สตรีตรงหน้าสวมชุดสีชมพูอ่อนปักลายดอกไห่ถาง ใบของหน้างดงามเป็นอย่างมาก กงเหล่ยปรายตามองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองนายอำเภอเกาผิงพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย นายอำเภอเกาผิงยิ้มอย่างประจบประแจง พลางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
"คืออย่างนี้ขอรับเซี่ยอ๋อง ข้าน้อยเห็นว่าท่านอยู่ที่นี่ควรจะพักผ่อนและหาความสำราญให้มาก จึงได้ส่งสาวงามนางนี้เข้ามาเพื่อปรนนิบัติท่าน หวังว่าท่านจะเพลิดเพลินกับนางอย่างมีความสุข"
เอ่ยจบนายอำเภอเกาผิงก็ดันตัวของหญิงงามนางนั้นให้เข้ามาภายในห้อง เฉิงซุนผู้เป็นกุนซือที่เห็นเช่นนั้นก็เดินเข้ามาขวางเบื้องหน้าของนางเอาไว้ แต่ทว่ากงเหล่ยกลับเอ่ยปราม พลางหันไปเอ่ยกับนายอำเภอเกาผิง
"ขอบคุณท่านมาก ออกไปเถอะ"
นายอำเภอเกาผิงพยักหน้า ก่อนจากเขายังหันไปมองหญิงงามนางนั้นคราหนึ่ง
"นายท่าน"
"ท่านกุนซือก็ออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะสนทนากับสาวงามนางนี้เสียหน่อย"
เฉิงซุนเมื่อได้ยินก็ไม่ขวางความสุขของเจ้านายอีก เพียงทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย พลางปิดประตูห้องให้เจ้านายอย่างเงียบเชียบ
กงเหล่ยลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินเข้ามาหาหญิงสาวนางนั้น เมื่อเข้ามาใกล้นาง เขาก็ได้กลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉมลอยมาแตะจมูก จนชายหนุ่มถึงกับต้องย่นหัวคิ้ว
หญิงสาวตรงหน้ายืนนิ่ง แววตาของนางวูบไหวไปมา นางก้มหน้าต่ำไม่กล้ามองสบตาเขา แพขนตาหนาของนางขยับสั่นไหวเล็กน้อย
นางเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน บิดาเป็นพ่อค้าที่ทำการค้าเล็กๆไม่ได้ร่ำรวยอันใด มารดาก็ตายจากไปตั้งแต่วัยเยาว์ เดิมทีพวกนางสองพ่อลูกก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด ช่วยกันทำมาหากินจนมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง แต่ทว่าบิดาของนางกลับไปหลงรักหญิงหม่ายนางหนึ่งและแต่งงานกับนาง ไม่นานก็ถูกปอกลอกไปจนหมดตัว ซ้ำร้ายยังเอาเงินไปปรนเปรอสามีใหม่ บิดาของนางไม่นานก็ล้มป่วยลงไม่อาจทำงานได้ นางจำต้องเป็นเสาหลักหาเงินเข้าบ้าน
นางทำงานทุกอย่างด้วยความขยัน มีบางครั้งที่ถูกพวกคิดไม่ซื่อหมายจะลวนลามแต่ก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครา
ครั้งนี้นางได้ยินว่าท่านนายอำเภอต้องการหญิงงามไปร่ายรำให้แขกสูงศักดิ์ของเมืองได้ชม อีกทั้งยังได้ค่าตอบแทนสูง นางจำเป็นต้องใช้เงิน อีกอย่างตอนนี้บ้านเมืองเกิดสงครามไม่มีใครมีเงินมากพอจะจ้างนางไปทำงาน นางจึงตกลงรับงานนี้ และถูกคัดเลือกมาเพียงคนเดียวเพราะหน้าตาของนางงดงามที่สุด
แต่นางไม่คิดว่าแท้จริงแล้วนายอำเภอไม่ได้ต้องการให้นางมาร่ายรำ แต่ให้นางมาเป็นนางบำเรอต่างหาก
ทว่านางถอยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นนางจะไม่มีเงินไปรักษาบิดาตน
กงเหล่ยยื่นมือของตนไปเชยปลายคางของสตรีตรงหน้าให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกว่าภาพตรงหน้าช่างงดงามมากเหลือเกิน งดงามเสียยิ่งกว่าบุปผาที่เบ่งบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิเสียอีก
หญิงสาวตรงหน้างดงามเป็นเอก ดวงตาของนางกลมโตฉ่ำน้ำ จมูกโด่งตัดกับริมฝีปากสีแดงบางเฉียบได้อย่างเข้ากัน ผิวของนางนวลเนียนราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้เสียอย่างนั้น
เมื่อนางได้มองเห็นชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชัดเจน ใบหน้าก็พลันแดงระเรื่อขึ้นมา
เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่ตาแก่โรคจิตที่คอยแทะโลมนางอย่างที่ผ่านมา รีบทำงานให้เสร็จเถอะ
“เจ้าชื่ออันใด?"
กงเหล่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เย็นชาและไม่ห่างเหิน
เขาไม่ใช่คนโง่ การที่นายอำเภอเกาผิงส่ง
สาวงามมามอบให้เขาแน่นอนว่าไม่ได้ทำไปเพราะต้องการให้เขาหาความสำราญจากนางเพียงอย่างเดียว แต่คาดว่าคงเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง
มีวีรบุรุษมากมายที่พ่ายต่อสาวงาม แต่ไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน!
รออยู่นานกลับไม่เห็นว่านางจะเอ่ยวาจาใดกับเขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถามนางซ้ำอีกครา
"เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าถามหรือ?"
เอ่ยจบเขาก็ยื่นมือไปบีบปลายคางนางทันที สตรีนางนี้คิดจะเล่นแง่กับเขาหรือ!
หญิงสาวเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของนางสั่นไหวคล้ายหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก นางรีบยกสองมือขึ้นมาทำท่าทางบางอย่าง กงเหล่ยยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เขาปล่อยมือออกจากใบหน้างาม และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัยอยู่หลายส่วน
"เจ้าพูดไม่ได้หรือ?"
หญิงสาวรีบพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะมองหาบางอย่างบนโต๊ะของเขา กงเหล่ยไม่เอ่ยปรามเพียงมองดูว่านางคิดจะทำอันใด
นางถือวิสาสะหยิบพู่กันของเขาขึ้นมาเขียนบางอย่างลงบนกระดาษ
ข้าน้อยชื่อไต้ฝูหรง เดิมทีท่านนายอำเภอบอกว่าให้ข้ามาร่ายรำ จะได้ค่าตอบแทนไปรักษาบิดาที่ป่วย แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะให้ข้ามาเป็นนางบำเรอของนายท่าน แต่ในเมื่อข้าก้าวเข้ามาแล้ว ย่อมไม่อาจถอยหลังกลับ ข้ายินดีใช้ร่างกายของข้าทำให้ท่านมีความสุข แต่ขอร้องท่านกรุณา ช่วยเพิ่มเงินให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าต้องการใช้เงินจริงๆเจ้าค่ะ”
นางเขียนเสร็จก็ส่งให้เขาอ่าน กงเหล่ยปรายตาอ่านตัวอักษรบนกระดาษอย่างรวดเร็ว
"ชื่อของเจ้าคือไต้ฝูหรงหรือ?"
หญิงสาวพยักหน้าอีกครา ก่อนจะรีบตรงเข้ามาหมายจะถอดเสื้อผ้าของเขาออก ท่าทีของนางเงอะงะราวกับไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่ามาเลยสักครา กงเหล่ยถึงกับเอ่ยวาจาไม่ออก เขาไม่เคยถูกสตรีลวนลามอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ จึงรีบรวบสองมือของนางเอาไว้ ไต้ฝูหรงเงยหน้าขึ้นมามองกงเหล่ยด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตนั้นช่างน่ามองเป็นอย่างยิ่ง ทำเอากงเหล่ยถึงกับวางสีหน้าไม่ถูก
ไต้ฝูหรงย่นหัวคิ้ว พลางคิดในใจว่า หรือเขาจะไม่ชอบเป็นฝ่ายถอดก่อน
ให้ตายเถอะ นางเองก็ไม่เคยเช่นกัน แต่ช่างเถิด เพื่อค่ายาของท่านพ่อ นางต้องใจกล้าอีกสักหน่อย
คิดได้เช่นนั้นนางจึงถอดเสื้อตัวนอกของตนเองออกจนหมด กงเหล่ยถึงกับตื่นตระหนก รีบเข้าไปปรามนางทันที
“ไม่ได้!”
เอ่ยจบเขาก็มองเห็นว่าแผ่นหลังของนางมีร่องรอยคล้ายถูกทุบตีและทารุณ มีทั้งแผลเก่าและแผลใหม่รอยฟกช้ำทั่วร่างกายมีไม่น้อยเลย
ไต้ฝูหรงคล้ายจะรับรู้ได้ นางจึงรีบผละจากเขาและรีบสวมเสื้อผ้าตนทันที ก่อนจะตรงไปที่โต๊ะอักษรและเขียนลงบนกระดาษอีกครา
“นายท่านไม่ชอบหรือ เช่นนั้นจะทุบตีข้าเพื่อระบายโทสะก็ย่อมได้ แต่ขอเงินให้ข้าเถอะนะเจ้าคะ ข้าต้องการเงินไปรักษาท่านพ่อจริงๆ”
กงเหล่ยเมื่อได้อ่านสิ่งที่นางเขียนอีกคราก็รู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย สตรีแคว้นเว่ยเหตุใดจึงดูน่าเวทนาถึงเพียงนี้
ไต้ฝูหรงก้มหน้างุด นางทั้งอับอายและหวาดหวั่น แต่ถึงอย่างไรความอับอายย่อมไม่อาจกินแทนข้าวได้ นางจำต้องอดทน
นี่เป็นครั้งแรกที่กงเหล่ยรู้สึกว่าตนเองหดหู่ใจถึงขีดสุด แม้เขาจะโหดเหี้ยมอำมหิตยามอยู่ในสนามรบ แต่อย่างไรเขาก็คงไม่อาจหลับนอนกับสตรีที่เป็นใบ้และมีสภาพไม่ต่างจากทาสเช่นนี้ได้
เขาล้วงหยิบถุงเงินใบใหญ่ยัดใส่มือนาง ก่อนจะเอ่ย
"ไสหัวออกไป"
ไต้ฝูหรงจ้องมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาอึ้งงัน นอกจากเขาจะไม่บังคับจิตใจนางแล้วยังมอบเงินให้นางอีกจำนวนไม่น้อย
อยู่ๆนางก็บังเกิดความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งต่อบุรุษตรงหน้า แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมากนัก ทำได้เพียงรีบเดินออกไปจากห้องเสีย
เมื่อคนจากไปแล้ว เฉิงซุนก็เดินเข้ามาในห้อง
"นายท่าน"
"ส่งคนไปจับตาดูนาง ข้ารู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างในเมืองเกาผิงที่เรายังไม่รู้ บางครานายอำเภอเกาผิงอาจจะไม่ได้รักใคร่ราษฎรอย่างที่ปากพูดก็เป็นได้"
"ขอรับ"
"ช้าก่อน!"
เฉิงซุนที่กำลังจะออกจากห้องไปพลันหันกลับมามองเจ้านายตนด้วยความสงสัย
"มีอันใดจะสั่งอีกหรือขอรับ?"
"ข้าไปเองดีกว่า"
ด้านไต้ฝูหรงนั้นตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยและมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา นางเดินวนไปวนมาอยู่ในเรือนเพื่อรอฟังข่าวของกงเหล่ยเกาฮ่องเต้หนีหัวซุกหัวซุนด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่่ว่าจะหนีไปทางไหนก็มีแต่เหล่าทหารไล่ล่าเขา เกาฮ่องเต้ถึงกับก้าวขาไม่ออก ไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีวันนี้เดิมทีเขาสะกดวิญญาณของกงอวี้ไปแล้ว และไม่เชื่อว่ากงเหล่ยจะสามารถสังหารตนได้แต่ยามนี้เขารู้แล้วว่าตนเองคิดผิดเกาฮ่องเต้เริ่มลนลานด้วยความหวาดกลัว เขาไม่สนใจคำเตือนของทหาร วิ่งหนีออกมาจากวงล้อมป้องกัน สุดท้ายเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าที่กำลังยื่นดาบพาดบนลำคอของเขา เกาฮ่องเต้ก็ถึงกับก้าวขาไม่ออก"เจ้า!""ไม่ได้พบกันานเลยนะ ท่านลุงเกา!"เกาฮ่องเต้มือไม้สั่นเทิ้มไปหมด เมื่อนึกถึงศีรษะของเกาข่ายบุตรชายอันเป็นที่รักซึ่งถูกกงเหล่ยสังหาร เขาก็กัดฟันกรอด"ข้าจะฆ่าเจ้า เอาหัวเจ้ามาเซ่นสังเวยให้กับวิญญาณของบุตรชายข้า!"กงเหล่ยเมื่อได้ฟังกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา เกาฮ่องเต้ที่เห็นอย่างนั้นเหงื่อเย็นก็ไหลซึมออกมาเต็มแผ่นหลัง กงเหล่ยยกมือขึ้นส่งสัญญาณ หลัวเยี่ยก็พุ่งเข้าจัดการสังหารทหารและแม่ทัพใหญ่ของเกาฮ่องเต้ตกตายไปจนหมด เกาฮ่องเต้ร้องคำรา
สงครามจบสิ้นลง ทหารของเกาข่ายล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้นไม่เหลือซาก ครั้งนี้กงเหล่ยไม่ได้ใจดีเฉกเช่นครั้งก่อน ที่จะเก็บทหารจงรักภักดีกลับใจเอาไว้ใช้งาน อย่างไรทหารพวกนั้นก็ถูกเกาฮ่องเต้ฝึกฝนมานานหลายสิบปี ไม่เหมือนกับชาวบ้านที่มีใจภักดี เขาจึงไม่คิดจะเก็บเอาไว้แม้เพียงคนเดียวแคว้นเซี่ยตอนนี้กลับสู่ความสงบเฉิงซานและหลัวเยี่ยนั้นได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก แต่ทว่าเซียวเย่กลับได้รับบาดเจ็บที่แขนเป็นแผลใหญ่ กว่าจะห้ามเลือดได้ต้องใช้เวลาอยู่นาน โชคดีที่เขาไม่ได้เสียแขนไป ไต้ฝูหรงและท่านหมอจ้าวสลับกันช่วยดูแลเขา เซียวเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดเล็กน้อย เขาเอ่ยขอบคุณท่านหมอจ้าว ก่อนจะหันมาเอ่ยกับไต้ฝูหรง"ศิษย์น้องเล็ก ข้าปลอดภัยดีแล้ว เจ้าไปดูศิษย์ใหญ่กงเถอะ หากเจ้ายังไม่ไปอีก พี่ใหญ่กงคงได้ตามมากระทืบข้าซ้ำแน่ ข้ายังไม่อยากถูกเขากระทืบจนตายหรอกนะ สตรีในหอนางโลมยังรอข้าอยู่"ไต้ฝูหรงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แม้นางจะแต่งงานกับกงเหล่ยแล้ว แต่เซียวเย่ยังคงยืนยันที่จะเรียกนางว่าศิษย์น้องเล็ก นางเองก็ไม่ถือสาอันใด อย่างไรสำหรับนางแล้ว เขานับว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีสำหรับนางเมื่อทุกคนปลอดภัยไร้กัง
ไต้ฝูหรงตกใจจนแทบสิ้นสติ นางหันมองซ้ายขวาตอนนี้มีแต่ห่าธนูที่พุ่งเข้ามาหมายจะสังหารพวกนาง แต่ยามนี้ไม่อาจปล่อยให้ท่านเฉิงซุนอยู่ที่นี่ต่อได้ โลหิตของเขาไหลออกมามากเกินไป ต้องหาทางผ่าเอาลูกธนูออกและห้ามเลือดโดยเร็วที่สุด!ไต้ฝูหรงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจประคองท่านเฉิงซุนขึ้นมาและพาเขาเดินฝ่าลูกธนูออกไปโดยมีเหล่าทหารที่ยังรอดชีวิตคอยคุ้มกัน ท่านเฉิงซุนยังไม่ได้หมดสติ เขาจ้องมองสตรีข้างกายที่ประคองตนเดินฝ่าลูกธนูอย่างไม่เกรงกลัวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย"นะ นายหญิง ปล่อยข้าเอาไว้บนนี้เถอะขอรับ! "ไต้ฝูหรงเม้มริมฝีปากแน่น นางพาเฉิงซุนลงมาด้านล่างได้อย่างปลอดภัย ก่อนที่เขาจะหมดสติไป พลันได้ยินเสียงของนางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ"ข้าไม่มีวันทิ้งท่าน พวกเราถ้าอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าตายก็ต้องตายด้วยกัน กงเหล่ยยังอยู่ข้างนอก เขาเคารพท่านดั่งบิดา ข้าเองก็เช่นกัน เฉิงซานหลานของท่านและแม่ทัพทุกคนก็ยังรอให้ท่านต้อนรับพวกเขากลับเข้าเมืองหลังจากพวกเรารบชนะ หากท่านตาย ข้าคงไม่อาจมองหน้าพวกเขาได้ ท่านจะต้องอดทนไว้นะเจ้าคะ ข้าจะไม่มีทางยอมให้ท่านตายเด็ดขาด!"ท่านเฉิงซุนยิ้มอย่างอ่อ
เสียงต่อสู้ดงกึกก้องไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ยามนี้กองทัพแคว้นเซี่ยกำลังสู้รบกับกองทัพของเกาข่ายอย่างไม่กลัวตาย พวกเขาใช้สมุนไพรพิษที่ไต้ฝูหรงมอบให้นำไปอาบย้อมบนอาวุธ ก่อนจะเข้าห่ำหั่นกับศัตรู กงเหล่ยควบม้าห้อตะบึงอยู่ท่ามกลางซากศพของเหล่าทหารทั้งสองฝ่าย ใบหน้าหล่อเหลามีโลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนเป็นวงกว้าง ขับเน้นให้ใบหน้าเย็นชาของเขาดูดุดันขึ้นไปอีกหลายเท่าวิธีของไต้ฝูหรงนั้นใช้ได้ผล ทหารของฝ่ายตรงข้ามเพียงถูกพิษนั้นเข้าสู่โลหิตไม่นานก็ค่อยๆอ่อนแรงและล้มตายลงไปในที่สุด เพียงไม่นานกำลังทหารของเกาข่ายก็ลดลงไปมากกว่าครึ่งเกาข่ายมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาตื่นตระหนก เห็นๆอยู่ว่าแรกเริ่มนั้นเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แท้ๆ แต่แล้วเหตุใดสถาณการณ์จึงพลิกผันเช่นนี้เล่าชายหนุ่มกัดฟันกรอด พลางมองไปเบื้องหน้า "ห้ามถอย ต้องตัดหัวกงเหล่ยและสังหารทหารแคว้นเซี่ยให้จงได้!"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ พลางกำมือแน่น ชายหนุ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงที่ใด เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้ทหารแคว้นเซี่ยจึงใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงดวงตา หรือว่าพวกมันกลัวตาย หากว่าเจ้าน
ไต้ฝูหรงมุ่งหน้ามายังภูเขาลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับวัดบนเขา ห่างจากเมืองหลวงของแคว้นเซี่ยมาไม่ไกลมากนัก ฮูหยินผู้เฒ่าให้เหล่าทหารติดตามมาพร้อมสาวใช้อีกหลายคน ไม่นานรถม้าก็หยุดลง ไต้ฝูหรงจึงรีบลงจากรถม้าพร้อมกับเอ่ยกำชับสาวใช้และทหาร"พวกเจ้าคงจำลักษณะของสมุนไพรที่ข้าบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว รีบเก็บมาให้มากหน่อย ยิ่งมากยิ่งดี เข้าใจหรือไม่"เหล่าสาวใช้และเหล่าทหารต่างพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบแยกย้ายกันไปเก็บสมุนไพรตามที่เจ้านายของตนสั่ง ไต้ฝูหรงเองก็เดินขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหลายอย่างมาเพิ่มเช่นเดียวกัน นางสะพายกระบุงไว้บนหลังตน และเก็บสมุนไพรอย่างรวดเร็ว เหล่าสาวใช้และทหารต่างมองนางด้วยสายตาที่ตกตะลึง นายหญิงของพวกเขายามปกติดูบอบบางและน่าทะนุถนอมยิ่ง แต่ในยามนี้กลับดูแข็งแรงและว่องไวมาก แรกเริ่มพวกเขาต้องขึ้นลงเขาเพื่อหาสมุนไพรจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน แต่เมื่อได้เห็นว่านายหญิงยังไม่บ่นสักคำ อีกทั้งยังไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย พวกเขาจึงมีแรงใจมากยิ่งขึ้นใช้เวลาไม่นานก็สามารถเก็บสุมนไพรที่ต้องการได้สำเร็จ ไต้ฝูหรงยิ้มด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบเดินทางกลับจวน จากนั้นจึงจัดการล้างทำความส
กงเหล่ยรีบเปลี่ยนมาสวมชุดเกราะ ก่อนจะมุ่งหน้ามายังค่ายทหารในช่วงกลางดึก เมื่อมาถึงก็พบว่าตอนนี้เหล่าทหารต่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว สีหน้าทุกคนมีความมุ่งมั่นปรากฏชัดบนใบหน้า ไม่มีความเกรงกลัวใดใดให้เห็นเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความฮึกเหริมและพร้อมออกรบเพื่อปกป้องแว่นแคว้น กงเหล่ยยืนอยู่เบื้องหน้าเหล่าทหาร ในมือถือดาบเอาไว้ แววตาฉายแววมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งเกาฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยแคว้นเซี่ยไป อีกทั้งยังไม่มีทางยอมให้คนตระกูลกงเหลือหนทางรอด ศึกครานี้หนักหนาไม่น้อย อีกทั้งอาจจะต้องสูญเสียกำลังพลไปไม่น้อยเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาย่อมไม่อาจถอย หลายปีที่หลบซ่อนตัวเขาได้ซ่องสุมกำลังทหารลับเอาไว้ร่วมหลายแสนนาย ยามนี้ถึงเวลาที่จะต้องเรียกออกมาใช้งานแล้ว"ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก แต่ข้าเชื่อว่าพวกเราทุกคนจะผ่านมันไปได้ ขอให้พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้า เชื่อมั่นในตัวเอง ช่วยกันปกป้องแว่นแคว้นและขจัดคนชั่วไปให้หมดจากแผ่นดินนี้เสีย!"ทันทีที่กงเหล่ยเอ่ยจบเหล่าทหารต่างชูดาบขึ้นสูง พลางตะโกนกู่ร้องก้องแผ่นดินแคว้นเป่ยและแคว้นฉีบุกประชิดชายแดน อีกทั้งยังยึดเมืองด่านหน้าสำคัญต่างๆของแคว้นเซี่ยไปได้หลายเมือง และ