เมื่อเห็นว่าผู้ใดกำลังเข้ามาที่ห้องของนาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ทำหน้าเบื่อหน่าย ส่วนเด็กชายเมื่อหันไปและเห็นว่าเป็นบิดาเขาก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่นั่งตัวแข็งทื่อ เพราะรู้ว่าตนอาจถูกลงโทษที่แอบเข้ามาหาพี่สาวโดยที่บิดาเขาไม่ได้อนุญาต
“ท่านพ่อ” เว่ยเจี้ยนไคทำหน้าสลด
“พวกเจ้าคุยอะไรกันให้พ่อคุยด้วยได้หรือไม่”
ผิดคาดเว่ยเจิ้งหยางไม่ได้ดุหรือว่ากล่าวบุตรชาย
“ท่านพ่อ” เด็กชายเห็นเช่นนั้นจึงผลิยิ้มในที่สุด “ข้านำผลไม้อบแห้งมาให้พี่ลี่อิ๋ง” เขาเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกนาง
“พ่อกินด้วยได้ไหม” เว่ยเจิ้งหยางเอื้อมมือไปตั้งใจจะแย่งผลไม้อบแห้งจากมือของบุตรชาย
“ไม่ได้ขอรับ เป็นของพี่ลี่อิ๋ง ข้าเห็นว่านางต้องดื่มยาทุกวัน กินผลไม้เชื่อมหวาน ๆ จะช่วยให้พี่ลี่อิ๋งไม่รู้สึกขม” ไคไคน้อยรีบดึงห่อผลไม้เชื่อมให้พ้นจากมือของบิดา
“อ้าว!! พ่อก็อยากกินนะ เจ้าไม่รักพ่อแล้วหรือ” เว่ยเ
เว่ยจงหมิงทั้งลากทั้งดึงให้นางไปยังเรือนหออันเป็นน่าจะเป็นที่อยู่ของคู่บ่าวสาว บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบคงเป็นเพราะนี่เป็นค่ำคืนเข้าหอของผู้เป็นเจ้าของจวน ทำให้ไม่มีทหารยามอยู่ในรัศมีโดยรอบเรือนหอเพื่อความเป็นส่วนตัวของพวกเขาเขาจับข้อมือของนางเอาไว้แน่น เตรียมตัวจะเคาะประตูห้อง แต่กลับได้ยินเสียงบางอย่างดังออกมาจากภายในทั้งสองคนยืนตัวแข็งค้างไม่กล้าขยับ ฟู่ลี่อิ๋งแหงนหน้าขึ้นไปสบตากับเว่ยจงหมิงเขาเองก็ตกอยู่ในสภาพที่น่าจะไม่ต่างจากนาง นางรู้สึกว่าหัวใจของกำลังเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ ฟู่ลี่อิ๋งรู้สึกว่าเวลานี้ลำคอของนางแห้งผากแม้กระทั่งน้ำลายยังกลืนลงคอได้อย่างยากลำบากนางเคยคิดว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับเว่ยเจิ้งหยาง แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจเจ้ากรรมของนางดันปวดร้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มือเรียวเล็กผลักประตูเข้าไปด้านในโดยไม่รู้ตัว เมื่อประตูเปิดภาพที่นางเห็นในตอนนี้เป็นจังหวะที่เว่ยเจิ้งหยางกำลังคร่อมทับอยู่บนตัวของฟู่เหยาเหยา หนึ่งหญิงหนึ่งชายกอดก่ายกันแนบชิด ถึงนางจะไม่มีประสบการณ์
พี่น้องแต่งงานพร้อมกับนับเป็นประเพณีที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในต้าเว่ย แต่ในเมื่อเป็นความประสงค์ของฮ่องเต้ ก็ไม่มีใครกล้าขัดพระราชหฤทัย พิธีการทุกอย่างดำเนินการผ่านไปได้เป็นอย่างดีเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้น เว่ยจงหมิงก็เร่งรีบกลับไปที่จวนของตนในทันที นับตั้งแต่วันที่จากมาจากเสิ่นหนานเขาก็ไม่ได้พบหน้านางอีก อยากรู้ว่ากำไลหยกที่เขาส่งไปให้นางฟู่เหยาเหยาจะพึงพอใจหรือไม่ อันที่จริงเขาอยากปลีกตัวมาหานางตั้งแต่ตอนบ่าย แต่เพราะพิธีการหลายอย่างทำให้ทั้งเขาและเว่ยเจิ้งหยางต้องรั้งอยู่เสียงของผู้คนที่นางไม่คุ้นเคยทำให้ฟู่ลี่อิ๋งรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก หากเจอหน้าเขาในค่ำคืนนี้นางจะปฏิบัติตัวกับเขาเช่นไร เมื่อก่อนหน้านางได้รับการสั่งสอนจากคนในวังเรื่องการปฏิบัติต่อกันแบบสามีภรรยา คนตัวเล็กฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ที่แน่นอนนางจะต้องพูดคุยเจรจากับเขาให้รู้เรื่อง และฟู่ลี่อิ๋งเองก็คาดหวังให้เว่ยเจิ้งหยางเข้าใจในสิ่งที่นางกำลังจะเอ่ยกระทั่งประตูห้องหอถูกเปิดออกเ
ก่อนวันแต่งงาน เว่ยจงหมิงส่งกำไลหยกจักรพรรดิ[1]ไปมอบให้กับว่าที่ไท่จื่อเฟย โดยกำชับให้เป็นมั่นเป็นเหมาะกับลู่เหวิน ว่าให้ส่งให้กับมือของนางโดยเฉพาะ องครักษ์เมื่อได้รับพระบัญชาจากไท่จื่อก็รีบนำสิ่งของไปส่งคนถึงที่แผนการของฟู่เหยาเหยาต่อจากนี้จะมีแค่เพียงเสี่ยวเชี่ยนและองครักษ์หนุ่มที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนใช้ยาปลุกกำหนัดเท่านั้นที่รู้ ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันสิ่งนี้คงจะเรียกกว่าการแบล็กเมล์ ซึ่งนางเคยทำบ่อย ๆ ตอนที่ยังเป็นดาราชื่อดังแห่งยุคนักการเมืองชื่อดัง ดาราผู้มีชื่อเสียง ผู้กำกับนักร้อง ล้วนแล้วแต่เคยถูกนางกระทำการเช่นนั้นมาแล้วทั้งสิ้น นางรู้ความลับมากมายของคนพวกนั้น แถมยังใช้ความลับเหล่านั้นมาผลักดันให้ตัวเองก้าวขาเข้าสู่แถวหน้าของวงการบันเทิง ไม่มีใครในโลกที่นางจากมาไม่รู้จัก เนี่ยเหยาเหยาสุดยอดนางเอกอันดับหนึ่งแต่แล้ววันหนึ่งคู่อริและคู่ขาของนางต่างก็พากันเอาคืนอย่างสาสม เนี่ยเหยาเหยาในอดีตถูกจับฉีดยาเสพติดเกินขนาดโดยที่นางไม่ได้เต็มใจ ก่อนที่จะได้มาอยู่ในโลกของนิยาย ชื่อเสียงของนางฉาวโฉ่ จากดาราสาวใสซื่อภาพล
“มันไม่ได้หมายถึงแค่ตระกูลฟู่เท่านั้นนะอิ๋งอิ๋ง มันยังหมายถึงท่านตาท่านยายประชาชนแคว้นเยี่ย” ฟู่ซิ่งกล่าวเตือน เขาใช้แคว้นเยี่ยมากล่าวอ้างโดยหวังว่านางจะรู้สึกเห็นใจผู้อื่นบ้าง“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้ากัน” นางหันกลับเผชิญหน้ากับบิดาอีกครั้ง นางเป็นคนเห็นแก่ตัวมาโดยตลอด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลยสักนิดต่อให้บิดาเอาสิ่งใดมาอ้างนางก็ไม่ยินยอมอยู่ดี“เจ้าจะหนีไปบวชแล้วทิ้งให้ผู้คนล้มตายอยู่เบื้องหลังได้หรือ” ฟู่โหวเตือนสติบุตรสาว “แล้วข้ากับพี่ชายเจ้าล่ะ”ฟู่ลี่อิ๋งสะดุดกึกเมื่อฟู่โหวกล่าวถึงพี่ชายของนางเพล้ง!!! แจกันกระเบื้องราคาแพงถูกฟู่ลี่อิ๋งทำลายทิ้งเพื่อระบายโทสะ“ใครจะเป็นจะตายแล้วเกี่ยวอะไรกับข้ากัน ท่านพ่ออย่าเอาชื่อเสียงของท่านตาท่านยายมาข่มขู่ข้า มีใครบ้างไม่รู้ว่าตั้งแต่ท่านแม่แต่งงานมาอยู่ต้าเว่ย ก็ถูกแคว้นเยี่ยตัดขาดไปหมดแล้ว แม้กระทั่งงานศพ พวกเขาก็ยังไม่มา แล้วเหตุใดข้าจะต้องสนใจ” แจกันและของประดับตกแต่
สองพี่น้องเมื่อได้ยินว่าต้องแต่งงานก็หน้าซีดไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นฟู่ลี่อิ๋งหรือฟู่เหยาเหยา ทั้งสองไม่ถูกกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เวลานี้กลับมองหน้ากันอย่างคิดไม่ตกตัวฟู่ลี่อิ๋งไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่แต่งงาน เพราะตั้งใจจะออกบวช ในหัวสมองของร่างเล็กเวลานี้กำลังคิดหาหนทางหนีไปให้พ้น ๆ แต่กลายเป็นว่า พวกนางกลายเป็นว่าที่ไท่จื่อเฟยและหวางเฟย มีตำแหน่งสำคัญในอนาคตทันทีที่พระราชโองการถูกประกาศออกไป กองทหารราชองครักษ์จากเมืองหลวงก็ตรึงกำลังทั่วจวนโหวเพื่อรักษาความปลอดภัย แม้กระทั่งแมลงวันสักตัวก็หนีออกไปจากจวนไม่ได้ส่วนฟู่เหยาเหยากลับคิดต่างจากฟู่ลี่อิ๋งผู้เป็นพี่สาว ถ้าอยากหลุดพ้นจากโคลนตม อยากขึ้นไปจากปลักนี้ นางจะต้องแต่งกับเว่ยอ๋องเท่านั้นไม่ใช่ไท่จื่อองค์ปัจจุบันแล้วจะทำอย่างไรให้นางกับเว่ยอ๋องแต่งงานกันได้อย่างราบรื่น หัวสมองของดาราเอกแห่งยุคกำลังคิดถึงบทละครต่าง ๆ นานา ที่นางเคยอ่านมาในอดีต‘สลับตัวเจ้าสาว ยาปลุกกำหนัด’ถ้าตามเรื่อง
เมื่อได้กลับมาบ้านฟู่ลี่อิ๋งก็ต้องอดทนอดกลั้น ไม่สุงสิงหรือวุ่นวายกับใคร บ่าวรับใช้ในเรือนก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน นางแจ้งกับพี่ชายของตนเอาไว้แล้ว หากไม่มีธุระสำคัญกับนางก็ไม่ต้องมายุ่งรวมถึงฟู่โหวที่เป็นบิดาของนางด้วยฟู่ลี่อิ๋งตั้งใจอย่างเต็มที่ ที่จะลืมเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาให้หมดสิ้น เหตุการณ์เลวร้ายตั้งแต่นางยังเยาว์จนกระทั่งเมื่อวานซืน นางจะลืมเรื่องพวกนั้นไปให้หมด และตั้งใจอ่านพระคัมภีร์เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อย่างจริงจังส่วนกับเขาไม่ใช่ว่านางไม่รู้สึกดีกับเว่ยเจิ้งหยาง แต่เพราะรู้สึกดีกับเขามากจนเกินไปทำให้นางรู้สึกผิดหวัง นางไม่ได้โกรธที่เขาไม่ยอมมาสู่ขอแต่เรื่องที่นางโกรธฟู่ลี่อิ๋งคิดว่าเขารู้ ‘เขารู้ดียิ่งกว่าใคร’ แต่เว่ยเจิ้งหยางกลับไม่ปริปากเรื่องนั้น ทำเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้น แถมยังมาข่มเหงรังแกนางอีก ไอ้ร่องรอยที่เขาประทับลงมาที่ต้นคอของนาง ก็ใช้เวลาหลายวันกว่ามันจะลบเลือนไป