ความรู้สึกครั้งนี้ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นมารดา ในวันนั้
อดีตมันคือเรื่องราวของเมื่อวาน..แม้เพิ่งผ่านมาไม่นานจะขอจดจำแต่สิ่งดี บ้านรชนิศภานุพงศ์ คุณหญิงขวัญเรียมนั่งถอนหายใจอยู่ที่ห้องรับแขก เมื่อเห็นสภาพของลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวตอนนี้ชยันต์ไม่ต่างอะไรกับศพที่เดินได้ หน้าตาที่เคยหล่อเหลาเวลานี้มันรุงรังไปด้วยหนวดเครา เนื้อตัวที่ซูบผอมเสื้อผ้าที่เคยเนี้ยบ คนรีดต้องใช้เวลาและพิถีพิถันเป็นอย่างดีเขาจึงจะสวมใส่แต่เวลานี้เขากลับสวมเพียงแค่เสื้อยืดกางเกงยีนที่ไม่ได้ถอดไปซักเป็นเวลาหลายวันแล้ว มันดูมอซอเสียจนผู้เป็นมารดาแทบทนไม่ได้ กลิ่นน้ำเมาส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลคละคลุ้งไปทั่วร่าง แทนน้ำหอมแบรนด์เนมที่เคยใช้ น้ำที่ไม่ได้ไหลชำระล้างผ่านร่างกายมาหลายวันนั้น ทำให้สภาพของเขาเวลานี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ใครเห็นคงไม่เชื่อแน่ว่าเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อไฟแรง ที่บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่เคยแย่งกันขายขนมจีบ "ชยันต์แกจะหยุดดื่มได้หรือยังแม่ขอเถอะนะ แม่เหลือแกแ