ขอบตาของจันทริการ้อนผ่าวเมื่อได้ยินประโยคที่เชือดเฉือนดั่งคมมีด แต่สุดท้ายก็เอื้อมมือไปรับยาเม็ดนั้นมากิน แม้ยาจะเม็ดเล็กแต่เธอกลับกลืนมันลงคอได้อย่างยากลำบาก เพราะตอนนี้ลำคอตีบตันไปหมด
“คราวนี้คุณคงสบายใจแล้วใช่ไหมคะว่าจันทร์จะไม่ท้อง” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับจ้องมองหน้าเขาด้วยสายตาตัดพ้อปนเจ็บช้ำสุดจะบรรยาย หลังจากกลืนยาเม็ดนั้นลงคอได้สำเร็จ
“ฉันจะสบายใจมากกว่านี้ ถ้าเธอกินยาโดยที่ฉันไม่ต้องมาคอยตรวจสอบทุกวัน”
“จันทร์รับปากค่ะว่าจะไม่ลืม”
“ก็ดี แล้วฉันจะคอยดู”
พูดจบรังสิมันต์ก็หันไปปิดไฟ จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนพร้อมกับคว้าเอาร่างบางให้นอนลงไปพร้อมกัน
“ปล่อยค่ะคุณตะวัน จันทร์ยังไม่พร้อม” เสียงของจันทริกาดังอุทธรณ์ขึ้นท่ามกลางความมืด หัวใจเต้นแรงรัวเมื่อคิดว่าเขาจะทำเหมือนเมื่อคืนอีก
“เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอเหรอจันทริกา”
“คุณจะรังแกจันทร์”
“รังแกงั้นเหรอ”
รังสิมันต์ทำเสียงบางอย่างในลำคอ จันทริกาช่างเข้าใจหาคำพูดให้เขารู้สึกผิด เหมือนเขาเป็นพวกซาตานโหดร้ายที่กำลังจะรังแกเด็กไม่มีทางสู้ผู้น่าสงสาร ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะรู้สึก แต่สำหรับเด็กที่เขารู้แล้วว่าร้ายกาจอย่างจันทริกา เขาจะไม่มีคำนั้นให้อีกเด็ดขาด
“อย่านะคะ ได้โปรด...” เสียงหวานยังอ้อนวอนอย่างสั่นเครือ
“ฉันไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเธอตอนนี้หรอก เลิกแสดงละครว่าตัวเองเป็นเด็กน่าสงสารเสียที ที่ฉันนอนกับเธอก็เพราะต้องการจะแน่ใจว่าเธอจะไม่หนี”
“จันทร์ไม่หนีหรอกค่ะ จันทร์จะหนีไปไหนได้ล่ะคะ ในเมื่อจันทร์ไม่มีที่ไป”
ถ้อยคำที่คล้ายกับรำพึงและตัดพ้อต่อโชคชะตาของตัวเองนั้น ทำให้หัวใจของรังสิมันต์แกว่งไหวอย่างรุนแรง จนเขาต้องเตือนตัวเองว่าอย่าใจอ่อนกับเด็กคนนี้อีกเด็ดขาด เพราะเด็กคนนี้คือคนที่ทำให้เขาเสียเมียและลูกไปพร้อมกัน
“ใครจะรู้ เธอมันร้ายกาจกว่าที่คิด นอนซะ!”
รังสิมันต์ออกคำสั่ง ก่อนจะจับร่างบางพลิกให้นอนตะแคงหันหลังมาหาเขา จากนั้นลำแขนแข็งแรงก็ตวัดเกี่ยวเอาเอวเล็กเข้ามาแนบชิด โดยที่จันทริกาได้แต่พยายามขืนตัวเองเอาไว้ แต่ก็สู้แรงของเขาไม่ไหว และรู้สึกว่ายิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกกอดแน่นกว่าเดิม เธอจึงเป็นฝ่ายยอมพ่ายแพ้ ส่วนเมสซี่ที่เงียบอยู่นานเห็นเจ้านายสองคนคลุกวงในกันบนเตียงที่มันนอนอยู่ มันจึงกระโดดลงจากเตียง ไปนอนที่พื้นด้านล่างแทน
ห้องที่เล็กที่สุดในบ้านตอนนี้เงียบเสียงลงอีกครั้ง น่าแปลกที่รังสิมันต์พบว่าเขาสามารถหลับลงอย่างง่ายดาย เมื่อจมูกสัมผัสกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่รวยรินมาจากเรือนผมและผิวกายอ่อนบางของจันทริกา ทว่าเขาก็ต้องสะดุ้งตื่นเป็นพักๆ จากการที่ร่างบางที่ตัวเองกอดอยู่กระตุกเฮือกเบาๆ คล้ายกับอยู่ในห้วงของฝันร้าย
“ชูว์...ไม่เป็นไรน่า ฉันอยู่นี่ทั้งคน”
คำเอ่ยปลอบนั้นแม้จะไม่อ่อนโยนนัก แต่ก็หลุดออกมาอย่างเป็นอัตโนมัติตามสัญชาตญาณการปกป้อง ร่างใหญ่ขยับเข้าไปใกล้จนกลายเป็นหนุนศีรษะบนหมอนใบเดียวกัน อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นประหนึ่งกำลังถ่ายทอดความอบอุ่นเพื่อให้หญิงสาวหายจากอาการฝันร้าย ซึ่งคล้ายดั่งว่าการกระทำของเขาจะได้ผล เพราะหลังจากนั้นอาการสะดุ้งเป็นพักๆ ของจันทริกาก็สงบลง
บทที่ 50“แต่คุณปรัชญ์ขอร้องนะคะ จันทร์ไม่อยากผิดคำพูดกับ...”จันทริกายังพูดไม่ทันจบ นิ้วแกร่งเรียวยาวก็แตะลงบนเรียวปากนุ่ม เพื่อห้ามไม่ให้เธอพูดต่อ“ฉันไม่อนุญาตให้เธอเห็นคนอื่นสำคัญกว่าฉัน”พูดจบนิ้วที่แตะอยู่บนเรียวปากนุ่มก็เลื่อนออก แต่เรียวปากหยักร้อนกลับเคลื่อนเข้ามาแทนที่ ร่างบางเกร็งขึ้นเพราะกลัวว่ารังสิมันต์จะทำรุนแรงเช่นเดิมอีก หากแต่จูบครั้งนี้เป็นจูบที่แสนอ่อนโยน จูบที่คล้ายจะไถ่โทษ จูบที่เว้าวอน จนอาการเกร็งนั้นมลายหายไป และยืนนิ่งให้เขาจูบอยู่เนิ่นนาน“เมี้ยว...”เสียงร้องของเมสซี่ที่ดังขึ้น ทำให้อารมณ์ที่กำลังอ่อนไหวของทั้งคู่สะดุดลง จันทริกาได้สติจึงรีบผละออกห่างจากการโอบกอดของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วย่อตัวลงไปอุ้มเมสซี่ขึ้นมาแนบอก คล้ายกับจะใช้มันเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาเข้าถึงตัวได้อีกรังสิมันต์ออกจะเขม่นแมวตัวโปรดเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรมันรู้งาน และไม่เคยทำตัวเป็นก้างขวางคอ แต่ทำไมวันนี้มันถึงมาขัดจังหวะก็ไม่รู้“ฉันเพิ่งบอกเธอไปหยกๆ ว่าไม่ให้เห็นใครสำคัญกว่าฉัน”“แต่นี่เมสซี่แมวของคุณนะคะ คุณให้อาหารมันหรือยังคะ” จันทริกาถามอย่างพอจะเข้าใจอากัปกิริยาของเมสซี่ดีว่าที
บทที่ 49ร่างสูงเดินดุ่มไปหาคนทั้งคู่อย่างไม่รีรอ สีหน้าบอกชัดว่าไม่สบอารมณ์และไม่พอใจเป็นอย่างมาก ปรัชญ์จึงพยักหน้าให้จันทริกาหลบไปก่อน ส่วนเขาเป็นฝ่ายอยู่รับหน้ารังสิมันต์ “แกมาทำอะไรที่บ้านฉัน” รังสิมันต์ถามเสียงห้วนกระด้างอย่างไม่คิดจะเก็บอารมณ์“มาหาจันทร์”“มาหาทำไม?”“มาจีบมั้ง” ปรัชญ์ตอบกวนๆ ยิ่งเห็นรังสิมันต์ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้นก็ยิ่งพอใจที่ได้ยั่วให้เพื่อนโกรธได้ แต่ดูแค่ตาเดียวก็รู้ว่าที่รังสิมันต์ทำหน้าแบบนั้นก็เพราะกำลังหึงหรือไม่ก็หวงก้าง“มันใช่เวลาไหม” รังสิมันต์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงโทนเดิม“ทีแกยังเคยคิดจีบเมียฉัน ทำไมฉันจะจีบเมียแกบ้างไม่ได้” ปรัชญ์ยักไหล่และตอบกวนๆ เช่นเดิม ทั้งๆ ที่ในใจแอบหัวเราะคนออกอาการอยู่เงียบๆ “ฉันบอกแล้วไงว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่เมียฉัน” แม้จะออกอาการว่าหึงหวงปานใด แต่ปากก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง ซึ่งนั่นกลับยิ่งเข้าทางปรัชญ์“ไม่ใช่ก็ยิ่งดีใหญ่ ฉันจะได้ทำอะไรสะดวกๆ”“แกกำลังจะแต่งงานกับน้องเล็กนะเว้ย เลวให้มันน้อยๆ หน่อยได้ไหมไอ้เวร”“หวงก้างว่างั้น”“แกแม่งกวนตีนไม่เลิกว่ะ แล้วแต่แกเถอะไอ้เลวอยากทำอะไรก็ทำ” เมื่อถูกจี้แบบถูกจุดซ้ำแล้วซ้ำอีก รังสิ
บทที่ 48วันนี้เป็นวันหยุดของรังสิมันต์ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ อุ้ยคำจึงลากลับบ้านไปหาครอบครัว ส่วนหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าป้อมหน้าบ้านก็ขอลาหยุดเช่นกัน จึงกลายเป็นว่าวันนี้จันทริกาต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นั้นกับเจ้าของบ้านตามลำพังรังสิมันต์อยู่กับเมสซี่ในห้องนั่งเล่น ส่วนจันทริกาตากผ้าอยู่หลังบ้าน มือเล็กที่กำลังจับผ้าขึ้นแขวนบนราวตากชะงักครู่หนึ่งพลางเงี่ยฟัง เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ปกติแล้วหน้าที่เปิดประตูรั้วจะเป็นของหนานอินซึ่งเป็นรปภ.เฝ้าหน้าป้อม แต่วันนี้หนานอินลางาน จันทริกาจึงต้องละมือจากการตากผ้า แล้วเร่งฝีเท้าไปยังประตูหน้าบ้านอย่างรู้ดีว่าเป็นหน้าที่ตัวเอง“มาหาใครคะ” เสียงหวานถามคนที่มากดกริ่งอย่างสุภาพ ก่อนที่ดวงตาสวยปนเศร้าจะเบิกกว้างและเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายด้วยความดีใจ เมื่อเห็นหน้าคนที่มากดกริ่งในระยะใกล้“พี่เล็ก...”เจ้าของชื่อที่เธอเรียกคือรุ่นพี่ที่เธอเคยสนิทสนมมากในตอนเรียนมัธยม เพราะเคยอยู่ชมรมดนตรีด้วยกันนั่นเอง “จันทร์...” “ดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เล็ก พี่เล็กสวยขึ้นจนจันทร์เกือบจะจำไม่ได้เลยค่ะ”
บทที่ 47สำหรับคนที่จมอยู่ในห้วงของความทุกข์ใจ วันเวลามักผ่านไปช้าเสมอ คนในบ้านที่รังสิมันต์ส่งไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้าของเขา ยังไม่มีใครได้กลับมา ดังนั้นจันทริกาจึงต้องทำงานบ้านทุกอย่างแทบจะคนเดียวเช่นเดิม และยังมีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าหน้าที่ของคนรับใช้ทั่วไป นั่นคือเธอต้องคอยรองรับไฟปรารถนาของรังสิมันต์ ไม่ว่าเขาต้องการยามใด เธอก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้สักครั้ง จันทริการู้ดีว่าเขาทำไปเพื่อระบายความแค้นเท่านั้น หากแต่ตอนนี้เธอกลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มจะผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำให้เธอทุกข์ใจไม่น้อย หากจะมีสิ่งที่ทำให้เธออยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างมีความสุข ก็คงจะเป็นความน่ารักของเมสซี่กับความเอ็นดูจากลุงหนานอินซึ่งเป็นรปภ.กับอุ้ยคำเท่านั้น ส่วนเจ้าของบ้าน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังคงใจร้ายและเย็นชาใส่เธอดังเดิม แม้บางครั้งเขาเหมือนจะอ่อนโยน แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะเขาลืมตัว ครั้นพอเขาคิดได้ว่าเกลียดชังเธอแค่ไหน จันทริกาก็มักจะได้รับผลจากความเคียดแค้นชิงชังของเขาดังเดิมเช้านี้จันทริกาไม่ได้ทำอาหาร รังสิมันต์บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่
บทที่ 46“คำว่าเกมหัวใจ มันไว้สำหรับคนที่มีใจให้กัน”“แกไม่ได้คิดอะไรกับจันทร์ว่างั้น” จากที่ถูกไล่ต้อนตอนนี้ปรัชญ์เปลี่ยนเป็นฝ่ายไล่ต้อนรังสิมันต์บ้าง“คิด...คิดว่าเด็กคนนั้นทำให้เมียฉันตาย”“แน่ใจว่าคิดแค่นั้น แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหน”“กลับเชียงใหม่สิวะ จะอยู่ทำไมล่ะ ก็ผู้หญิงที่ฉันตั้งใจจะมาจีบกลายเป็นเมียแกไปแล้วนี่ หรือแกจะให้ฉันแย่งเมียเพื่อนก็ได้นะฉันไม่ถือ”“ก่อนจะถามฉัน ถามตัวเองก่อนว่าคิดจะแย่งเมียฉันจริงๆ หรือแค่อยากให้เมียตัวเองหึง”คำพูดที่เหมือนกับมานั่งอยู่ในใจเช่นนั้น ทำให้รังสิมันต์ต้องทำหน้าตึงกลบเกลื่อน แม้สิ่งที่ปรัชญ์พูดมาจะไม่ตรงกับความจริงนักแต่ก็เฉียดสุดๆ เขาไม่ได้อยากให้จันทริกาหึง แค่อยากให้เธอเจ็บจริงหรือที่ว่าต้องการแค่นั้น?รังสิมันต์ถามตัวเอง...แล้วทำไมตอนที่เด็กคนนั้นทำหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเขา เขาถึงได้หงุดหงิดนัก“ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าเมียฉันตายแล้ว แกความจำเสื่อมหรือไงไอ้เชี่ยปรัชญ์” คนถูกต้อนคืนทำเสียงฉุนๆ ใส่“ฉันไม่ได้หมายถึงคนที่ตายแล้วเว้ย แต่หมายถึงคนที่แกอยู่ด้วยตอนนี้”“จันทริกาไม่ใช่เมียฉัน”“แล้วเป็นอะไร แค่อดีตน้องเมียที่ตอนนี้ถูกลดฐานะล
บทที่ 45“เธอนอนหรือยัง” ถามทั้งๆ ที่รู้ว่าดึกดื่นขนาดนี้ จันทริกาต้องนอนแล้ว เพราะปกติถ้าคืนไหนที่เขาไม่ได้ให้เธอขึ้นไปหา หรือเป็นฝ่ายลงมาหาเธอ เด็กคนนั้นจะหลับเร็วเป็นพิเศษ“นอนแล้วค่ะ คุณโทร.มามีอะไรหรือเปล่าคะ”“ฉันแค่โทร.มาถามว่าเมสซี่เป็นยังไงบ้าง” ปากพูดไปตามที่สมองเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หากแต่เสียงในใจเสียงหนึ่งกลับตะโกนก้องขึ้นมาว่า เพราะอยากได้ยินเสียงนุ่มๆ เรียบๆ ของเธอต่างหาก“เมสซี่อยู่กับจันทร์ค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”“ก็ดี ฉันแค่เป็นห่วงมัน”“ไม่ต้องห่วงนะคะจันทร์จะดูแลเมสซี่อย่างดี และสมบัติทุกชิ้นของคุณในบ้านหลังนี้ยังอยู่ครบค่ะ” จันทริกาพูดกับคนโทร.มาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเป็นการบอกกล่าวตามปกติ ทว่าหัวใจกลับปวดแปลบ เมื่อตระหนักถึงความจริงที่ว่า คุณตะวันเป็นห่วงแค่เมสซี่เท่านั้น ไม่ได้ห่วงเธอแม้แต่นิด หากจะห่วงก็คงห่วงว่าเธอจะพาใครมาขโมยของในบ้านอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนไปมากกว่า เพราะเธอเป็นผู้ร้ายในสายตาเขามาตลอดตั้งแต่ศศิประภาตายไป จันทริกาจึงต้องบอกเขาไปเช่นนั้น หากแต่คนฟังกลับรู้สึกว่าเธอกำลังประชด“สมบัติของฉันที่เธอว่าอยู่ครบทุกชิ้น รวมถึงเธอด้วยหรือเปล่า”จันทริกาห